แล้วนางก็เดินผ่านไปราวเดินเล่นในสวนสัตว์ เหมือนอสูรพวกนี้กำลังเกรงกลัวอะไร กลัวฮูหยินเจี่ยผู้นี้หรือ ถ้าเช่นนั้นฮูหยินเจี่ยผู้นี้เป็นใครกันแน่ ทำไมเหล่าอสูรมารถึงได้เกรงกลัวขนาดนี้ “ข้าดูผิดไปหรือเปล่า สี่คนนั้นถูกอสูรกินไปแล้วใช่ไหม ทำไมถึงเดินผ่านไปได้อย่างสบายๆ” “พวกข้ามีตาหามีแววไม่ คิดไม่ถึงว่าจะตัดสินคนโดยพลังบำเพ็ญเพียร ช่างน่าละอายจริงๆ” สิ่งที่ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นก็คือ เดี๋ยวพวกเขาต้องผ่านการสู้รบอย่างดุเดือดจึงจะผ่านกลุ่มอสูรไปได้ ดูคนขั้นเซียนอธนการผู้นั้นเหมือนว่าการพาพวกเขาทั้งหมดเดินผ่านไปจะไม่ใช่ปัญหา ทำไมพวกเขาถึงปากพล่อยขนาดนั้นนะ “ทุกท่านลองมาคิดดูกันดีกว่าว่าจะผ่านไปอย่างไร ของล้ำค่าที่อยู่ด้านในนั้นไม่อยากได้แล้วหรือ 4 คนนั้นนำหน้าพวกเราไปไกลแล้ว” มีคนพูดความจริงอันแสนสลดใจออกมา จุดประสงค์ในการมาที่นี่คืออะไร ยังจะต้องพูดอีกหรือ ย่อมต้องเป็นเพราะสมบัติล้ำค่าอยู่แล้ว โดนคนชิงเข้าไปก่อน หากเอาแต่บ่นกันอยู่แบบนี้ของก็ไม่เหลือแล้ว ในอีกด้านหนึ่ง พวกหลิวหลีเดินผ่านฝูงอสูรไปอย่างสบายๆ ราบรื่นเสียจนพี่น้องสกุลหมิงนึกว่าเป็นความฝัน ฝันที่ยังไม่ตื่น ความจริงที่ทำให้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน “พี่น้องสกุลหมิงเราต้องไปอย่างไรต่อ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว หลิวหลีกดพลังในตัว เหล่าอสูรมารหวาดระแวง มองดูปากที่มีขนาดที่เล็กกว่าปากของพวกเขา แต่กลับโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้ พลังอำนาจทำให้พวกมันไม่กล้าขยับเขยื้อน “อ้อ ทางนี้” หมิงเย่าได้สติกลับมาแล้วจึงชี้ตามทิศทางที่กุญแจบอก ไม่มีพลังเซียนแม้แต่นิดเดียว ทำให้ความสงสัยในใจ 30 ส่วนของหลิวหลีกลายเป็น 50 ส่วนเป็นรอยเซียนจริงหรือนี่? สองสามีภรรยาสบตากัน ทั้งสองคนระแวดระวังตัวมากขึ้น จู่ๆข้างหน้าก็มีพลังเซียนที่มีความเข้มข้นปรากฏขึ้น ด้านในมีพืชเซียนจำนวนไม่น้อย หลิวหลีเชื่อว่าการรับรู้ของตัวเองไม่ผิดพลาด ที่นี่จะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ “พืชเซียนมากมายจริงๆ พลังเซียนเข้มข้น แล้วสูดลมหายใจเข้าปอด ทำให้พลังบำเพ็ญเพียรของข้าเพิ่มขึ้นไม่น้อย” หมิงอวี่พูดด้วยความสุขสม “ผิดปกติ” หลิวหลีพยายามกดพลังเซียนที่เคลื่อนไหวในร่างกาย หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน ตลอดทางที่ผ่านมาไม่มีพลังเซียนเลยแม้แต่นิดเดียวแต่อยู่ๆก็มีพลังเซียนที่เข้มข้นขนาดนี้ ต้องมีอะไรผิดปกติ “สหายเซียนทั้งสอง เร็วเข้า พวกเราสามารถฝึกฝนบำเพ็ญที่นี่ได้ พลังเซียนเข้มข้นมาก รู้สึกเหมือนข้าจะบรรลุได้เลย” หมิงอวี่เร่งหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียน “แย่แล้ว สองพี่น้องนั้นถูกควบคุมไว้แล้ว