หลิวหลีแยกเพลิงเซียนดาราทมิฬออกเป็นพันดวง และยังแยกประสาทเซียนออกเกือบพันดวง เพื่อให้สามารถใช้ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของคูหลิน หนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างหลังก็ลอบโจมตีเป็นครั้งคราว แต่อย่างไรคูหลินก็เป็นคนที่เคยบำเพ็ญถึงขั้นจักรพรรดิเซียนมาก่อน ถึงพลังบำเพ็ญเพียรจะถดถอยไปมากแต่พละกำลังก็สูงกว่าคนกลุ่มนี้มาก เพียงไม่นานก็หนีรอดจากการล้อมโจมตีของคนทั้งสอง
หลิวหลีเก็บเพลิงเซียนดาราทมิฬเอาไว้ ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนถอยหลบไปข้างๆ
“พวกเจ้าสองคนไม่ใช่เซียนนภานพเก้าธรรมดาจริงๆ ช่างน่าสนใจ แต่ข้าจะเอาจริงแล้ว” อยู่ๆก็มีน้ำเข้ามาโอบล้อมคนทั้งสอง พวกเขาไม่ทันระวังตัวจึงถูกจับไว้ คนที่เหลือทุกคนเริ่มรู้สึกกังวล ถูกจับแล้ว? แล้วพวกเขาล่ะ จะต้องจบชีวิตอยู่ที่นี่หรือ
หลิวหลีมีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น ผู้บำเพ็ญสายมารคนนี้เป็นผู้บำเพ็ญธาตุวารีจริงๆ รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่ว่าออกจากที่นี่ก่อนน่าจะดีกว่า นางจึงมือชูมือขวาที่ถือเพลิงหทัยสมุทรที่เพิ่งจะกลายเป็นเพลิงเซียน เพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ในมือซ้าย แล้วรวมเพลิงสองดวงเข้าด้วยกัน เสียง ตู้ม! ดังขึ้น ทำให้น้ำที่อยู่รอบตัวนางกลายเป็นไอ ส่วนฟากหนานกงเวิ่นเทียนก็เปลี่ยนน้ำเป็นน้ำแข็งแล้วหนีออกมาจากการควบคุม
คูหลินนึกไม่ถึงว่าเด็กสองคนนี้จะมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้
“นังหนู เจ้าไม่ได้มีเพลิงเซียนแค่ชนิดเดียวกระมัง” ถึงคูหลินจะเป็นศพแห้ง แต่ประสาทรับรู้ยังคงอยู่ แน่นอนต้องได้กลิ่นอายที่ต่างออกไป
“ผู้อาวุโส จมูกสุนัขของท่านใช้การได้ไม่เลว” ไม่รู้ว่าหลิวหลีชมหรือด่า น้ำเสียงฟังดูเหมือนเป็นคำชม แต่ความจริงแล้วคืออะไรใครๆก็ฟังออก
“น่าสนใจ นังหนู เจ้าน่าสนใจเหมือนเจ้าหนูคนนั้นเลย” ตอนนี้คูหลินเริ่มสนใจในตัวหลิวหลีมากกว่าหนานกงเวิ่นเทียนเสียแล้ว
“ข้าควรจะคิดว่ามันคือคำชมไหม ท่านผู้อาวุโส”
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าหลิวหลีจะยังมีเพลิงเซียนอีก นี่เป็นข่าวใหญ่แล้ว นางฝึกฝนบำเพ็ญเคล็ดวิชาอะไรกันแน่ ถึงได้ดูดซึมเพลิงเซียนได้มากขนาดนี้ พวกเราๆจะดูดซึมแค่เพียงชนิดเดียวก็ยังไม่ไหว คุณสมบัติร่างกายแบบเจ้าตำหนักหลิวหลีคงจะไม่มีใครอีกแล้ว”
“ไม่รู้ว่าเพลิงเซียนที่เหลือจะเป็นชนิดไหนบ้าง อยากรู้จริงๆ”
“พวกเราควรจะเป็นห่วงก่อนว่า พวกเราจะมีชีวิตรอดออกจากที่นี่ก่อนไหม”
ทุกคนรีบมองคนที่โหดเหี้ยมสามคนตรงหน้า ใช่แล้วเรียกว่าโหดเหี้ยม เมื่อก่อนแค่รู้สึกว่าเจ้าตำหนักทั้ง 2 ท่านเป็นต้นแบบ วันนี้ได้รู้ว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่ต้นแบบ แถมเป็นคนโหดร้ายอีกด้วย
“นังหนู เอาความสามารถที่แท้จริงออกมาให้ข้าได้ดูหน่อย ว่าเจ้าสมควรให้ข้ามองเจ้าด้วยสายตาชื่นชมหรือไม่” คูหลินรู้สึกชื่นชมในตัวของหลิวหลี
