“จักรพรรดินีสายตาแหลมคม ใช่แล้ว เด็กคนนั้นมีเนตรกิเลน เด็กนั่นโชคดีทีเดียว” เอ๋าเฟิงได้ใจน้อยๆ ของพวกนี้ไม่ใช่ว่าใครจะครอบครองได้
“น่าจะไม่ได้ได้มาตอนที่อยู่ในโลกเซียน ดูจากระดับการหลอมรวมแล้ว จื่อฉีน่าจะได้มาจากโลกเบื้องล่าง” จักรพรรดินภาพสุธาก็ถูกดึงดูดเช่นกัน และวิเคราะห์เวลาออกมา
“ใช่ ตั้งแต่เจ้าหนูเกิดมา หลิวหลีก็เป็นคนดูแลตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะมีของดีอะไร ก็จะนึกถึงเจ้าหนูคนนี้ก่อน” เอ๋าเฟิงพูดถึงหลิวหลี เพราะอย่างไรเสียอสูรเทพกับอสูรเทพที่อยู่โลกเบื้องล่างอย่างพวกเขาต่างเป็นคู่พันธสัญญากัน ไม่มีอะไรที่เป็นความลับ
“หลิวหลีกับจื่อฉีแต่ก่อนเป็นคู่พันธสัญญากันหรือ” จักรพรรดินีนภาพฤกษากล่าว
“ใช่ เด็กนั่นหัวดื้อ ตั้งแต่เกิดมาก็เอาแต่ตามหลิวหลี ดันทุรังจะทำพันธสัญญากับนังหนูให้ได้ ข้าพูดอะไรก็ไม่ได้ คำพูดของนังหนูยังมีน้ำหนักกว่าข้าเสียอีก” เอ๋าเฟิงก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่ใช่แค่จื่อฉีเท่านั้น เอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ยก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
“อ่อ ฟังจากคำพูดของจักรพรรดิแล้ว ไม่ว่าหลิวหลีจะพูดอะไร จื่อฉีก็จะเชื่อฟัง แล้วถ้าให้จื่อฉีแต่งงานล่ะ” จักรพรรดินีนภาพฤกษาลองหยั่งเชิง
“เด็กนั่นน่าจะไม่มีความคิดนี้ หากว่านังหนูบอกว่าเป็นใคร คาดว่าถึงเด็กนั่นจะไม่ยอมอย่างไรก็จะไปดู คิดว่าสุดท้ายคงหลอกไปดู” ไม่พูดไม่ได้เลยว่า การวิเคราะห์ของเอ๋าเฟิงค่อนข้างแม่นยำ จื่อฉีทำเช่นนั้นจริงๆ เขาไม่มีความคิดที่จะไปสู่ขอภรรยา แต่พี่สาวของเขาชอบผู้หญิงคนหนึ่ง ดึงดันให้เขาไปดูให้ได้ ผลปรากฏว่าพอดูแล้วก็ไม่เลวจริงๆ
“อ่อ ถ้าหากนังหนูให้จื่อฉีสู่ขอคนเผ่าอื่นล่ะ” จักรพรรดินีนภาพฤกษาลองถามต่อ
“เรื่องนี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อน เพราะอย่างไรเสียนังหนูดูเหมือนจะไม่มีความคิดนี้” เอ๋าเฟิงคิดๆแล้วตอบ อีกอย่างทำไมวันนี้จักรพรรดินีนภาพฤกษาถึงได้สนใจเรื่องนี้นักหนา
“จักรพรรดินีนภาพฤกษา ท่านคงไม่ได้อยากให้ธิดาของท่านแต่งงานกับจื่อฉีเผ่าข้าใช่ไหม” ถึงเอ๋าเฟิงจะเป็นอสูรเทพ แต่ก็ได้ยินเรื่องที่จักรพรรดินีนภาพฤกษาอยากให้ลูกสาวแต่งงาน ถามละเอียดขนาดนี้ คงจะไม่ได้คิดเรื่องนี้จริงจังกระมัง
“ไม่หรอก แค่ลองถามดูเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียคนที่สนิทสนมกันเป็นราวมารดาและพี่สาวเช่นนี้มีน้อยนัก” จักรพรรดินีนภาพฤกษารีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ล้อเล่นหรืออย่างไร นังหนูของเจ้านั่นแหละที่ชอบลูกสาวของนาง อยากให้ลูกสาวของนางแต่งงานกับจื่อฉีเผ่าเจ้า นางไม่ได้ยินดีขนาดนั้น เพียงแต่เมื่อเห็นลูกสาวที่มองการแข่งขันของจื่อฉีอย่างจดจ่อแล้ว เฮ้อ ลูกถือเป็นหนี้ของพ่อแม่