จะต้องรีบออกจากที่นี่โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นจะมีอันตราย” หลิวหลีเห็นความผิดปกติ สองคนนั้นดวงตาแดงก่ำ ดวงตาเบิกโพลง เห็นได้ชัดว่าโดนเล่นงานเข้าแล้ว หลังจากสิ้นสุดเสียงของหลิวหลี พืชเซียนที่ตอนแรกอยู่อย่างสงบก็ดูเหมือนได้รับการกระตุ้น รีบทยอยกันเข้ามาโจมตี หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนพยายามหลบไปด้วย แล้วก็เตรียมจะลากสองพี่น้องสกุลหมิงที่โดนเล่นงานออกไปด้วย แต่ทั้งสองคนโดนพิษเล่นงานอย่างลึกซึ้งจึงไม่ให้ความร่วมมือใดๆ พวกเขาจึงตีสองคนนั้นให้สลบแล้วพยายามเดินหลบพืชเซียนที่ผิดปกติ ออกเดินทางต่อ แต่อยู่ดีๆก็มีไม้เลื้อยเล็กๆปรากฏขึ้นมารัดขาพวกเขาเอาไว้ ทำให้เดินไปไหนไม่ได้ หลิวหลีปล่อยเพลิงเซียนดาราทมิฬออกมา เผาไม้เลื้อยให้หลุดออก อาจเพราะเกรงกลัวเพลิงเซียน พืชเซียนที่ร้ายกาจเมื่อครู่ก็กลับสู่สภาพที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือนตอนที่พวกเขาเพิ่งเข้ามาทันที “เป็นพืชก็มักจะกลัวไฟ ทั้งยังเป็นไฟระดับสูงด้วย” หลิวหลีเข้าใจเรื่องนี้ “ยังดีที่น้องหญิงมีเพลิงเซียน ไม่เช่นนั้นก็คงต้องเปลืองแรง” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว สองพี่น้องสกุลหมิงถูกทั้งสองคนโยนไปข้างๆราวกับถุงผ้า ไม่ได้มีความระวังตัวอะไรเลย ฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นเซียนสุขาวดีได้อย่างไร “น้องหญิง สองคนนี้เป็นตัวถ่วงของเรา” หนานกงเวิ่นเทียนพูดความจริงออกมาตรงๆ “เป็นตัวถ่วงก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็เชิญพวกเรามา” หลิวหลีแบมือออกสองข้าง จะให้แย่งของมาจากพวกเขาแล้วทิ้งพวกเขาไปคงไม่ได้ ถึงแม้จะสะดวกมาก แต่ไร้ซึ่งคุณธรรม เวรกรรมจะตามทัน ไม่คุ้ม “เฮ้อ ปลุกให้พวกเขาฟื้นเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนจะไม่เข้าใจได้อย่างไร หลังจากนั้นคนพวกนั้นก็ตามเข้ามา เพียงแต่ว่าได้รับความเสียหายไปไม่น้อยจากฝูงอสูร พอเห็นพืชเซียนที่ไม่มีพิษมีภัย และมีโอกาส ทำให้น้ำลายเกือบไหลออกมา จึงรีบพุ่งตัวเข้าไป ค่าเสียหายน่ะหรือ คนทั้งกลุ่มนั้นไม่มีใครที่เสื้อผ้าเรียบร้อยเลยสักคน “พวกเรายังขนาดนี้ คาดว่า 4 คนนั้นคงจะเป็นศพอยู่ในกองพืชเซียนพิสดารพวกนั้นแล้ว” “จะมั่นใจขนาดนั้นไม่ได้ รู้สึกว่าพี่น้องคู่นั้นไม่ได้มีความน่ากลัวอะไร ส่วนสามีภรรยาคู่นั้นถึงจะเป็นเซียนอธนการ แต่กลับทำให้คนรู้สึกเกรงกลัว” มีคนพูดขึ้น สามีภรรยาคู่นั้น ถึงแม้จะหัวเราะ ทำท่าทางไม่แยแสอะไร แต่ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขารู้ทุกอย่าง มองพวกเขาเหมือนตัวตลก “เจ้าคิดมากเกินไปหรือเปล่า” มีคนไม่เห็นด้วย “หวังว่าข้าจะคิดมากเกินไปจริงๆ” หลิวหลีที่ถูกคนกล่าวถึง ปลุกพี่น้องบ้านสกุลหมิงให้ฟื้นขึ้น ฟังคำพูดที่รู้สึกผิดของพวกเขา ทั้งสองคนให้อภัย