“จัดให้” หลิวหลียินดี ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันจริงๆ
เพลิงเซียนทั้ง 4 สีปรากฏขึ้นในมือของนาง
“เพลิงเซียนดาราทมิฬ”
“เพลิงเซียนหทัยสมุทร”
“เพลิงเซียนวิญญาณไม้”
“เพลิงเซียนบุปผาเหมันต์”
“นี่ไม่ใช่เพลิงเซียนที่ปรากฏขึ้นในโลกเซียนในหมื่นปีมานี้หรือ ทำไมถึงเจ้าตำหนักหลิวหลีถึงได้พิชิตมันไปทั้งหมดเลย”
“นังหนู ไม่ธรรมดานี่ เจ้าคงไม่ได้มีเพลิงเซียนแค่นี้สินะ” คูหลินตกใจน้อยๆ แล้วก็ได้สติกลับมาได้
“มีเพลิงเซียนอยู่เท่านี้แหละ” ยังมีอีก 5 ชนิดที่ยังไม่ได้บรรลุขั้น นางไม่ได้โกหก แต่อีกฝ่ายจะเข้าใจอย่างไรนั้นก็ไม่เกี่ยวกับนาง
หลิวหลีรวมเพลิงเซียนทั้ง 4 เป็นลูกทรงกลม นางรู้สึกว่าไม่มีอะไรตรงไปตรงมาเท่ากับการโยนลูกทรงกลมนี้แล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนโยนระเบิดมือ สนุกจริงๆ แล้วก็ยังทำให้รู้สึกเหมือนได้ขยับทั้งร่างกาย
คูหลินรู้สึกได้ว่าในเพลิงเซียนนี้มีพลังงานที่น่ากลัว นังหนูคนนี้สุดยอดจริงๆ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงหลายแสนปีก่อนก็ยังถือว่าเป็นผู้ถูกเลือก ถ้าเป็นแต่ก่อน เขาก็อาจจะรู้สึกเสียดายคนที่มีความสามารถ แต่น่าเสียดาย เขาถูกขังมานานเกินไป เขาอยากจะออกไปเท่านั้น
หลิวหลีโยนลูกทรงกลมเพลิงเซียนออกไป แต่พอไปถึงตัวคูหลิน ก็แตกออกเป็น 100 ลูก
“นังหนู ของพรรค์นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” คูหลินพูดอย่างอวดดี
ใครจะไปรู้ว่าลูกทรงกลมๆนี่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น และกลายเป็นลำแสง 4 สีนับพันเส้นสายตรงเข้ารัดตัวคูหลินไว้ จากนั้นหลิวหลีจึงรีบพุ่งตามไป และปล่อยเพลิงเซียนหยินหยางในมือเข้าตรงกลางอกของคูหลิน ส่วนไท่จี๋อาศัยจังหวะที่คูหลินเผลอ สร้างความเสียหายภายในร่างกายของเขา หลิวหลีค้นพบอย่างประหลาดใจ
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าเป็นอสูรเทพที่บำเพ็ญสายมาร” หลิวหลีตกใจกับความจริงเรื่องนี้ อีกทั้งยังเป็นราชาวารีอสูรเทพธาตุน้ำ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญสายมาร มิน่าผู้บำเพ็ญสายธรรมถึงไม่สามารถเก็บเขาไว้ได้
“นึกไม่ถึงเลยว่า นังหนูอย่างเจ้าจะรู้เรื่องอสูรเทพด้วย” คูหลินยิ้มอมทุกข์ นังหนูคนนี้ใช้ค่ายกลพรางตา นึกไม่ถึงว่านางจะซ่อนเพลิงเซียนที่สุดยอดไว้อีกชนิดหนึ่ง หลอมรวมไอหยินหยางเพื่อสร้างความสมดุล และเพื่อเพิ่มพลังหยาง แถมยังสามารถปลดปล่อยออกมาเพื่อเพิ่มความเร็วในการทำลายพลังหยิน เขาคงต้องยอมแล้วจริงๆ
“ข้ามาจากเผ่าอสูรเทพสกุลหลง” แถมนางยังเป็นคนเดียวที่ทำพันธสัญญากับอสูรเทพได้ถึง 2 ตัวในประวัติศาสตร์
“สกุลหลง เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าไม่พอใจ ถึงข้าจะผิด แต่ทำกับข้าอย่างนี้ได้อย่างไร” คูหลินพึมพำ
หลิวหลีรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เหมือนตาแก่คนนี้จะระเบิดตัวเอง นางจึงรีบเร่งความเร็วขึ้น ไท่จี๋ฟังคำสั่งของอีกฝ่ายแล้วเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพื่อห่อหุ้มปราณก่อนกำเนิดเซียนกับดวงจิตอสูรของคูหลินไว้ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นของดี จะสิ้นเปลืองไม่ได้
