“ผู้อาวุโสหลี่ เจ้าบอกว่ามู่เอ๋อร์อยู่กับใครนะ” จักรพรรดินีนภาพฤกษานึกว่าตัวเองฟังผิด เมื่อครู่นางได้ยินว่าหลิวหลีชวนลูกสาวของตัวเองออกไปข้างนอก แต่ตอนนี้กลับบอกนางว่าดูเหมือนหลิวหลีจะเป็นแม่สื่อให้กับลูกสาวของนาง นังหนูคนนี้ขี้เล่นจริงๆ
“ทูลจักรพรรดินี เจ้าตำหนักจื่อฉีแห่งดินแดนอสูรเทพ” ผู้อาวุโสหลี่ทำได้เพียงทวนอีกครั้ง ยังมีอีกประโยคที่ยังไม่ได้พูดคือ บรรยากาศรอบข้างเหมือนเป็นสีชมพู
“อสูรเทพ ไม่ใช่สิ ทำไมถึงเกี่ยวข้องกับดินแดนอสูรเทพได้” ในห้วงความคิดของจักรพรรดินีไม่ได้มีอสูรเทพจากดินแดนอสูรเทพโผล่เข้ามาเลยด้วยซ้ำ
“จักรพรรดินี ท่านลืมไปแล้วหรือ เจ้าตำหนักหลิวหลีกับเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนมาจากดินแดนอสูรเทพ อีกทั้งยังได้ยินมาว่าเจ้าตำหนักจื่อฉี เป็นคนที่เจ้าตำหนักหลิวหลีเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโต คาดว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีคงจะโปรดปรานฝ่าบาทมาก ถึงได้อยากได้นางไปเป็นน้องสะใภ้” การคาดเดาของผู้อาวุโสหลี่ใกล้เคียงกับความจริงที่เกิดขึ้นมาก
“อสูรเทพค่อนข้างให้ความสำคัญกับสายเลือด ข้ารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้” จักรพรรดินีส่ายพระพักตร์ ตาเฒ่าเอ๋าเฟิงกับเฟิ่งซานรับเรื่องอสูรเทพแต่งงานกันข้ามเผ่าได้ แต่ถ้าข้ามเผ่าแบบนี้คงจะเป็นไปไม่ได้
“จักรพรรดินี กระหม่อมคิดว่าเป็นไปได้ เจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นคนที่ทำอะไรแล้ว หากไม่บรรลุเป้าหมายจะไม่ยอมรามือ เมื่อวานกระหม่อมเดินผ่านบังเอิญได้ยินว่า การตัดสินใจของเจ้าตำหนักหลิวหลีค่อนข้างแน่วแน่ทีเดียว” ผู้อาวุโสหลี่นึกถึงบทสนทนาประหลาดที่บังเอิญได้ยินมาเมื่อวาน ก็พอจะคาดเดาได้ว่านังหนูคนนี้นิสัยเป็นอย่างไร ทำให้คนเกลียดไม่ลงเลยจริงๆ แต่นิสัยนั้นน่าจะโหดเหี้ยมไม่เบา
“ตั้งสติเถอะ ผู้อาวุโสหลี่ เรื่องหลังจากนี้ค่อยว่ากัน เรื่องของมู่เอ๋อร์พักเอาไว้ก่อน จัดการเรื่องการประลองครั้งใหญ่ให้เสร็จก่อน” จักรพรรดินีรู้สึกปวดหัว นางจัดการเรื่องใหญ่ให้เสร็จก่อนจะดีกว่า แล้วค่อยมาจัดการเรื่องของลูกสาว
“กระหม่อ ฝ่าบาท” ผู้อาวุโสหลี่รู้สึกว่าสุดท้ายจะต้องสำเร็จแน่นอน ปล่อยให้จักรพรรดินีหลอกตัวเองไปสักพักแล้วกัน
“น้องหญิง เจ้าคิดว่าสองคนนั้นจะเรียบร้อยหรือไม่” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่ามีความยากอยู่ เพราะอย่างไรเสียอสูรเทพอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ แต่แต่งงานกันไม่ได้ เพราะต่างเผ่าพันธุ์กัน