แล้วจึงออกเดินหน้ากันต่อไป “พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าคือทางนี้” หลิวหลีมองดูมังกรเวหาที่น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตบรรพกาลตรงหน้าที่ไม่รู้ว่าอยู่มานานเท่าไหร่ “กุญแจบอกมาเช่นนี้” หมิงเย่าก็พูดไม่ออก “ข้าหวังว่าหลังบานประตูนี้จะถึงจุดหมายเสียที” หลิวหลีกล่าวขณะมองประตูที่อยู่ด้านหลัง “แต่จะจัดการมังกรเวหาตัวนี้อย่างไรดี” หมิงอวี่ถาม รู้สึกเหมือนจะร้ายกาจมากกว่าฝูงอสูรมารก่อนหน้าหลายร้อยเท่า พวกเขาสองพี่น้องยังไม่เท่าหนึ่งกรงเล็บของมังกรเลยด้วยซ้ำไป “น่าจะมีดวงจิตอยู่” หลิวหลีเริ่มคิดอยากจะได้ดวงจิตของมังกรเวหา อืม อาเลี่ยน่าจะใช้ได้ แล้วค่อยขจัดพลังมารที่อยู่ในนั้นออก ดังนั้นพอมาถึงจุดนี้แล้วใช่รอยเซียนจริงหรือไม่ นางเริ่มมั่นใจประมาณ 80 ส่วน “อือ อาเลี่ยน่าจะสามารถใช้ได้” สองสามีภรรยาคิดเหมือนกัน มังกรที่พวกเขาสนิทที่สุด ก็มีอยู่แค่ตัวเดียว “จะยากไหม?” หลิวหลีถามหนานกงเวิ่นเทียน “ไม่ยากมาก” หนานกงเวิ่นเทียนบอกว่าถึงแม้จะยากเล็กน้อย แต่พอจะรับมือได้ “รู้สึกว่าพวกเราจะต้องรีบหน่อย เหมือนคนข้างหลังเจะตามมาทันแล้ว” หลิวหลีลองสัมผัสดู แล้วพูดขึ้น สองพี่น้องสกุลหมิงถึงกับงุนงง สองคนนี้เป็นใครกันแน่ พวกเขาเป็นเซียนอธนการจริงๆหรือ มีเซียนอธนการที่เก่งขนาดนี้ด้วยหรือ พวกเขาไม่เห็นเซียนสุขาวดีอยู่ในสายตา และใช้หางตาแลเซียนสุวรรณนภาเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เซียนอธนการ หรือว่าจะเป็นเซียนนภานพเก้า สองพี่น้องรู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเอง หากว่าเป็นเซียนนภานพเก้าจริงๆ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาแค่ลองสุ่มหา ก็เจอผู้ช่วยที่มีความสามารถขนาดนี้มาได้ “ข้าจัดการเอง” หลิวหลีก้าวออกมาข้างหน้า “ก็ดีเหมือนกัน” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า ถึงแม้พวกเขาจะพลังบำเพ็ญเพียรเท่ากัน แต่เมื่อเทียบกันพลังการต่อสู้กันแล้ว นังหนูค่อนข้างแข็งแกร่งมากกว่า หลิวหลีพุ่งตัวเข้าไป มังกรเวหาหงุดหงิดเล็กน้อย มันใช้กรงเล็บตะปบลงไปจนเกิดเป็นรอยเล็บขนาดใหญ่ นางโจมตีกลับและปล่อยพลังเซียนออกไป เฮ้อ นางขาดอาวุธที่สามารถจับได้ถนัดมือ อืม มังกรเวหาตัวนี้ก็ไม่เลว หากทำความสะอาดแล้วนำเนื้อไปทำเป็นเนื้ออบแห้ง น่าจะรสชาติดีไม่น้อย ถึงแม้ความคิดของหลิวหลีจะล่องลอยไปไกล แต่ก็ยังคงโจมตีอย่างแม่นยำ “ฮูหยินเจี่ยเก่งกาจจริงๆ” หมิงอวี่มองดูกระบวนท่าที่สง่างามของหลิวหลีอย่างหลงใหล หมิงเย่าพบว่านายท่านเจี่ยก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ฮูหยินเจี่ยต่อสู้กับมังกรเวหาเฉียดมาโดนพวกเขาบ้างเป็นบางครั้ง แต่พวกเขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย คิดว่าน่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายสร้างปราการขึ้นกำบังให้ด้วย “ไม่เล่นแล้ว พวกคนกลุ่มใหญ่กำลังจะมาแล้ว” หลิวหลีตัดสินใจจะไม่เล่นต่อ เพลิงสีดำบนมือขวาแตกตัวออกมาเป็นพันเป็นหมื่นดวง พันธนาการมังกรเวหาไว้อย่างแน่นหนา “อืม ดวงจิตอสูรของเจ้าน่าจะอยู่ตรงนี้กระมัง” หลิวหลีพยายามควานหาตำแหน่งบนตัวของมังกรเวหา ที่แม้จะถูกกดลงไปกับพื้นแต่มันก็ยังดิ้นรนไม่ยอมแพ้ เมื่อหาตำแหน่งเจอ จึงเรียกเพลิงสีดำขาวมาบนมือซ้าย แล้วล้วงเข้าไปในร่างของมังกรเวหา มันส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโมโหก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องโอดครวญในตอนสุดท้าย หลิวหลีควักดวงจิตอสูรที่มีขนาดประมาณใบหน้าตนเอง และใช้เพลิงเซียนเผาทำลายพลังมาร มังกรเวหาปิดตาลงอย่างไม่ยินยอม เหมือนนึกไม่ถึงว่ามนุษย์ที่ตัวเล็กกว่าช่องฟันของตัวเองจะร้ายกาจได้ขนาดนี้ หลิวหลีใช้เพลิงเซียนดาราทมิฬเผาทั่วร่างของมัน มีของสีดำไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายขนาดของมังกรเวหาเหลือแค่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น นางจึงหยุดมือ และเก็บดวงจิตอสูรกับมังกรเวหาเข้าไป ใช้มนตร์ทำความสะอาดตัวเอง เดินเข้าไปหาคนทั้งสามคนในสภาพเดิม หนานกงเวิ่นเทียนจึงเก็บปราการกำบังเข้าไป “ไม่เลวเลย ข้าคิดว่าหลังจากเผาเสร็จเหลือประมาณ 1 ใน 3 ส่วนก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ใครจะไปคิดว่าจะเหลือเยอะขนาดนี้” หลิวหลีบอกว่านึกไม่ถึงว่าจะมีเนื้อเยอะขนาดนี้ ใช้ทำเนื้ออบแห้งได้เยอะทีเดียว “อาเลี่ย จื่อฉี อิงเสวี่ยน่าจะดีใจไม่น้อย” หนานกงเวิ่นเทียนก็รักอสูรเทพทั้ง 3 ตัวมากกว่าคนรอบข้างเล็กน้อย แน่นอนว่าเมื่อมีเนื้อ ก็จะนึกถึงพวกเขา “พวกเราไปกันเถอะ คนกลุ่มนั้นมาแล้ว” หูของหนานกงเวิ่นเทียนขยับน้อยๆ แล้วพูดขึ้น ทั้ง 4 คนเดินหน้าต่อไป หมิงเย่าใช้กุญแจเปิดประตู “ระวัง หลบไป” อยู่ๆหลิวหลีก็สัมผัสได้ถึงอันตราย จึงพูดตะโกนขึ้น ทันใดนั้นเองด้านในก็มีเปลวเพลิงสีฟ้าลอยออกมา แต่ในนั้นกลับแฝงไปด้วยพลังแห่งความมืด นี่เป็นเพลิงเซียนที่ถูกมารเข้าครอบงำ หลิวหลีที่มีประสาทสัมผัสไวต่อเพลิงเซียน ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเพลิงเซียน และสิ่งที่ทำให้นางดีใจที่สุดก็คือ เพลิงหทัยสมุทรภายในร่างกายเกิดความเคลื่อนไหว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เพลิงเซียนนี้ถูกตีตราจองแล้ว เป็นของหลิวหลี “ท่านพี่ ของชิ้นนี้เป็นของข้า ช่วยข้าขวางคนพวกนั้นไว้ที” ดวงตานางเป็นประกาย เพลิงเซียน ข้ามาแล้ว หนานกงเวิ่นเทียนปล่อยพลังเซียนออกมาทันที คนกลุ่มนั้นที่ตามมาด้านหลังแล้วถูกขวางไว้ด้านนอกขยับตัวไม่ได้ ฮูหยินของเขาบอกแล้ว นั่นเป็นของนาง ซึ่งหมายความว่า เปลวเพลิงสีฟ้าที่มีพลังมารแฝงอยู่นั้นเป็นเพลิงเซียน ………………………..