“นังหนู เจ้านี่มันร้ายจริงๆ ของที่มีค่าที่สุดที่นี่ ก็คือของสองสิ่งนี้ในร่างกายของข้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าขัดขวางไม่ให้ข้าพาพวกเจ้าตายไปด้วยกัน”
“ก็บอกแล้วไง ข้ากับสามีของข้าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป และจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านได้อย่างไร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ท่านก็กลายเป็นศพแห้งไปแล้ว ออกไปรังแต่สร้างความแตกตื่น ท่านก็ให้ความแค้นในอดีตของท่านถูกฝังไว้ที่นี่กับท่านเถอะ” หลิวหลีกล่าว
“พวกเจ้ารีบออกไปจากที่นี่เร็ว ที่นี่จะระเบิดแล้ว” หลิวหลีพูดกับกลุ่มคนถูกบอกว่าเป็นแค่ของแถมก็ยังดูน่ารังเกียจ
คนพวกนั้น พอตั้งสติได้ก็รีบวิ่งหนีออกไป สถานการณ์วุ่นวายไม่น้อย
“นังหนู ถึงแม้สุดท้ายแล้วข้าจะบำเพ็ญสายมาร แต่ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้า สุดท้ายข้าจะทำเพื่อเจ้าเป็นสิ่งสุดท้าย เมื่อคนพวกนั้นออกจากที่นี่จะไม่มีความทรงจำใดๆเหลืออยู่ เจ้าคงไม่อยากให้พวกเขาประกาศไปทั่วว่าเจ้ามีเพลิงเซียนหลายชนิดหรอกใช่ไหม” เหมือนคูหลินจะกลับตัวกลับใจ เขาแค้นคนที่ขังเขาไว้อยู่ที่นี่ แต่กลับไม่รู้สึกเคียดแค้นคนที่เอาดวงจิตอสูรกับปราณก่อนกำเนิดอสูรของเขาไป เด็กคนนี้ทำให้เขารู้สึกที่อบอุ่น บนตัวนางมีกลิ่นอายพระพุทธองค์ ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ขึ้นได้ไม่น้อย
“ผู้อาวุโส ท่านคงอยากจะตายมาตั้งนานแล้วใช่ไหม แต่น่าเสียดาย พวกไก่อ่อนที่เคยเข้ามาพวกนั้นสังหารท่านไม่ได้ใช่ไหม” หลิวหลีเข้าใจในทันที ที่บอกว่าต้องการพลังเซียนเพื่อออกไปจากที่นี่ เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ ผู้อาวุโสท่านนี้ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ เขาหวังว่าจะมีคนเข้ามาฆ่าเขาได้ ต่อให้ต้องสลายหายไปจากฟ้าดินก็ตาม
“นังหนู น่าเสียดาย ทำไมข้าถึงไม่ได้เจอเจ้า หากว่าได้เจ้าเป็นคู่พันธสัญญา ข้าคงจะมีความสุขมากแน่ และคงจะไม่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแก้ไขอะไรได้” ราวว่าเขากำลังย้อนนึกเรื่องในอดีต ทำให้เขาพูดมากขึ้นกว่าเดิม
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าคู่พันธสัญญาของเจ้าคือใคร” คูหลินพูดเสียงต่ำ
“ข้าน่ะหรือ ทำพันธสัญญากับมังกรโลหิตในตำนาน แล้วก็ราชากิเลนม่วง” หลิวหลีรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“ทำพันธสัญญาคู่ มิน่า นังหนู ได้มาเจอเจ้าในช่วงสุดท้ายของชีวิต ช่างโชคดีจริงๆ” คนที่สามารถทำพันธสัญญาคู่ และมีจิตใจเมตตา เป็นคนที่อยากจะพบเจอ การบรรลุขั้นสูงสุดขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
“นังหนู เจ้าไปเถอะ เอาดวงจิตอสูรกับปราณก่อนกำเนิดอสูรไปด้วย ที่นี่จะพังทลายแล้ว” คูหลินเอ่ยปากพูดขึ้น
“ผู้อาวุโส ท่านไม่อยากออกไปหรือ” หลิวหลีถาม