“แน่นอน ข้ารู้สึกได้ว่าบรรยากาศที่พวกเขาอยู่ด้วยกันดีมาก” ก่อนที่หลิวหลีจะจากไป ก็เห็นฟองอากาศสีชมพู จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน พูดถึงอุปสรรค มีนางอยู่ ใครกล้าขวางน้องชายของนาง นางจะเรียกมาจับเข่าคุยสักหน่อย
“หืม” รู้สึกเหมือนนังหนูกลายเป็นผู้ปกครองเสียแล้ว ท่าทางที่ดูเป็นห่วงน้องชาย จริงจังยิ่งกว่าพ่อแม่ของจื่อฉีเสียอีก
ตอนที่มู่มู่กับจื่อฉีแยกจากกัน ก็เป็นธรรมชาติกันมากขึ้น ไม่ได้หน้าแดงง่ายๆอีกต่อไป อีกทั้งหลิวหลีก็สอนจื่อฉีมาค่อนข้างดี
“จื่อฉี การประลองครั้งใหญ่ สู้ๆนะ” มู่มู่รวบรวมความกล้าให้กำลังใจจื่อฉี การพัฒนานี้เป็นการพัฒนาอย่างแท้จริง
“ได้ ข้าจะสู้อย่างแน่นอน” ขอเพียงแค่อย่าเจอกับปีศาจอย่างพี่สาวของเขาเป็นคนแรกก็พอแล้ว เขาจะได้โชว์ความสามารถของตัวเอง หากต้องเจอท่านพี่ในรอบแรก ก็คงทำอะไรไม่ได้
จักรพรรดิจากทุกดินแดน นั่งอยู่ด้านบน แล้วพลังเซียนที่แตกต่างกันลอยขึ้นไปบนอากาศ
“กำลังจับสลากกันอยู่หรือ” หลิวหลีมองพลังเซียนหลากสีสันบนท้องฟ้า โดดเด่นมากจริงๆ
พลังเซียนทั้งสิบปะทะกัน แล้วสุดท้ายก็จับคู่กัน
“จื่อชิงวังนภาพฤกษาปะทะหมานฮวงวังนภาพสุธา”
“หงซิ่ววังมารปะทะเวิ่นเทียนวังนภาธารา”
“เยี่ยชิงขวงวังนภาสุวรรณปะทะจื่อฉีดินแดนอสูรเทพ”
“หลิวหลีวังนภาเพลิงปะทะเฟิ่งอิงเสวี่ยดินแดนอสูรเทพ”
“นักบวชอู่หลงปะทะเอ๋าเลี่ยดินแดนอสูรเทพ”
หลังจากพลังเซียนรวมกันแล้วก็ปรากฏชื่อออกมาเป็นคู่ๆ
หลิวหลีมองเฟิ่งอิงเสวี่ย แล้วยิ้มยิงฟัน ส่วนจื่อฉีกลับโล่งใจ ยังดีที่รอบแรกไม่ได้เจอกับคนวิปริตอย่างท่านพี่ ส่วนเฟิ่งอิงเสวี่ยกลับรู้สึกไม่ดี ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แค่เริ่มต้นก็ต้องสู้กับนังหนูแล้ว ขนของนางเพิ่งจะงอกออกมาเอง เอ๋าเลี่ยมองไปที่ผู้บำเพ็ญสายพุทธอย่างนักบวชอู่หลง
หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกเฉยๆกับผู้บำเพ็ญสายมาร แต่รู้สึกว่าที่นี่คนที่น่ากลัวที่สุดก็คือนังหนู แล้วอีกคนก็คือเยี่ยชิงขวง หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว เขาค่อนข้างแน่ใจว่า เยี่ยซิงหวงไม่มีโอกาสที่จะกลับชาติมาเกิดอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเยี่ยชิงขวงกลับเหมือนกับเยี่ยซิงหวง แม้แต่ท่าทีที่ดูสงบเสงี่ยมตอนเจอกันครั้งแรกก็ยังเหมือนกัน เขากับหลิวหลีระวังตัวกันเป็นอย่างมาก พวกเอ๋าเลี่ยอสูรเทพทั้งสามตัวก็เช่นเดียวกัน เหมือนกันขนาดนี้ ผิดปกติมากๆ
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอประกาศให้การประลองเริ่มต้นขึ้นได้” จักรพรรดินีนภาพฤกษากล่าวขึ้น สายตาของมู่มู่จดจ้องจื่อฉีไม่วางตา การประลองจะเริ่มต้นขึ้นแล้วจริงๆ
