คนรอบแถวนั้นประหลาดใจอย่างมาก สองคนนี้ดูเหมือนไม่ได้สนใจปัญหาเรื่องรายรับสักเท่าไหร่ แต่คนรอบข้างรู้สึกจริงๆว่าสามีภรรยาคู่นี้ไม่ควรมาเปิดร้านขายยาแต่ควรเปิดร้านอาหาร ทุกวันจะมีกลิ่นหอมไม่ซ้ำลอยออกมา ทำให้พวกเขาหากไม่ผนึกประสาทสัมผัสทั้ง 5 ก็ต่างไม่อยากจะฝึกบำเพ็ญเพราะกลัวธาตุไฟจะเข้าแทรก “นายท่านเจี่ย ท่านกับฮูหยินของท่านควรจะลองพิจารณา ไม่ต้องขายยาศักดิ์สิทธิ์แล้วพวกท่านเปิดร้านอาหารเถอะ ถึงตอนนั้นพวกเราจะมาอุดหนุนอย่างแน่นอน” มีคนโน้มน้าวหนานกงเวิ่นเทียน “ฮูหยินของข้าไม่ชอบทำอาหารให้คนนอกกิน” หนานกงเวิ่นเทียนปฏิเสธทันที นางเคยบอกว่านางไม่ได้ชอบทำอาหารตลอดเวลา นางแค่ชอบทำอาหารให้เขาและอสูรเทพทั้งสาม จะยอมให้คนตั้งมากมายได้ชิมฝีมือนางได้อย่างไร “น่าเสียดายจริงๆ” คนที่มาหาก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก “น้องหญิง มีหลายคนโน้มน้าวให้ข้าเปิดร้านอาหาร ให้เจ้าเป็นคนทำ รายรับจะต้องดีกว่าตอนนี้แน่’ หนานกงเวิ่นเทียนเห็นหลิวหลีเดินมาจึงเอ่ยกระเซ้า “ท่านพี่ ข้าไม่ชอบเปิดร้านอาหาร” พูดจาไร้สาระ ฝีมือของนางมีไว้เพื่อมัดใจสามีนางเท่านั้น ท้องคนอื่นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง “ข้าเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าจะเหนื่อยขนาดไหน ข้าไม่ยอมให้เจ้าต้องเหนื่อยหรอก” หนานกงเวิ่นเทียนไม่เห็นด้วยเลยด้วยซ้ำ หากเปิดร้านอาหาร เขาคงไม่มีเวลาอยู่กับนางมากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร คนที่อยู่รอบๆก็เปลี่ยนไปก็หลายครั้ง แต่ร้านยาลายศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่และไม่มีคนเหมือนเดิม แต่คนสกุลเจี่ยนี้ก็ไม่มีวี่แววจะปิดร้าน ดูไปแล้ว หากลองคิดดีๆ คนทั้งสองเปิดร้านเพื่อต้องการลูกแก้วเซียนจริงหรือ ไม่ว่าดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่ ในที่สุดวันหนึ่ง ก็มีคนเดินเข้าร้านมา “สหายเซียนท่านนี้ต้องการสิ่งใด ร้านของข้ามีแค่เพียงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์กับลายศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น” หลิวหลีกำลังเฝ้าร้าน นางเอ่ยถามคนที่เข้ามาอย่างมีมารยาท กว่าจะมีคนเข้าร้านสักครั้งไม่ง่ายเลย “ต้องใช้ลูกแก้วเซียนมากเท่าไร” คนที่มาเยือนก็เย็นชา โพล่งถามราคาทันที “ลูกแก้วเซียนหรือ ไม่ต้องการ ร้านของข้าไม่ต้องการลูกแก้วเซียน” หลิวหลีส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องการลูกแก้วเซียน ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการอะไร” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เพลิงเซียน หรือไม่ก็เบาะแสของเพลิงเซียน ของล้ำค่าอื่นๆก็ได้ ไม่ว่าจะต้องการยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ชนิดไหนก็สามารถปรุงให้ได้ทันที ของที่อยู่บนชั้นเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น” หลิวหลีอธิบาย “ของตัวอย่าง” คำนี้เป็นศัพท์ใหม่ แต่ว่าดูจะตรงความเป็นจริงทีเดียว “ใช่ ยาที่ข้าสามารถปรุงได้ ไม่ใช่เพียงแค่ยาที่ตั้งไว้อยู่บนชั้นเท่านั้น” หลิวหลีมั่นใจในจุดนี้มากทีเดียว “ข้ามีของสิ่งนี้ จะช่วยข้าปรุงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ ด่วน” ชายหนุ่มโยนของชิ้นหนึ่งไปให้หลิวหลี นางรับไว้ แล้วเหลือบดู “ได้ วันมะรืนมาเอาแล้วกัน” หลิวหลีพยักหน้า “วันมะรืนหรือ ได้” ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจ วันมะรืนยังทันอยู่ หวังว่าเซียนนักปรุงยาท่านนี้จะไม่โกหก ไม่เช่นนั้นเขาก็มีวิธีที่จะทำให้ร้านนี้หายไปอย่างแน่นอน เขาไปร้านยาเซียนศักดิ์สิทธิ์แถวนี้มาทุกร้าน นี่คือความหวังสุดท้าย หวังว่าจะเรียบร้อย เมื่อรับค่าตอบแทนมา จัดแจงนัดวันรับยาเรียบร้อย หลิวหลีก็ปิดร้านไปปรุงยา อัตราสำเร็จในการปรุงยาของนางสูงมากอยู่แล้ว จะใช้เวลานานได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเพลิงเซียนหยินหยางบรรลุขั้นโดยสมบูรณ์ ทำให้ความเร็วในการปรุงยาของนางเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่ชายหนุ่มผู้นั้นต้องการถูกปรุงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลิวหลีหมุนขวดขนาดเล็กในมือเล่น อืม น่าจะมีคนได้รับบาดเจ็บ และคงหนักหนาทีเดียว แต่กลับเลือกมาที่ร้านของนาง ไม่ไปร้านยาที่มีชื่อเสียงพวกนั้น แล้วดูจากของที่ให้มา คงไม่น่าใช่คนจน “ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ล่ะ” ชายหนุ่มมาตามวันเวลานัดแลยเอ่ยเข้าประเด็นทันที “เอาไป” “ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มดีใจ รับยาเซียนศักดิ์สิทธิ์แล้วจากไป “เอ่อ มีนิสัยตรงไปตรงมาจริงๆ” หลิวหลีนึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะไม่เปิดดูเลยด้วยซ้ำไป พอได้ยาก็เดินออกไปเลย ไม่กลัวว่าจะโดนนางหลอกหรืออย่างไร “น้องหญิงดูอะไรอยู่” หนานกงเวิ่นเทียนออกฌาน ก็เห็นหลิวหลีเหม่อดูอะไรบางอย่าง “ท่านพี่ การค้าขายครั้งแรกของเรา” หลิวหลีชูของในมือให้เขาดู “เจ้าสุดยอดมาก” หนานกงเวิ่นเทียนรีบชมขึ้นมาทันที “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเป็นใครล่ะ” นางคือหลงหลิวหลีเป็นถึงเซียนนักปรุงยาอันดับหนึ่งในโลกเซียน ชายหนุ่มที่ได้ยาไปก็เดินไปยังที่แห่งหนึ่ง เปิดแนวเขตต้องห้าม ป้อนยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้กับผู้บำเพ็ญชายที่กำลังนั่งหลับตา “หวังว่าจะได้ผล” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง เพียงไม่นานผู้บำเพ็ญชายที่หลับตาอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาชันตัวลุกขึ้น กระอักเลือดสีดำออกมา แล้วฟื้นขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านดีขึ้นบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างร้อนรน “หมิงอวี่ ที่นี่คือที่ไหน” ชายหนุ่มเอ่ยปากถาม “พี่ใหญ่วางใจเถอะ ที่นี่ปลอดภัย” ชายหนุ่มที่มีนามว่าหมิงอวี่กล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ดี นึกไม่ถึงว่าวิวัฒนาการการปรุงยาเดี๋ยวนี้จะดีขนาดนี้แล้ว”ชายชื่อหมิงเย่ากล่าว “นึกไม่ถึงว่าเจ้าของร้านเล็กๆนั้นจะมีความสามารถถึงเพียงนี้” เมื่อหมิงอวี่เห็นพี่ใหญ่ฟื้นได้สติ แถมที่สำคัญดูกระปรี้กระเปร่า ดูผ่อนคลายลงไม่น้อย “ร้านเล็กๆหรือ?” “ใช่ เป็นร้านเล็กๆที่แปลกประหลาด ไม่ต้องการลูกแก้วเซียน ต้องการแค่เพลิงเซียน หรือไม่ก็เบาะแสของเพลิงเซียน หรือไม่ก็ของล้ำค่าจากธรรมชาติ” หมิงอวี่นึกถึงร้านเล็กๆที่ช่วยพี่ชายของตนเอาไว้ ก็อดพูดเสริมไม่ได้ “เพลิงเซียน หมิงอวี่ พาพี่ไปที่ร้านนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นโชคชะตาและโอกาสของพวกเราก็ได้” หมิงเย่านิ่งไปสักพักแล้วตัดสินใจ “พี่ใหญ่ พี่คงไม่ได้อยากจะเชิญคนร้านนั้นไปกับเราใช่ไหม” หมิงอวี่เข้าใจเจตนาของพี่ชายเขาในทันที แต่รู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก “ใช่ จากที่เจ้าเล่า ข้ารู้สึกว่าร้านนี้ต้องไม่ธรรมดา คงจะเป็นยอดฝีมือ หรือไม่ก็เป็นคนที่อำพรางพลังบำเพ็ญเพียร” หมิงเย่าวิเคราะห์ “พี่ใหญ่ ข้าว่าไม่เหมือน” หมิงอวี่ก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่ดี “ยอดฝีมือไม่บอกว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือหรอก หมิงอวี่ พาพี่ไป เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง” หมิงเย่ากล่าว น้องชายคนนี้ดีหมดทุกอย่าง แต่เรื่องการดูคนยังคงต้องพัฒนา “เจ้า… ท่านผู้นี้คือ หรือจะเป็นคนที่ต้องใช้ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์คนนั้น” หลิวหลีเหลือบดู อ้าวคนผู้นั้นกลับมาอีกแล้ว ส่วนคนด้านข้างคงต้องเป็นคนที่ได้รับความช่วยเหลือคนนั้นแน่ “ใช่ ข้าเอง ข้าชื่อหมิงอวี่ นี่คือพี่ชายของข้า หมิงเย่า ขอพูดอะไรด้วยหน่อยจะได้หรือไม่” หมิงอวี่พูดอย่างตรงไปตรงมา “ได้ เชิญด้านหลัง” คนผู้นี้พูดจาตรงไปตรงมา แต่ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกรังเกียจ หลิวหลีชอบคนเช่นนี้ นางไม่ชอบคนที่พูดจาอ้อมไปอ้อมมา เหนื่อยเกินไป “น้องพี่ สองคนนี้คือ” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น ฮูหยินของเขาก็พาผู้ชาย 2 คนกลับเข้ามาด้วย แถมเข้าไปในตัวบ้านด้วยซ้ำ “อ่อ ท่านพี่ ท่านนี้คือผู้บำเพ็ญที่มาซื้อยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ชื่อหมิงอวี่ ส่วนข้างๆคือพี่ชายของเขา หมิงเย่า” หลิวหลีแนะนำ “สวัสดีทั้งสองท่าน” เพิ่งครู่เดียวเท่านั้นรู้กระทั่งชื่อของฝ่ายตรงข้าม หนานกงเวิ่นเทียนเริ่มเกิดอาการหึงหวงอีกครั้ง “นี่คือสามีของข้า เจี่ยหมิง เรียกข้าว่าฮูหยินเจี่ยก็พอแล้ว” หลิวหลีแนะนำตัวเอง “นายท่านเจี่ย ฮูหยินเจี่ย” ชื่อแปลกประหลาดจริงๆ “มารบกวนโดยพลการ ต้องขออภัยด้วย” หมิงเย่ากล่าวพลางประสานมือ “ไม่ต้องเกรงใจ” ในเมื่อรู้ว่ามาโดยพลการ แล้วจะมาพูดขอรบกวนอีกทำไม “อาการบาดเจ็บของข้า ทั้ง 2 ท่านก็ได้เห็นแล้ว ได้รับบาดเจ็บจากการไปตามร่องรอยเซียนแห่งหนึ่ง โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากฮูหยิน” หมิงเย่ากล่าว “ยื่นหมูยื่นแมวกันก็เท่านั้นเอง” ส่วนจะมีมูลค่าเท่ากันหรือไม่นั้น หลิวหลีไม่รู้ เจ้าให้ค่าตอบแทนมา