“จริงสิ ด้านในมีวิญญาณภูตพฤกษา น่าจะมีประโยชน์ต่อแผลของเสี่ยวเทียน” หลิวหลีคิดพลางเอ่ย
เอ๋าเลี่ยคิดในใจ นังหนู เจ้ารู้หรือไม่ สิ่งที่เจ้าพูดพล่อยๆเป็นสมบัติล้ำค่าเชียวนา อาจารย์ของเจ้าอาจไม่มีเสียด้วยซ้ำ เฟิ่งอิงเสวี่ยในฐานะที่เป็นคู่พันธะสัญญาของหนานกงเวิ่นเทียนกลับรู้สึกว่าหลิวหลีโง่จนดูน่ารัก ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนที่เป็นตัวต้นเรื่องพลันรู้สึกอบอุ่นใจต่อหญิงตรงหน้าแบบที่เจ้าตัวคิดว่าจะรู้สึกเช่นนี้ได้กับแค่บิดามารดาเท่านั้น
“ไม่ใช่ว่าธาตุไม้เป็นสิ่งของที่จะรักษาคนได้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ สายตาพวกเจ้าทำไมแปลกๆ พูดไปแล้ว ก็เพราะพวกเราโชคดี ที่โครงกระดูกนั่น อ่อ เริ่นชิงเฟิงถูกคนทำร้าย หินวิญญาณที่อยู่กับตัวก็โดนขโมยไปหมด ในนี้มีสวนพืชศักดิ์สิทธิ์จำเป็นต้องใช้หินวิญญาณเปิดมัน เขาไม่มีหินวิญญาณดังนั้นต่อให้มีสมบัติก็ใช้ไม่ได้ สมน้ำหน้า” หลิวหลีเห็นสีหน้าสับสนของคนและงูจึงเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ จนสุดท้ายแล้วเมื่อนึกได้ว่าคนผู้นั้นต้องการจะชิงร่างนาง นางจึงพูดได้แค่ว่าสมน้ำหน้าเท่านั้น
“อยู่ตรงไหน”
“ตามข้ามา”
พอหลิวหลีพูดจบก็เข้าไปในห้อง จนไปเจอกำแพงด้านใน แล้วคลำต่อก็พบว่าด้านบนนั้นลื่นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเริ่นชิงเฟิงน่าจะคลำมาแล้วหลายรอบ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีหินวิญญาณ
หลิวหลีนำหินวิญญาณออกมา ใส่เข้าไปแล้วกำแพงก็เปิดออก กลิ่นหอมของยาอัดแน่นลอยโชยออกมา พอพวกหลิวหลีสูดดมเข้าไปก็รู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น มีพืชศักดิ์สิทธิ์มากมายเหลือเกิน ที่สำคัญคือพืชศักดิ์สิทธิ์พวกนี้มีอายุมากกว่าพันปี บางชิ้นอาจมีอายุมากกว่าหมื่นปี นัยน์ตาของหลิวหลีเปล่งประกาย หินวิญญาณจะกลายเป็นคนรวยแล้ว
“เพี๊ยะ” เอ๋าเลี่ยหัวเสียที่ต้องกลายเป็นคนตามหลังหลิวหลีต้อยๆ
“เด็กโง่ ยามากมายขนาด เจ้าก็ฝึกบทที่ 2 ขั้นที่ 1 ได้แล้ว”
“จริงสิ” หลิวหลีได้สติขึ้นมาทันที ใช่สิ พืชศักดิ์สิทธิ์มากมายขนาดนี้ นางประหยัดเงินไปได้อีกโข อีกทั้งดูระยะเวลาแล้วการบำเพ็ญเพียรในอนาคตของนางก็ต้องใช้พืชศักดิ์สิทธิ์จำนวนไม่น้อยเช่นกัน
หลิวหลีคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเหมือนนางคิดอะไรบางอย่างออก
“จริงสิ ตามข้ามา”
หลิวหลีระแวดระวังพยายามเดินหลบพืชศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นต้นทุนในการบำเพ็ญเพียรของนาง หลิวหลีเดินไปด้านหน้าต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ต้นไม้พริ้วไหว กลิ่นอายความสะดวกสบายลอยมา
หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าพลังบำเพ็ญเพียรของตนเพิ่มขึ้นไม่น้อย แผลในร่างกายก็เริ่มค่อยๆสมานตัว ขนาดเฟิ่งอิงเสวี่ยที่หลบอยู่ในมิติอสูรภูตของหนานกงเวิ่นเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังเซียนที่อบอุ่นจากธาตุไม้ จึงออกจากมิติอสูรภูต นางเพิ่งเคยเห็นหงส์เป็นครั้งแรก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสีฟ้า ได้ยินมาว่าหงส์จะต้องเป็นสีแดงเพลิงไม่ใช่หรือ
“กลิ่นอายชีวิตเข้มข้นเหลือเกิน ข้ารู้สึกว่าบาดแผลของข้ากำลังได้สมานตัวอย่างรวดเร็ว” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดอย่างดีใจ กลิ่นอายชีวิตที่หนาแน่นขนาดนี้นางรู้สึกว่าความอ่อนแอเพราะการเกิดใหม่จากเถ้าธุลีกำลังฟื้นฟูช้าๆ
“ที่นี่น่าจะตำแหน่งของวิญญาณภูตพฤกษาในบันทึก” หลิวหลีรู้ว่า ที่พืชศักดิ์สิทธิ์ที่นี่อุดมสมบูรณ์ได้ขนาดนี้ เพราะมีวิญญาณภูตพฤกษาต้นนี้ ดูหยดน้ำสีเขียวราวอำพันบนกิ่งไม้นั่น ซึ่งคือหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากวิญญาณภูต
“นั่นน่าจะเป็นหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์” หลิวหลีชี้ไปทีของเหลวแวววาวบนกิ่งไม้
“พวกเราควรกินกันคนละหยดเพื่อเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียร แล้วค่อยว่ากัน” หลิวหลีคิดและเอ่ย
“พวกเจ้ากินกันก่อน ข้าจะสร้างค่ายกลป้องกันไว้ให้พวกเจ้า” เอ๋าเลี่ยพูด ใครจะไปรู้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเกิดเรื่องขึ้นในนี้?