มีฟองอากาศขนาดใหญ่ 5 อันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ทั้ง 10 คนเขา้ไปอยู่ในฟองอากาศซึ่งเป็นสถานที่ประลองของพวกเขา
“อิงเสวี่ยชี้แนะด้วย” หลิวหลีกล่าวพลางมองอิงเสวี่ย
“ห้ามเผาเส้นผมเด็ดขาด ขนของข้าเพิ่งงอกออกมา” เฟิ่งอิงเสวี่ยข่มขู่ ถึงแม้การข่มขู่นี้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตาม
“ไม่แน่นอน” หลิวหลีส่ายหัว นี่คือว่าที่เจ้าสาว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือตอนนั้นตัวเองควบคุมได้ไม่ดีทำให้เผาโดนนาง สุดท้ายก็ทำอาหารที่ใส่งาดำจำนวนมากเพื่อบำรุงผมให้กับอิงเสวี่ยแล้ว
“พี่ชาย หน้าตาไม่เลว มาบำเพ็ญร่วมกับข้าดีไหม” หงซิ่วทำหน้าทำตาใส่หนานกงเวิ่นเทียน เพียงแต่ว่ากลิ่นอายเหมันต์บนร่างเขารุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
“อย่าตะโกนมั่วๆ ข้าอายุยังไม่ถึงหมื่นปี” ความหมายของหนานกงเวิ่นเทียนชัดเจน เขายังอายุน้อยอยู่ คาดว่าหงซิ่วไม่รู้ว่าอายุกี่หมื่นปีแล้ว ถึงแม้จะโตกว่าไม่มาก แต่ก็ถือว่าเป็นปิศาจเฒ่าแล้ว
“หึหึ ถึงขนาดไม่เคารพผู้อาวุโส” หงซิ่วแสยะยิ้มแล้วพูดขึ้น ไม่น่ารักเลยจริงๆ
“สหายเซียนท่านนี้ เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ” เยี่ยชิงขวงมองดูจื่อฉีที่ใบหน้าหลากอารมณ์และหวาดระแวง ก็ประหลาดใจ เขารู้จักอีกฝ่ายด้วยหรือ ทำไมถึงได้มองตัวเองเช่นนั้น
“ไม่รู้จัก” จื่อฉีส่ายหัว เพียงแต่ว่ารู้จักปีศาจที่มีลักษณะเหมือนกันกับเจ้า เสียงพูดไม่เหมือนกัน พวกเขาจำผิดจริงๆ ไม่น่าจะเป็นไปได้
“ข้าก็ไม่รู้จักเจ้า ข้าไม่เคยก้าวออกจากดินแดนนภาสุวรรณ” เยี่ยชิงขวงส่ายหัวแล้วพูดขึ้น
“อมิตาพุทธ ได้ยินมาว่าโยมเอ๋าก็บรรลุเป็นเซียนขึ้นมาจากโลกเบื้องล่าง” อู่หลงกล่าวพลางประสานมือ
“ใช่ ไต้ซือหยวนเจินในวัดของท่านมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับนังหนูของข้า” เอ๋าเลี่ยกล่าว
“เช่นนี้นี่เอง” อู่หลงพยักหน้า
จื่อชิงแห่งวังนภาพฤกษากับหมานฮวงแห่งวังนภาพสุธาแค่เพียงพยักหน้าให้กันเท่านั้น ไม่พูดอะไร
“รู้สึกว่าการประลองครั้งนี้ต้องน่าติดตามมากแน่ ข้านึกว่ามีแต่หงซิ่ววังมารของข้าที่เข้าสู่ขั้นเซียนนพเก้านภา นึกไม่ถึงเลยว่าทุกคนต่างปิดบังพลังตนเอง” จักรพรรดิมารกล่าว ทุกคนต่างก็บรรลุขั้นเซียนนพเก้านภากันหมด พลังบำเพ็ญเพียรของบางคนคงที่จนเหมือนบรรลุขั้นนี้มานานแล้ว
“ทุกคนต่างก็อยากจะสร้างความประหลาดใจ แต่ก็ชัดเจนมากทีเดียวพอจะเห็นผลแพ้ชนะได้แล้ว” จักรพรรดินีนภาธาราตรัส