ข้าให้ของไป ก็ถูกแล้ว “ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเพราะฮูหยิน ที่พวกข้าสองพี่น้องมาครั้งนี้ ก็อยากจะเชิญทั้ง 2 ท่านไปตามหาร่องรอยยอดเซียนนี้ด้วยกัน พูดตามตรงพวกเราเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไรข้างใน แต่คิดว่าคงจะได้อะไรกลับมาไม่น้อย” หมิงเย่ากล่าว “ร่องรอยยอดเซียน” หนานกงเวิ่นเทียนกับหลิวหลีมองหน้ากัน พวกเขาทั้งสองคนไม่เคยไปตามหาร่องรอยเซียนมาก่อน จะกระโดดข้ามขั้นไปหาร่องรอยยอดเซียนเลย ก็รู้สึกว่าจะเร็วไปหน่อย แต่ว่าไปดูหน่อยก็ได้ เปิดร้านเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น จะเปิดหรือปิดก็ไม่เป็นไร “ได้ เพราะอย่างไรพวกเราสองคนเปิดร้านก็เพราะไม่มีอะไรทำ” หลิวหลีตกลง แต่มุมปากของทั้งสองคนกระตุก เปิดร้านเพราะไม่มีอะไรทำ ทั้งสองคนนี้เป็นศิษย์จากสำนักใหญ่โตที่ไหน ถึงว่างจนมาเปิดร้าน พลังบำเพ็ญเพียรเพิ่งจะอยู่ในขั้นเซียนอธนการ แค่เซียนอธนการเท่านั้นหรือว่าจะอำพรางพลังบำเพ็ญเพียรไว้ ความคิดนี้แล่นผ่านหัวของหมิงเย่า และทิ้งร่องรอยไว้ “ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ตามนั้น” หมิงเย่ากล่าว “รับไป รักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าให้ดีก่อนจะได้นำทางได้” หลิวหลีโยนขวดหยกขนาดเล็กให้ นางพอจะดูออกว่าพี่ชายคนนี้เป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง “สหายเซียน ช่างมีความเมตตา” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร หมิงเย่าก็ต้องขอบคุณอีกฝ่าย “ถ้าเป็นเช่นนี้ รอจนสหายเซียนรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีแล้วมารวมตัวกันที่ร้านของข้าดีไหม” หลิวหลีเสนอ “ตกลง” “เสี่ยวเทียน ร่องรอยยอดเซียนที่ว่านี้ไม่รู้ว่าของจริงหรือของปลอม” เมื่อเห็นทั้งสองเดินไปแล้ว หลิวหลีจึงเริ่มคุยกับหนานกงเวิ่นเทียน “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไปดูก็คงจะไม่มีอะไรเสียหาย สองคนนี้มีความสามารถไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีผู้ช่วย สุดท้ายได้ผู้ช่วยที่ปรุงยาได้ เจ้าก็เลยเป็นตัวเลือกของสองพี่น้อง” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว “ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังดีกว่าให้พวกเราเร่หาไปทั่ว มีของมาหาถึงที่เช่นนี้ถึงจะดีที่สุด” แถมพวกเขายังเป็นคนตัวเป็นๆอีกด้วย มีคนนำทางพวกเขาไปจนถึงที่หมายไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร พวกเขาก็ไม่กลัว “ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วกัน พวกเราน่าจะสามารถรับมือได้” หนานกงเวิ่นเทียนย่อมรู้ดีว่าหลิวหลีอยากไป หลังจากที่ทั้งสองคนปรึกษากันแล้ว จึงตัดสินใจที่จะบำเพ็ญเพียรสักเล็กน้อย เพราะเข้าฌาณยาวๆไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับพวกเขา ………………………