“ได้ รบกวนท่านอาเอ๋าเลี่ยด้วย” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูด
“ท่านอาเอ๋าเลี่ย พวกเจ้ารู้จักกันหรือ?” หลิวหลีถามอย่างสงสัย อาเลี่ยไม่ใช่คู่พันธสัญญาของตนหรือ มีสหายเก่าเป็นหงส์รูปงามขนาดนี้ทำไมถึงไม่บอกนาง รู้สึกปวดใจขึ้นมาเลยใช่ไหม
“รู้จักกันเมื่อก่อน” เอ๋าเลี่ยเอ่ยอย่างคลุมเครือ
“อาเลี่ย เจ้าเป็นแค่งูแดงประหลาด แต่กลับมีสหายเป็นหงส์ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเจ้ามาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร” หลิวหลีกระพริบตาทั้งสองข้างแล้วถามขึ้น
“เจ้าใช้หยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ก่อนเถอะ” เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าตัวเองจะถูกหลิวหลียั่วโมโห สายเลือดของมันสูงส่งล้ำค่า แต่ดูสิดู นางกลับพูดว่าเขาสู้หงส์ไม่ได้ สายตาของเจ้าเด็กนี่มันอย่างไรกัน หนานกงเวิ่นเทียนได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็เม้มปากเล็กน้อย เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะจริงๆ มองดูใบหน้าอ่อนเยาว์ของหลิวหลี อยู่ๆหนานกงเวิ่นเทียนก็ใจเต้นระรัวเร็ว โดยเฉพาะหยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ในมือทำให้เขาอุ่นใจวาบ เมื่อมองกระดิ่งบนคอที่ผู้หญิงคนนั้นยัดเยียดให้ตน ช่วยปกปิดคุณสมบัติร่างกายได้ เป็นเพราะนางและเขามีคุณสมบัติร่างกายเหมือนกัน ถึงได้เห็นใจล่ะสิ? เหมือนจะไม่ใช่ หญิงนางนี้อบอุ่นดั่งแสงอาทิตย์ หนานกงเวิ่นเทียนกำมือแน่น
หลิวหลีดื่มหยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ลงคอแล้วเริ่มการบำเพ็ญเพียร ความอบอุ่นจากหยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ไหลวนในร่างกาย แล้วจู่ๆก็รู้สึกว่ารอยแผลที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้รับการเยียวยา และเพราะความชุ่มชื้นจากหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์จึงทำให้เส้นลมปราณต่างๆขยายตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะไม้ให้กำเนิดไฟ หลิวหลีรู้สึกว่าเส้นลมปราณเพียงเส้นเดียวที่หลอมรวมกับเพลิงอัคคีส่องแสงสว่างออกมา พลังบำเพ็ญเพียรจากช่วงพื้นฐานระยะกลางพัฒนาขึ้นไปเป็นระยะปลาย ห่างจากขั้นสุดยอดเพียงก้าวเดียว หลิวหลีโคจรพลังเซียนหลายครั้ง จนร่างกายอบอุ่น หยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ถูกดูดซึมไปจนหมดแล้วจึงลืมตาขึ้น
หลังจากที่เฟิ่งอิงเสวี่ยได้ดื่มหยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์เข้าไปและเริ่มบำเพ็ญเพียร อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการฝืนฉีกมิติก็ถูกรักษาอย่างช้าๆ
ความอ่อนแอที่เกิดขึ้นจากการเกิดใหม่จากเถ้าธุลีก็ดีขึ้นช้าๆ รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงมากขึ้น ปีกหงส์บนหน้าผากก็ส่องสว่างมากยิ่งขึ้น