แล้วนางก็เดินผ่านไปราวเดินเล่นในสวนสัตว์ เหมือนอสูรพวกนี้กำลังเกรงกลัวอะไร กลัวฮูหยินเจี่ยผู้นี้หรือ ถ้าเช่นนั้นฮูหยินเจี่ยผู้นี้เป็นใครกันแน่ ทำไมเหล่าอสูรมารถึงได้เกรงกลัวขนาดนี้
“ข้าดูผิดไปหรือเปล่า สี่คนนั้นถูกอสูรกินไปแล้วใช่ไหม ทำไมถึงเดินผ่านไปได้อย่างสบายๆ”
“พวกข้ามีตาหามีแววไม่ คิดไม่ถึงว่าจะตัดสินคนโดยพลังบำเพ็ญเพียร ช่างน่าละอายจริงๆ” สิ่งที่ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นก็คือ เดี๋ยวพวกเขาต้องผ่านการสู้รบอย่างดุเดือดจึงจะผ่านกลุ่มอสูรไปได้ ดูคนขั้นเซียนอธนการผู้นั้นเหมือนว่าการพาพวกเขาทั้งหมดเดินผ่านไปจะไม่ใช่ปัญหา ทำไมพวกเขาถึงปากพล่อยขนาดนั้นนะ
“ทุกท่านลองมาคิดดูกันดีกว่าว่าจะผ่านไปอย่างไร ของล้ำค่าที่อยู่ด้านในนั้นไม่อยากได้แล้วหรือ 4 คนนั้นนำหน้าพวกเราไปไกลแล้ว” มีคนพูดความจริงอันแสนสลดใจออกมา จุดประสงค์ในการมาที่นี่คืออะไร ยังจะต้องพูดอีกหรือ ย่อมต้องเป็นเพราะสมบัติล้ำค่าอยู่แล้ว โดนคนชิงเข้าไปก่อน หากเอาแต่บ่นกันอยู่แบบนี้ของก็ไม่เหลือแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง พวกหลิวหลีเดินผ่านฝูงอสูรไปอย่างสบายๆ ราบรื่นเสียจนพี่น้องสกุลหมิงนึกว่าเป็นความฝัน ฝันที่ยังไม่ตื่น ความจริงที่ทำให้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน
“พี่น้องสกุลหมิงเราต้องไปอย่างไรต่อ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
หลิวหลีกดพลังในตัว เหล่าอสูรมารหวาดระแวง มองดูปากที่มีขนาดที่เล็กกว่าปากของพวกเขา แต่กลับโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้ พลังอำนาจทำให้พวกมันไม่กล้าขยับเขยื้อน
“อ้อ ทางนี้” หมิงเย่าได้สติกลับมาแล้วจึงชี้ตามทิศทางที่กุญแจบอก
ไม่มีพลังเซียนแม้แต่นิดเดียว ทำให้ความสงสัยในใจ 30 ส่วนของหลิวหลีกลายเป็น 50 ส่วนเป็นรอยเซียนจริงหรือนี่?
สองสามีภรรยาสบตากัน ทั้งสองคนระแวดระวังตัวมากขึ้น จู่ๆข้างหน้าก็มีพลังเซียนที่มีความเข้มข้นปรากฏขึ้น ด้านในมีพืชเซียนจำนวนไม่น้อย หลิวหลีเชื่อว่าการรับรู้ของตัวเองไม่ผิดพลาด ที่นี่จะต้องมีอะไรผิดปกติแน่
“พืชเซียนมากมายจริงๆ พลังเซียนเข้มข้น แล้วสูดลมหายใจเข้าปอด ทำให้พลังบำเพ็ญเพียรของข้าเพิ่มขึ้นไม่น้อย” หมิงอวี่พูดด้วยความสุขสม
“ผิดปกติ” หลิวหลีพยายามกดพลังเซียนที่เคลื่อนไหวในร่างกาย หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน ตลอดทางที่ผ่านมาไม่มีพลังเซียนเลยแม้แต่นิดเดียวแต่อยู่ๆก็มีพลังเซียนที่เข้มข้นขนาดนี้ ต้องมีอะไรผิดปกติ
“สหายเซียนทั้งสอง เร็วเข้า พวกเราสามารถฝึกฝนบำเพ็ญที่นี่ได้ พลังเซียนเข้มข้นมาก รู้สึกเหมือนข้าจะบรรลุได้เลย” หมิงอวี่เร่งหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียน
“แย่แล้ว สองพี่น้องนั้นถูกควบคุมไว้แล้ว จะต้องรีบออกจากที่นี่โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นจะมีอันตราย” หลิวหลีเห็นความผิดปกติ สองคนนั้นดวงตาแดงก่ำ ดวงตาเบิกโพลง เห็นได้ชัดว่าโดนเล่นงานเข้าแล้ว
หลังจากสิ้นสุดเสียงของหลิวหลี พืชเซียนที่ตอนแรกอยู่อย่างสงบก็ดูเหมือนได้รับการกระตุ้น รีบทยอยกันเข้ามาโจมตี หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนพยายามหลบไปด้วย แล้วก็เตรียมจะลากสองพี่น้องสกุลหมิงที่โดนเล่นงานออกไปด้วย แต่ทั้งสองคนโดนพิษเล่นงานอย่างลึกซึ้งจึงไม่ให้ความร่วมมือใดๆ พวกเขาจึงตีสองคนนั้นให้สลบแล้วพยายามเดินหลบพืชเซียนที่ผิดปกติ ออกเดินทางต่อ แต่อยู่ดีๆก็มีไม้เลื้อยเล็กๆปรากฏขึ้นมารัดขาพวกเขาเอาไว้ ทำให้เดินไปไหนไม่ได้ หลิวหลีปล่อยเพลิงเซียนดาราทมิฬออกมา เผาไม้เลื้อยให้หลุดออก อาจเพราะเกรงกลัวเพลิงเซียน พืชเซียนที่ร้ายกาจเมื่อครู่ก็กลับสู่สภาพที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือนตอนที่พวกเขาเพิ่งเข้ามาทันที
“เป็นพืชก็มักจะกลัวไฟ ทั้งยังเป็นไฟระดับสูงด้วย” หลิวหลีเข้าใจเรื่องนี้
“ยังดีที่น้องหญิงมีเพลิงเซียน ไม่เช่นนั้นก็คงต้องเปลืองแรง” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว สองพี่น้องสกุลหมิงถูกทั้งสองคนโยนไปข้างๆราวกับถุงผ้า ไม่ได้มีความระวังตัวอะไรเลย ฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นเซียนสุขาวดีได้อย่างไร
“น้องหญิง สองคนนี้เป็นตัวถ่วงของเรา” หนานกงเวิ่นเทียนพูดความจริงออกมาตรงๆ
“เป็นตัวถ่วงก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็เชิญพวกเรามา” หลิวหลีแบมือออกสองข้าง จะให้แย่งของมาจากพวกเขาแล้วทิ้งพวกเขาไปคงไม่ได้ ถึงแม้จะสะดวกมาก แต่ไร้ซึ่งคุณธรรม เวรกรรมจะตามทัน ไม่คุ้ม
“เฮ้อ ปลุกให้พวกเขาฟื้นเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
หลังจากนั้นคนพวกนั้นก็ตามเข้ามา เพียงแต่ว่าได้รับความเสียหายไปไม่น้อยจากฝูงอสูร พอเห็นพืชเซียนที่ไม่มีพิษมีภัย และมีโอกาส ทำให้น้ำลายเกือบไหลออกมา จึงรีบพุ่งตัวเข้าไป ค่าเสียหายน่ะหรือ คนทั้งกลุ่มนั้นไม่มีใครที่เสื้อผ้าเรียบร้อยเลยสักคน
“พวกเรายังขนาดนี้ คาดว่า 4 คนนั้นคงจะเป็นศพอยู่ในกองพืชเซียนพิสดารพวกนั้นแล้ว”
“จะมั่นใจขนาดนั้นไม่ได้ รู้สึกว่าพี่น้องคู่นั้นไม่ได้มีความน่ากลัวอะไร ส่วนสามีภรรยาคู่นั้นถึงจะเป็นเซียนอธนการ แต่กลับทำให้คนรู้สึกเกรงกลัว” มีคนพูดขึ้น สามีภรรยาคู่นั้น ถึงแม้จะหัวเราะ ทำท่าทางไม่แยแสอะไร แต่ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขารู้ทุกอย่าง มองพวกเขาเหมือนตัวตลก
“เจ้าคิดมากเกินไปหรือเปล่า” มีคนไม่เห็นด้วย
“หวังว่าข้าจะคิดมากเกินไปจริงๆ”
หลิวหลีที่ถูกคนกล่าวถึง ปลุกพี่น้องบ้านสกุลหมิงให้ฟื้นขึ้น ฟังคำพูดที่รู้สึกผิดของพวกเขา ทั้งสองคนให้อภัย แล้วจึงออกเดินหน้ากันต่อไป