คนรอบแถวนั้นประหลาดใจอย่างมาก สองคนนี้ดูเหมือนไม่ได้สนใจปัญหาเรื่องรายรับสักเท่าไหร่ แต่คนรอบข้างรู้สึกจริงๆว่าสามีภรรยาคู่นี้ไม่ควรมาเปิดร้านขายยาแต่ควรเปิดร้านอาหาร ทุกวันจะมีกลิ่นหอมไม่ซ้ำลอยออกมา ทำให้พวกเขาหากไม่ผนึกประสาทสัมผัสทั้ง 5 ก็ต่างไม่อยากจะฝึกบำเพ็ญเพราะกลัวธาตุไฟจะเข้าแทรก
“นายท่านเจี่ย ท่านกับฮูหยินของท่านควรจะลองพิจารณา ไม่ต้องขายยาศักดิ์สิทธิ์แล้วพวกท่านเปิดร้านอาหารเถอะ ถึงตอนนั้นพวกเราจะมาอุดหนุนอย่างแน่นอน” มีคนโน้มน้าวหนานกงเวิ่นเทียน
“ฮูหยินของข้าไม่ชอบทำอาหารให้คนนอกกิน” หนานกงเวิ่นเทียนปฏิเสธทันที นางเคยบอกว่านางไม่ได้ชอบทำอาหารตลอดเวลา นางแค่ชอบทำอาหารให้เขาและอสูรเทพทั้งสาม จะยอมให้คนตั้งมากมายได้ชิมฝีมือนางได้อย่างไร
“น่าเสียดายจริงๆ” คนที่มาหาก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก
“น้องหญิง มีหลายคนโน้มน้าวให้ข้าเปิดร้านอาหาร ให้เจ้าเป็นคนทำ รายรับจะต้องดีกว่าตอนนี้แน่’ หนานกงเวิ่นเทียนเห็นหลิวหลีเดินมาจึงเอ่ยกระเซ้า
“ท่านพี่ ข้าไม่ชอบเปิดร้านอาหาร” พูดจาไร้สาระ ฝีมือของนางมีไว้เพื่อมัดใจสามีนางเท่านั้น ท้องคนอื่นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง
“ข้าเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าจะเหนื่อยขนาดไหน ข้าไม่ยอมให้เจ้าต้องเหนื่อยหรอก” หนานกงเวิ่นเทียนไม่เห็นด้วยเลยด้วยซ้ำ หากเปิดร้านอาหาร เขาคงไม่มีเวลาอยู่กับนางมากขนาดนี้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร คนที่อยู่รอบๆก็เปลี่ยนไปก็หลายครั้ง แต่ร้านยาลายศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่และไม่มีคนเหมือนเดิม แต่คนสกุลเจี่ยนี้ก็ไม่มีวี่แววจะปิดร้าน ดูไปแล้ว หากลองคิดดีๆ คนทั้งสองเปิดร้านเพื่อต้องการลูกแก้วเซียนจริงหรือ ไม่ว่าดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่
ในที่สุดวันหนึ่ง ก็มีคนเดินเข้าร้านมา
“สหายเซียนท่านนี้ต้องการสิ่งใด ร้านของข้ามีแค่เพียงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์กับลายศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น” หลิวหลีกำลังเฝ้าร้าน นางเอ่ยถามคนที่เข้ามาอย่างมีมารยาท กว่าจะมีคนเข้าร้านสักครั้งไม่ง่ายเลย
“ต้องใช้ลูกแก้วเซียนมากเท่าไร” คนที่มาเยือนก็เย็นชา โพล่งถามราคาทันที
“ลูกแก้วเซียนหรือ ไม่ต้องการ ร้านของข้าไม่ต้องการลูกแก้วเซียน” หลิวหลีส่ายหัวแล้วพูดขึ้น
“ไม่ต้องการลูกแก้วเซียน ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการอะไร” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“เพลิงเซียน หรือไม่ก็เบาะแสของเพลิงเซียน ของล้ำค่าอื่นๆก็ได้ ไม่ว่าจะต้องการยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ชนิดไหนก็สามารถปรุงให้ได้ทันที ของที่อยู่บนชั้นเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น” หลิวหลีอธิบาย
“ของตัวอย่าง” คำนี้เป็นศัพท์ใหม่ แต่ว่าดูจะตรงความเป็นจริงทีเดียว
“ใช่ ยาที่ข้าสามารถปรุงได้ ไม่ใช่เพียงแค่ยาที่ตั้งไว้อยู่บนชั้นเท่านั้น” หลิวหลีมั่นใจในจุดนี้มากทีเดียว