หนานกงเวิ่นเทียนเห็นหลิวหลีและอิงเสวี่ยกินหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงกินตาม และกลายเป็นระลอกพลังเซียนซัดสาดในร่างกาย เขาอาศัยพลังเซียนนี้บำเพ็ญเพียรให้บรรลุขั้นสุดยอดอย่างรวดเร็ว ห่างจากช่วงพื้นฐานเพียงเล็กน้อย เขาไม่ยอมหยุดด้วยเพราะเขาตั้งใจว่าหากไม่บรรลุช่วงพื้นฐานเขาก็จะไม่ท้อแท้ เพียงแต่พลังเซียนสลายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พลังไม่เพียงพอ หลิวหลีเห็นเช่นนั้น จึงหยอดน้ำยาพฤกษาชาติใส่ปากหนานกงเวิ่นเทียน
หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าพลังที่จะใช้บรรลุไปช่วงพื้นฐานเฮือกสุดท้ายของตนเองไม่เพียงพอ จู่ๆที่มุมปากก็มีของอะไรไม่รู้ เขาจึงกลืนมันลงไปตามสัญชาตญาณ ที่แท้เป็นหยดน้ำอีกหนึ่งหยด หยดน้ำพวกนี้ใช้ครั้งแรกถึงจะมีประสิทธิภาพ หากใช้ซ้ำประสิทธิภาพของมันจะลดลงไปมาก แต่ถึงอย่างไรก็มีประสิทธิภาพมากกว่าหินวิญญาณ อาศัยแค่น้ำยาพฤกษาชาติหนานกงเวิ่นเทียนก็บรรลุช่วงพื้นฐานระยะต้นได้แล้ว
พอลืมตาขึ้นก็เห็นหลิวหลีมองตัวเองด้วยสายตาประหลาด เฟิ่งอิงเสวี่ยแอบหัวเราะอยู่ข้างๆ
“เสี่ยวเทียน เจ้าเป็นปีศาจที่อายุเท่าไหร่กันแน่” หลิวหลีพูดขึ้นด้วยสีหน้าประหลาด
“ตอนที่ถูกทำร้ายน่าจะอายุหลายสิบปีได้แล้ว แต่น่าจะยังไม่เกินร้อยปี” หนานกงเวิ่นเทียนลืมไปแล้วว่าตัวเองอายุเท่าไหร่
หลิวหลีสับสนเล็กน้อย จากเด็กน้อยกลายมาเป็นเด็กหนุ่มแล้ว กำลังเติบโตไปเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ไม่อยากให้คนอื่นเห็นจะทำอย่างไร หลิวหลีกัดปาก
ราวกับสังเกตเห็นสายตาที่สับสนของหลิวหลี หนานกงเวิ่นเทียนพบว่าหลังจากที่ฟื้นฟูพลังเซียนช่วงพื้นฐานแล้ว ตัวเขาดูเหมือนจะสูงขึ้นไม่น้อย ตอนนี้น่าจะอายุประมาณ 10 ขวบ
“เวิ่นเทียน ถ้าดูจากความเร็วนี้ เจ้าน่าจะฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว” เฟิ่งอิงเสวี่ยเอ่ยด้วยความดีใจ
“อืม” หนานกงเวิ่นเทียนหันกลับมาดู เป็นเช่นนี้จริงๆ
“จริงสิ วิญญาณภูตพฤกษาน่าจะอยู่ใจกลางต้นไม้ใหญ่ เสี่ยวเทียนเจ้าเก็บไปเถอะ” หลิวหลีคิดแล้วก็พูด เวลาที่เข้ามาที่นี่ก็ผ่านไปสองเดือนครึ่งแล้ว เหลือเวลาอีกครึ่งเดือนจะได้ออกไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกไปเดินเล่นที่อื่นดู
“ไม่ล่ะ สำหรับข้าแล้ววิญญาณภูตพฤกษาไม่ได้มีประโยชน์มากขนาดนั้น เจ้าเก็บไปเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนพูดพลางส่ายศีรษะ
“นังหนูเก็บไปเถอะ นี่คือชะตาเจ้า” เมื่อเห็นว่าหลิวหลีอยากจะพูดอะไรต่อ เอ๋าเลี่ยจึงพูดบ้าง เฟิ่งอิงเสวี่ยกับหนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้าเห็นด้วย
หลิวหลีคิดครู่หนึ่งแล้ว โบกมือส่งหยดน้ำออกมาให้ทุกคนเก็บกันคนละ 3 หยด
“ข้าจะเป็นคนเก็บวิญญาณภูตพฤกษา ส่วนของนี่พวกเจ้าก็เก็บไปละกัน ห้ามปฏิเสธ” หลิวหลีไม่ให้โอกาสพวกเขาได้โต้แย้ง
หลิวหลีลองสัมผัสครู่หนึ่ง นึกถึงหินนิลกาฬก้อนนั้น วิญญาณภูตพฤกษาน่าจะสามารถช่วยเพิ่มธาตุไม้ให้มันได้ จึงโบกมือเก็บหินนิลกาฬนั้น พร้อมกับหยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์
“พวกเราควรออกไปได้แล้ว”
……………………………………………………………….
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 25 รับหยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์
Posted by ? Views, Released on October 6, 2021
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!