“จริงด้วย หงซิ่วแห่งวังมารของข้าสู้หนานกงเวิ่นเทียนวังนภาธาราของเจ้าไม่ได้” จักรพรรดิมารส่ายหัวแล้วเอ่ย หงซิ่วเพิ่งจะบรรลุขั้นได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปี ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนไม่รู้ว่าบรรลุขั้นนี้มากี่ร้อยปีแล้ว พลังบำเพ็ญเพียรคงที่อย่างมาก นังหนูคนนั้นยังกล้าพูดแซวเจ้าหนูนั่น คาดว่าอีกสักครู่คงจะต้องเจอดีแน่
“อิงเสวี่ยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิวหลี” เอ๋าเฟิงกล่าว หวังว่าอีกเดี๋ยวนังหนูจะลงมือเบาหน่อย สุดท้ายอย่าเผาขนที่เพิ่งงอกขึ้นใหม่ของอิงเสวี่ยก็พอ
“เอ๋าเฟิงเจ้าพูดเช่นนี้ ไม่น่าจะเป็นไปได้ นังหนูเก่งขนาดนั้นเชียวหรือ” จักรพรรดินีนภาพฤกษาก็เรื่มรู้สึกสนใจขึ้นมา
“เฮ้อ นังหนูคนนั้นเป็นคนบ้านสกุลหลงแห่งดินแดนอสูรเทพ เป็นคู่พันธสัญญากับอสูรเทพทั้งสามตัวของข้า พวกเราสนิทสนมกันมาก ช่วงก่อนหน้านี้ นังหนูมารังแกอสูรเทพของข้า อย่างไม่ออมมือเลยจริงๆ” เอ๋าเฟิงพูดอ้อมๆ แต่ก็สามารถจับใจความได้ว่า อสูรเทพทั้งสามตัวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนังหนู
จักรพรรดิที่เหลือจากดินแดนอื่นๆพูดอะไรไม่ออก ฟังแล้วดูโหดร้ายมากทีเดียว
“นักบวชของข้าดูเหมือนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมังกรโลหิต”
“อืม ความสามารถของเจ้าหนูคนนั้นมีความแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอสูรเทพทั้งสามตัว” เอ๋าเฟิงกล่าว
“การประลองเริ่มได้” เสียงของจักรพรรดินีลอยผ่านหูของทุกคน
“ดูจากสีหน้าหลิวหลีแล้ว น่าจะเป็นคนรู้จักกัน เป็นคนที่เอาชนะไม่ได้อยู่แล้ว” หงซิ่วมองดูรอยยิ้มที่ชั่วร้ายที่เขาคุ้นเคยของหลิวหลีแล้วพูดขึ้น
“แน่นอน นังหนูที่น่ากลัวคนนั้น ถึงแม้จะไม่ได้ประลองกับนางมาหลายปี แต่ภาพในตอนนั้นเราก็จำได้ไม่ลืม” เหลยจ้านกล่าว
“การประลองในรอบนี้ไม่มีอะไรต้องให้ลุ้น” ไป๋อี้กล่าว จากนั้นหันไปมองมู่มู่ หน้าตาแบบนี้ไม่ใช่แบบที่เขาชอบจริงๆ แต่ช้าก่อน สายตาของมู่มู่มองจื่อฉี หรือว่านั่นจะเป็นคนที่อยู่ในใจของนาง ไป๋อี้รู้สึกเหมือนตัวเองค้นพบเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
มู่มู่มองไปที่จื่อฉี จะต้องสู้นะ ในใจของมู่มู่คิดเช่นนี้ เท่มากๆเลย น่าเสียดาย เขาน่าจะมองไม่เห็นนาง จักรพรรดินีถึงแม้จะกำลังพูดคุยอยู่กับเหล่าบรรดาจักรพรรดิทั้งหลาย แต่ก็ยังเห็นทุกการกระทำของลูกสาว นังหนูให้ใจไปแล้วจริงๆ เฮ้อ ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเลยจริงๆ
หลังจากเสียงเริ่มต้นประลองสิ้นสุดลง ดวงตาของจื่อฉีก็เปล่งประกายแสงสีม่วง ทำให้สะดุดตาเป็นพิเศษ
“เนตรกิเลน” จักรพรรดินีนภาพฤกษาที่สังเกตจื่อฉีอยู่ก็ตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเนตรกิเลน
……………………