“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าคือทางนี้” หลิวหลีมองดูมังกรเวหาที่น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตบรรพกาลตรงหน้าที่ไม่รู้ว่าอยู่มานานเท่าไหร่
“กุญแจบอกมาเช่นนี้” หมิงเย่าก็พูดไม่ออก
“ข้าหวังว่าหลังบานประตูนี้จะถึงจุดหมายเสียที” หลิวหลีกล่าวขณะมองประตูที่อยู่ด้านหลัง
“แต่จะจัดการมังกรเวหาตัวนี้อย่างไรดี” หมิงอวี่ถาม รู้สึกเหมือนจะร้ายกาจมากกว่าฝูงอสูรมารก่อนหน้าหลายร้อยเท่า พวกเขาสองพี่น้องยังไม่เท่าหนึ่งกรงเล็บของมังกรเลยด้วยซ้ำไป
“น่าจะมีดวงจิตอยู่” หลิวหลีเริ่มคิดอยากจะได้ดวงจิตของมังกรเวหา อืม อาเลี่ยน่าจะใช้ได้ แล้วค่อยขจัดพลังมารที่อยู่ในนั้นออก ดังนั้นพอมาถึงจุดนี้แล้วใช่รอยเซียนจริงหรือไม่ นางเริ่มมั่นใจประมาณ 80 ส่วน
“อือ อาเลี่ยน่าจะสามารถใช้ได้” สองสามีภรรยาคิดเหมือนกัน มังกรที่พวกเขาสนิทที่สุด ก็มีอยู่แค่ตัวเดียว
“จะยากไหม?” หลิวหลีถามหนานกงเวิ่นเทียน
“ไม่ยากมาก” หนานกงเวิ่นเทียนบอกว่าถึงแม้จะยากเล็กน้อย แต่พอจะรับมือได้
“รู้สึกว่าพวกเราจะต้องรีบหน่อย เหมือนคนข้างหลังเจะตามมาทันแล้ว” หลิวหลีลองสัมผัสดู แล้วพูดขึ้น
สองพี่น้องสกุลหมิงถึงกับงุนงง สองคนนี้เป็นใครกันแน่ พวกเขาเป็นเซียนอธนการจริงๆหรือ มีเซียนอธนการที่เก่งขนาดนี้ด้วยหรือ พวกเขาไม่เห็นเซียนสุขาวดีอยู่ในสายตา และใช้หางตาแลเซียนสุวรรณนภาเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เซียนอธนการ หรือว่าจะเป็นเซียนนภานพเก้า สองพี่น้องรู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเอง หากว่าเป็นเซียนนภานพเก้าจริงๆ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาแค่ลองสุ่มหา ก็เจอผู้ช่วยที่มีความสามารถขนาดนี้มาได้
“ข้าจัดการเอง” หลิวหลีก้าวออกมาข้างหน้า
“ก็ดีเหมือนกัน” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า ถึงแม้พวกเขาจะพลังบำเพ็ญเพียรเท่ากัน แต่เมื่อเทียบกันพลังการต่อสู้กันแล้ว นังหนูค่อนข้างแข็งแกร่งมากกว่า
หลิวหลีพุ่งตัวเข้าไป มังกรเวหาหงุดหงิดเล็กน้อย มันใช้กรงเล็บตะปบลงไปจนเกิดเป็นรอยเล็บขนาดใหญ่ นางโจมตีกลับและปล่อยพลังเซียนออกไป เฮ้อ นางขาดอาวุธที่สามารถจับได้ถนัดมือ อืม มังกรเวหาตัวนี้ก็ไม่เลว หากทำความสะอาดแล้วนำเนื้อไปทำเป็นเนื้ออบแห้ง น่าจะรสชาติดีไม่น้อย ถึงแม้ความคิดของหลิวหลีจะล่องลอยไปไกล แต่ก็ยังคงโจมตีอย่างแม่นยำ
“ฮูหยินเจี่ยเก่งกาจจริงๆ” หมิงอวี่มองดูกระบวนท่าที่สง่างามของหลิวหลีอย่างหลงใหล
หมิงเย่าพบว่านายท่านเจี่ยก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ฮูหยินเจี่ยต่อสู้กับมังกรเวหาเฉียดมาโดนพวกเขาบ้างเป็นบางครั้ง แต่พวกเขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย คิดว่าน่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายสร้างปราการขึ้นกำบังให้ด้วย