จื่อฉีใช้เนตรกิเลน จึงอ่านการโจมตีของเยี่ยชิงขวงออกทั้งหมด ที่สำคัญเลยคือ ถูกหลิวหลีรังแกมาหลายร้อยปี พลังในการโจมตีจึงเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ร้ายกาจจนเกินบรรยาย หากตัดเรื่องที่เป็นอสูรเทพออกไป เจ้าหนูนี่ถือเป็นตัวเลือกต้นๆของว่าที่ลูกเขย น่าเสียดายที่พอบวกกับสถานะอสูรเทพเข้าไป ทำให้ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก
ส่วนเอ๋าเลี่ยที่รับมือกับฝ่ามืออรหันต์ขนาดยักษ์ใหญ่อย่างยากลำบาก แต่ก็ไม่ได้ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย
“สมแล้วที่เป็นอสูรเทพ ร่างกายแข็งแกร่งนัก” จักรพรรดินภาเพลิงกล่าวชม
“จักรพรรดินภาเพลิง ท่านได้ดูการประลองของหลิวหลีหรือไม่” เสียงของจักรพรรดินีนภาธาราลอยเข้ามา สายตาของทุกคนมองสนามประลองของหลิวหลี ถึงแม้ก่อนการแข่งขันจะเกิดขึ้นก็ได้คาดเดาแล้วว่าเป็นการประลองที่ไม่มีอะไรต้องลุ้น แต่พอดูเข้าจริง ก็ไม่น่าจะน่าเหลือเชื่ออะไรขนาดนั้น
“นังเด็กดื้อ” เอ๋าเฟิงไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งๆที่ไม่มีอะไรต้องให้ลุ้น แต่ก็ยังเล่นสนุกมากเกินไป เขายังรู้สึกได้ว่า อิงเสวี่ยเองก็อยากจะลงมาจากเวที ทั้งๆที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว ทำไมยังติดเล่นขนาดนี้
หลิวหลีแยกเพลิงเซียนดาราทมิฬออกเป็นพันดวง เปลี่ยนเป็นหลากหลายรูปร่าง อิงเสวี่ยรู้ว่าตัวเองไม่เอาชนะไม่ได้ จึงไม่ได้เปลี่ยนกลับเป็นร่างเดิม เพียงแต่ว่าเกมแมวจับหนูนี้ออกจะมากเกินไปหน่อย ระวังอิงเสวี่ยจะโมโห ดูเหมือนหลิวหลีเองก็รู้ตัวว่าหากเล่นต่อไปคงจะถูกอิงเสวี่ยตีแน่ จึงเปลี่ยนเพลิงเซียนพันดวงให้กลายเป็นกรงสีดำ ขังอิงเสวี่ยไว้อยู่ด้านใน และการประลองที่สิ้นสุดลงเป็นที่แรกก็เกิดขึ้น
“หลิวหลีแห่งวังนภาเพลิงชนะ”
หลิวหลีเก็บเพลิงเซียน แล้วอิงเสวี่ยร่วงลงบนพื้น
“นังหนู เล่นสนุกไหม?” อิงเสวี่ยถาม
“พอได้อยู่” ยังไม่เต็มที่เท่าไหร่นัก นางไม่กล้าเล่นมากเกินไป หากว่าอีกฝ่ายแต่งงานกับเอ๋าเลี่ยแล้วไม่ให้นางเป็นคนจัดการจะทำอย่างไร
“ดูนั่นเร็ว” จักรพรรดินภาพสุธาตรัส
ดูเหมือนจะผ่านไปไม่กี่วินาที หนานกงเวิ่นเทียนก็ทำให้หงซิ่วกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง พลังเซียนเหมันต์ที่แข็งแกร่งดูเหมือนจะทำให้ร่างมารของหงซิ่วถูกแช่แข็ง และการประลองสิ้นสุดลง
“หนานกงเวิ่นเทียนแห่งวังนภาธาราเป็นฝ่ายชนะ”
“เด็กสองคนนี้เป็นคู่รักกัน เก่งกันทั้งคู่จริงๆ” จักรพรรดินภาสุวรรณทรงชื่นชม
“ใช่ ต่างพูดว่ากันว่าน้ำไฟเข้ากันไม่ได้ แต่สองคนนี้กลับเข้ากันได้เป็นอย่างดี ให้ความรู้สึกว่าน้ำปลอบประโลมไฟให้อ่อนโยนลง” จักรพรรดินีนภาพฤกษากล่าวความในใจ เพราะอย่างไรเสียจักรพรรดินีนภาธารากับจักรพรรดินภาเพลิงที่อยู่ข้างนางก็คงคิดเช่นเดียวกัน