“ข้ามีของสิ่งนี้ จะช่วยข้าปรุงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ ด่วน” ชายหนุ่มโยนของชิ้นหนึ่งไปให้หลิวหลี นางรับไว้ แล้วเหลือบดู
“ได้ วันมะรืนมาเอาแล้วกัน” หลิวหลีพยักหน้า
“วันมะรืนหรือ ได้” ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจ วันมะรืนยังทันอยู่ หวังว่าเซียนนักปรุงยาท่านนี้จะไม่โกหก ไม่เช่นนั้นเขาก็มีวิธีที่จะทำให้ร้านนี้หายไปอย่างแน่นอน เขาไปร้านยาเซียนศักดิ์สิทธิ์แถวนี้มาทุกร้าน นี่คือความหวังสุดท้าย หวังว่าจะเรียบร้อย
เมื่อรับค่าตอบแทนมา จัดแจงนัดวันรับยาเรียบร้อย หลิวหลีก็ปิดร้านไปปรุงยา อัตราสำเร็จในการปรุงยาของนางสูงมากอยู่แล้ว จะใช้เวลานานได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเพลิงเซียนหยินหยางบรรลุขั้นโดยสมบูรณ์ ทำให้ความเร็วในการปรุงยาของนางเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่ชายหนุ่มผู้นั้นต้องการถูกปรุงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลิวหลีหมุนขวดขนาดเล็กในมือเล่น อืม น่าจะมีคนได้รับบาดเจ็บ และคงหนักหนาทีเดียว แต่กลับเลือกมาที่ร้านของนาง ไม่ไปร้านยาที่มีชื่อเสียงพวกนั้น แล้วดูจากของที่ให้มา คงไม่น่าใช่คนจน
“ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ล่ะ” ชายหนุ่มมาตามวันเวลานัดแลยเอ่ยเข้าประเด็นทันที
“เอาไป”
“ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มดีใจ รับยาเซียนศักดิ์สิทธิ์แล้วจากไป
“เอ่อ มีนิสัยตรงไปตรงมาจริงๆ” หลิวหลีนึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะไม่เปิดดูเลยด้วยซ้ำไป พอได้ยาก็เดินออกไปเลย ไม่กลัวว่าจะโดนนางหลอกหรืออย่างไร
“น้องหญิงดูอะไรอยู่” หนานกงเวิ่นเทียนออกฌาน ก็เห็นหลิวหลีเหม่อดูอะไรบางอย่าง
“ท่านพี่ การค้าขายครั้งแรกของเรา” หลิวหลีชูของในมือให้เขาดู
“เจ้าสุดยอดมาก” หนานกงเวิ่นเทียนรีบชมขึ้นมาทันที
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเป็นใครล่ะ” นางคือหลงหลิวหลีเป็นถึงเซียนนักปรุงยาอันดับหนึ่งในโลกเซียน
ชายหนุ่มที่ได้ยาไปก็เดินไปยังที่แห่งหนึ่ง เปิดแนวเขตต้องห้าม ป้อนยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้กับผู้บำเพ็ญชายที่กำลังนั่งหลับตา
“หวังว่าจะได้ผล” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง
เพียงไม่นานผู้บำเพ็ญชายที่หลับตาอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาชันตัวลุกขึ้น กระอักเลือดสีดำออกมา แล้วฟื้นขึ้น
“พี่ใหญ่ ท่านดีขึ้นบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างร้อนรน
“หมิงอวี่ ที่นี่คือที่ไหน” ชายหนุ่มเอ่ยปากถาม
“พี่ใหญ่วางใจเถอะ ที่นี่ปลอดภัย” ชายหนุ่มที่มีนามว่าหมิงอวี่กล่าว
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี นึกไม่ถึงว่าวิวัฒนาการการปรุงยาเดี๋ยวนี้จะดีขนาดนี้แล้ว”ชายชื่อหมิงเย่ากล่าว
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าของร้านเล็กๆนั้นจะมีความสามารถถึงเพียงนี้” เมื่อหมิงอวี่เห็นพี่ใหญ่ฟื้นได้สติ แถมที่สำคัญดูกระปรี้กระเปร่า ดูผ่อนคลายลงไม่น้อย
“ร้านเล็กๆหรือ?”