“ไม่เล่นแล้ว พวกคนกลุ่มใหญ่กำลังจะมาแล้ว” หลิวหลีตัดสินใจจะไม่เล่นต่อ เพลิงสีดำบนมือขวาแตกตัวออกมาเป็นพันเป็นหมื่นดวง พันธนาการมังกรเวหาไว้อย่างแน่นหนา
“อืม ดวงจิตอสูรของเจ้าน่าจะอยู่ตรงนี้กระมัง” หลิวหลีพยายามควานหาตำแหน่งบนตัวของมังกรเวหา ที่แม้จะถูกกดลงไปกับพื้นแต่มันก็ยังดิ้นรนไม่ยอมแพ้ เมื่อหาตำแหน่งเจอ จึงเรียกเพลิงสีดำขาวมาบนมือซ้าย แล้วล้วงเข้าไปในร่างของมังกรเวหา มันส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโมโหก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องโอดครวญในตอนสุดท้าย หลิวหลีควักดวงจิตอสูรที่มีขนาดประมาณใบหน้าตนเอง และใช้เพลิงเซียนเผาทำลายพลังมาร มังกรเวหาปิดตาลงอย่างไม่ยินยอม เหมือนนึกไม่ถึงว่ามนุษย์ที่ตัวเล็กกว่าช่องฟันของตัวเองจะร้ายกาจได้ขนาดนี้ หลิวหลีใช้เพลิงเซียนดาราทมิฬเผาทั่วร่างของมัน มีของสีดำไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายขนาดของมังกรเวหาเหลือแค่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น นางจึงหยุดมือ และเก็บดวงจิตอสูรกับมังกรเวหาเข้าไป ใช้มนตร์ทำความสะอาดตัวเอง เดินเข้าไปหาคนทั้งสามคนในสภาพเดิม หนานกงเวิ่นเทียนจึงเก็บปราการกำบังเข้าไป
“ไม่เลวเลย ข้าคิดว่าหลังจากเผาเสร็จเหลือประมาณ 1 ใน 3 ส่วนก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ใครจะไปคิดว่าจะเหลือเยอะขนาดนี้” หลิวหลีบอกว่านึกไม่ถึงว่าจะมีเนื้อเยอะขนาดนี้ ใช้ทำเนื้ออบแห้งได้เยอะทีเดียว
“อาเลี่ย จื่อฉี อิงเสวี่ยน่าจะดีใจไม่น้อย” หนานกงเวิ่นเทียนก็รักอสูรเทพทั้ง 3 ตัวมากกว่าคนรอบข้างเล็กน้อย แน่นอนว่าเมื่อมีเนื้อ ก็จะนึกถึงพวกเขา
“พวกเราไปกันเถอะ คนกลุ่มนั้นมาแล้ว” หูของหนานกงเวิ่นเทียนขยับน้อยๆ แล้วพูดขึ้น
ทั้ง 4 คนเดินหน้าต่อไป หมิงเย่าใช้กุญแจเปิดประตู
“ระวัง หลบไป” อยู่ๆหลิวหลีก็สัมผัสได้ถึงอันตราย จึงพูดตะโกนขึ้น
ทันใดนั้นเองด้านในก็มีเปลวเพลิงสีฟ้าลอยออกมา แต่ในนั้นกลับแฝงไปด้วยพลังแห่งความมืด นี่เป็นเพลิงเซียนที่ถูกมารเข้าครอบงำ หลิวหลีที่มีประสาทสัมผัสไวต่อเพลิงเซียน ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเพลิงเซียน และสิ่งที่ทำให้นางดีใจที่สุดก็คือ เพลิงหทัยสมุทรภายในร่างกายเกิดความเคลื่อนไหว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เพลิงเซียนนี้ถูกตีตราจองแล้ว เป็นของหลิวหลี
“ท่านพี่ ของชิ้นนี้เป็นของข้า ช่วยข้าขวางคนพวกนั้นไว้ที” ดวงตานางเป็นประกาย เพลิงเซียน ข้ามาแล้ว
หนานกงเวิ่นเทียนปล่อยพลังเซียนออกมาทันที คนกลุ่มนั้นที่ตามมาด้านหลังแล้วถูกขวางไว้ด้านนอกขยับตัวไม่ได้ ฮูหยินของเขาบอกแล้ว นั่นเป็นของนาง ซึ่งหมายความว่า เปลวเพลิงสีฟ้าที่มีพลังมารแฝงอยู่นั้นเป็นเพลิงเซียน
………………………..