“คนผู้นั้นให้ข้าแก่ตายอยู่ที่นี่ ข้าฝังร่างตนเองอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน บางทีถ้าเป็นเช่นนี้อาจจะทำให้เขาสบายใจ” คูหลินกล่าว
“นังหนู พวกเราไปกันเถอะ ผู้อาวุโสตัดสินใจแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนดึงหลิวหลีแล้วพูดขึ้น
“ผู้อาวุโส ถึงข้าจะไม่รู้ชื่อจริงของท่าน แต่ได้โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย” หลิวหลีคุกเข่าลงด้วยความเคารพแล้วคำนับลง เมื่อหนานกงเวิ่นเทียนเห็นเข้าก็คำนับสามครั้งตามหลิวหลีด้วยเช่นกัน
“ดี ดี ดี” เมื่อคูหลินพูดจบ หลิวหลีก็พบว่าดวงจิตอสูรกับปราณก่อนกำเนิดอสูรก็บริสุทธิ์ขึ้นมาในทันที ไม่มีพลังมารเลยแม้แต่น้อย แล้วเสียงของผู้อาวุโสท่านนั้นหายไป
ทันทีที่ทั้งสองคนออกไป สิ่งที่เรียกว่าร่องรอยยอดเซียนนี้ก็พังทลายลงทันที
ณ ถ้ำแห่งหนึ่งในดินแดนอสูรเทพที่ไกลออกไป อยู่ๆก็มีคนลืมตาขึ้น กระอักเลือดออกมา ตายแล้วจริงๆหรือ เขานึกว่าเขาจะสามารถรอคนผู้นั้นออกมาแก้แค้นได้ ตายไปแล้วหรือ หึหึ เรื่องโง่ๆในตอนนั้นคงจะไม่มีใครรู้แล้วสินะ ฮ่าฮ่า
“ท่านพี่ ผู้อาวุโสท่านนั้นไม่ใช่คนที่เลวร้าย เพียงแต่ว่าจงใจทำให้ดูร้ายใช่หรือไม่” หลิวหลีมองสถานที่ที่เคยเป็นร่องรอยยอดเซียนมาก่อนด้วยความเศร้าสร้อย
“อืม”
“ผู้อาวุโสท่านนั้น น่าจะเป็นคู่พันธสัญญาของผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งในดินแดนอสูรเทพ คู่พันธสัญญาของผู้อาวุโสตาบอดจริงๆ” หลิวหลีก่นด่าขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ
“ใช่” ตาบอดใช้ได้เลยทีเดียวด้วย ผู้อาวุโสท่านนั้นน่าจะจงใจให้ขังคนไว้ที่นี่ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงอยากให้คนเข้าไปนั้นคิดว่าคงเป็นเพราะอยากจะหายไปจากโลกนี้จริงๆ
“ไปแก้แค้นแทนผู้อาวุโสท่านนั้นดีไหม” หลิวหลีรู้สึกว่าเอาของสำคัญที่สุดของคนอื่นมา ก็ควรจะทำอะไรตอบแทนหน่อยหรือไม่
“ลองคิดดูก่อนก็ได้”
“อ่ะท่านพี่ ท่านพี่ดูดซึมเข้าไปเถอะ ให้ผู้อาวุโสได้มีชีวิตอยู่ต่อไปในอีกรูปแบบหนึ่ง” หลิวหลีมอบปราณก่อนกำเนิดอสูรกับดวงจิตอสูรให้กับหนานกงเวิ่นเทียน
“ข้าสามารถดูดซึมได้เพียงปราณก่อนกำเนิดอสูรเท่านั้น ส่วนดวงจิตอสูรมอบให้กับอิงเสวี่ยเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกเรายังขาดของขวัญของจื่อฉี จะลำเอียงไม่ได้” หลิวหลีคิดๆแล้วก็พูดขึ้น แต่ว่าของที่มีค่าที่สุดก็คือดวงจิตอสูรของราชาวารีนี่แหละ เขาเป็นถึงราชาอสูรเทพ ไม่รู้ว่าอาเลี่ยกับจื่อฉีจะสามารถบรรลุขั้นเป็นราชาอสูรเทพได้ไหม
เป็นเหมือนอย่างคูหลินพูดไว้จริงๆ ผู้บำเพ็ญที่ออกจากที่นี่ไป นอกจากหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนแล้วที่จำเรื่องราวที่เกิดได้ ส่วนคนอื่นๆนั้นเมื่อออกไปแล้วก็จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย เพียงแต่สงสัยว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ส่วนสองพี่น้องสกุลหมิงก็เจอแค่สองสามีภรรยาที่อยู่ในขั้นเซียนอธนการ แล้วสองฝ่ายก็แยกย้ายกัน
…………………