“ใช่ เป็นร้านเล็กๆที่แปลกประหลาด ไม่ต้องการลูกแก้วเซียน ต้องการแค่เพลิงเซียน หรือไม่ก็เบาะแสของเพลิงเซียน หรือไม่ก็ของล้ำค่าจากธรรมชาติ” หมิงอวี่นึกถึงร้านเล็กๆที่ช่วยพี่ชายของตนเอาไว้ ก็อดพูดเสริมไม่ได้
“เพลิงเซียน หมิงอวี่ พาพี่ไปที่ร้านนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นโชคชะตาและโอกาสของพวกเราก็ได้” หมิงเย่านิ่งไปสักพักแล้วตัดสินใจ
“พี่ใหญ่ พี่คงไม่ได้อยากจะเชิญคนร้านนั้นไปกับเราใช่ไหม” หมิงอวี่เข้าใจเจตนาของพี่ชายเขาในทันที แต่รู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก
“ใช่ จากที่เจ้าเล่า ข้ารู้สึกว่าร้านนี้ต้องไม่ธรรมดา คงจะเป็นยอดฝีมือ หรือไม่ก็เป็นคนที่อำพรางพลังบำเพ็ญเพียร” หมิงเย่าวิเคราะห์
“พี่ใหญ่ ข้าว่าไม่เหมือน” หมิงอวี่ก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่ดี
“ยอดฝีมือไม่บอกว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือหรอก หมิงอวี่ พาพี่ไป เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง” หมิงเย่ากล่าว น้องชายคนนี้ดีหมดทุกอย่าง แต่เรื่องการดูคนยังคงต้องพัฒนา
“เจ้า… ท่านผู้นี้คือ หรือจะเป็นคนที่ต้องใช้ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์คนนั้น” หลิวหลีเหลือบดู อ้าวคนผู้นั้นกลับมาอีกแล้ว ส่วนคนด้านข้างคงต้องเป็นคนที่ได้รับความช่วยเหลือคนนั้นแน่
“ใช่ ข้าเอง ข้าชื่อหมิงอวี่ นี่คือพี่ชายของข้า หมิงเย่า ขอพูดอะไรด้วยหน่อยจะได้หรือไม่” หมิงอวี่พูดอย่างตรงไปตรงมา
“ได้ เชิญด้านหลัง” คนผู้นี้พูดจาตรงไปตรงมา แต่ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกรังเกียจ หลิวหลีชอบคนเช่นนี้ นางไม่ชอบคนที่พูดจาอ้อมไปอ้อมมา เหนื่อยเกินไป
“น้องพี่ สองคนนี้คือ” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น ฮูหยินของเขาก็พาผู้ชาย 2 คนกลับเข้ามาด้วย แถมเข้าไปในตัวบ้านด้วยซ้ำ
“อ่อ ท่านพี่ ท่านนี้คือผู้บำเพ็ญที่มาซื้อยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ชื่อหมิงอวี่ ส่วนข้างๆคือพี่ชายของเขา หมิงเย่า” หลิวหลีแนะนำ
“สวัสดีทั้งสองท่าน” เพิ่งครู่เดียวเท่านั้นรู้กระทั่งชื่อของฝ่ายตรงข้าม หนานกงเวิ่นเทียนเริ่มเกิดอาการหึงหวงอีกครั้ง
“นี่คือสามีของข้า เจี่ยหมิง เรียกข้าว่าฮูหยินเจี่ยก็พอแล้ว” หลิวหลีแนะนำตัวเอง
“นายท่านเจี่ย ฮูหยินเจี่ย” ชื่อแปลกประหลาดจริงๆ
“มารบกวนโดยพลการ ต้องขออภัยด้วย” หมิงเย่ากล่าวพลางประสานมือ
“ไม่ต้องเกรงใจ” ในเมื่อรู้ว่ามาโดยพลการ แล้วจะมาพูดขอรบกวนอีกทำไม
“อาการบาดเจ็บของข้า ทั้ง 2 ท่านก็ได้เห็นแล้ว ได้รับบาดเจ็บจากการไปตามร่องรอยเซียนแห่งหนึ่ง โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากฮูหยิน” หมิงเย่ากล่าว
“ยื่นหมูยื่นแมวกันก็เท่านั้นเอง” ส่วนจะมีมูลค่าเท่ากันหรือไม่นั้น หลิวหลีไม่รู้ เจ้าให้ค่าตอบแทนมา ข้าให้ของไป ก็ถูกแล้ว
“ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเพราะฮูหยิน ที่พวกข้าสองพี่น้องมาครั้งนี้ ก็อยากจะเชิญทั้ง 2 ท่านไปตามหาร่องรอยยอดเซียนนี้ด้วยกัน พูดตามตรงพวกเราเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไรข้างใน แต่คิดว่าคงจะได้อะไรกลับมาไม่น้อย” หมิงเย่ากล่าว
“ร่องรอยยอดเซียน” หนานกงเวิ่นเทียนกับหลิวหลีมองหน้ากัน พวกเขาทั้งสองคนไม่เคยไปตามหาร่องรอยเซียนมาก่อน จะกระโดดข้ามขั้นไปหาร่องรอยยอดเซียนเลย ก็รู้สึกว่าจะเร็วไปหน่อย แต่ว่าไปดูหน่อยก็ได้ เปิดร้านเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น จะเปิดหรือปิดก็ไม่เป็นไร
“ได้ เพราะอย่างไรพวกเราสองคนเปิดร้านก็เพราะไม่มีอะไรทำ” หลิวหลีตกลง แต่มุมปากของทั้งสองคนกระตุก เปิดร้านเพราะไม่มีอะไรทำ ทั้งสองคนนี้เป็นศิษย์จากสำนักใหญ่โตที่ไหน ถึงว่างจนมาเปิดร้าน พลังบำเพ็ญเพียรเพิ่งจะอยู่ในขั้นเซียนอธนการ แค่เซียนอธนการเท่านั้นหรือว่าจะอำพรางพลังบำเพ็ญเพียรไว้ ความคิดนี้แล่นผ่านหัวของหมิงเย่า และทิ้งร่องรอยไว้
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ตามนั้น” หมิงเย่ากล่าว
“รับไป รักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าให้ดีก่อนจะได้นำทางได้” หลิวหลีโยนขวดหยกขนาดเล็กให้ นางพอจะดูออกว่าพี่ชายคนนี้เป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง
“สหายเซียน ช่างมีความเมตตา” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร หมิงเย่าก็ต้องขอบคุณอีกฝ่าย
“ถ้าเป็นเช่นนี้ รอจนสหายเซียนรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีแล้วมารวมตัวกันที่ร้านของข้าดีไหม” หลิวหลีเสนอ
“ตกลง”
“เสี่ยวเทียน ร่องรอยยอดเซียนที่ว่านี้ไม่รู้ว่าของจริงหรือของปลอม” เมื่อเห็นทั้งสองเดินไปแล้ว หลิวหลีจึงเริ่มคุยกับหนานกงเวิ่นเทียน
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไปดูก็คงจะไม่มีอะไรเสียหาย สองคนนี้มีความสามารถไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีผู้ช่วย สุดท้ายได้ผู้ช่วยที่ปรุงยาได้ เจ้าก็เลยเป็นตัวเลือกของสองพี่น้อง” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังดีกว่าให้พวกเราเร่หาไปทั่ว มีของมาหาถึงที่เช่นนี้ถึงจะดีที่สุด” แถมพวกเขายังเป็นคนตัวเป็นๆอีกด้วย มีคนนำทางพวกเขาไปจนถึงที่หมายไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร พวกเขาก็ไม่กลัว
“ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วกัน พวกเราน่าจะสามารถรับมือได้” หนานกงเวิ่นเทียนย่อมรู้ดีว่าหลิวหลีอยากไป
หลังจากที่ทั้งสองคนปรึกษากันแล้ว จึงตัดสินใจที่จะบำเพ็ญเพียรสักเล็กน้อย เพราะเข้าฌาณยาวๆไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับพวกเขา
………………………