“ใช่ เด็กทั้งสองคนนี้ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นใจ” จักรพรรดิมารก็รู้สึกเช่นเดียวกัน มองดูหนานกงเวิ่นเทียนที่เดินไปข้างกายหลิวหลีทันทีที่การประลองสิ้นสุดลง ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน หนานกงเวิ่นเทียนก็ลูบผมนาง ภาพชายหนุ่มที่เย็นชาบนลานประลองเมื่อสักครู่เหมือนเป็นเพียงภาพมายา ตอนนี้กลับดูแล้วอบอุ่น ส่วนหลิวหลีที่ร้อนแรงราวเพลิงไฟนั้น ก็กลายเป็นสายลมเอื่อยๆที่พัดผ่านทำให้อบอุ่นใจ
การประลองสิ้นสุดลงตามลำดับ ส่วนสุดท้ายจื่อฉีพลาดพ่ายแพ้ให้ยี่ยชิงขวง แต่ความสามารถของจื่อฉีก็ได้รับการยอมรับ
“ขอบคุณที่ออมมือ” เยี่ยชิงขวงกล่าว
“แพ้ก็คือแพ้ พี่เยี่ยไม่ธรรมดาเลย” ถึงจื่อฉีจะมั่นใจว่าไม่ใช่คนเดียวกัน แต่เขาก็ไม่ชอบใบหน้านี้เท่าไรนัก ตอนนั้นพี่สาวได้รับบาดเจ็บหนักแค่ไหนเพราะคนผู้นี้ ถึงจะบอกว่าเขาเป็นคนพาล แต่จะให้เป็นมิตรก็ทำไม่ลงจริงๆ
จื่อชิงแห่งวังนภาพฤกษาก็เป็นฝ่ายชนะเช่นกัน เอ๋าเลี่ยเอาชนะมาด้วยความยากลำบาก แต่ทว่า
“อาเลี่ย อ้าปาก” หลังจากเอ๋าเลี่ยเป็นฝ่ายได้ชัยในการประลอง ก็หมดเรี่ยวหมดแรง หลิวหลีดีดยาเซียนศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเม็ดเข้าไปในปากของเอ๋าเลี่ย พอจื่อฉีลงมาจากเวที ก็เศร้าใจน้อยๆ ที่ต้องแพ้ ไม่รู้ว่ามู่มู่จะเลิกชอบเขาแล้วหรือไม่ ผลคือพอเขามองมา ก็พบว่านางโบกมือให้เขา หลิวหลียัดยาศักดิ์สิทธิ์เม็ดหนึ่งเข้าปากจื่อฉี เด็กน้อยของนางเติบโตแล้ว
“หลิวหลีเป็นเซียนนักปรุงยาหรือนี่” จักรพรรดินีนภาพฤกษามองดูจื่อฉีที่อาจจะเป็นลูกเขยของนางในอนาคต ยังรู้จักหันมองปฏิกิริยาของลูกสาวนาง อีกอย่างนังหนูลำเอียงได้ใจจริงๆ มอบยาศักดิ์สิทธิ์ให้กับคนที่รู้จักเท่านั้น แถมประสิทธิภาพของยาก็ไม่เลวเลยจริงๆ
“ใช่แล้ว ตั้งแต่นังหนูสามารถปรุงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็ไม่ได้ไปรับยาในส่วนที่จะต้องได้รับในวังอีกเลย” ไม่ใช่แค่เพียงไม่รับเท่านั้น อีกทั้งยังช่วยตัดเนื้อร้ายที่ทำให้ปวดหัวทิ้งด้วย
“เป็นเด็กที่ใจกว้างจริงๆ ไม่ถามอะไรสักคำก็ให้เลยทันที” จักรพรรดินภาพสุธามองความใจกว้างของหลิวหลีอย่างริษยา
จักรพรรดินีนภาพฤกษากลับคิดมากกว่านั้น เจ้าหนูคนนั้นเชื่อฟังคำพูดของหลิวหลีมากขนาดนี้ นางรู้สึกว่าตัวเองควรต้องเตรียมสินเดิมไว้เสียแล้ว
“จริงสิ นังหนูเพิ่งจะบอกข้า ให้เตรียมยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ไว้ให้ทุกคน เพียงแต่ไม่สนิทกัน จึงไหว้วานข้าให้ทำหน้าที่นี้แทนนางในการมอบยาให้ทุกคน” นังหนูคนนั้นพูดประนีประนอม แต่คาดว่าคงจำชื่อใครไม่ได้สักคน
“ขอบคุณมาก” เหล่าจักรพรรดิจึงรับน้ำใจนี้ไว้
“ท่านพี่ ข้าประลองแพ้ มู่มู่จะไม่ชอบข้าหรือเปล่า” จื่อฉีทำหน้าจะร้องไห้ให้หลิวหลีปลอบโยน ตัวเขายังอยากจะแสดงความสามารถอีก แต่ผลปรากฏว่าเขาพ่ายแพ้ มู่มู่จะรู้สึกว่าเขาไม่เก่งพอหรือเปล่า
“ไม่หรอก เจ้าจะต้องเชื่อสายตาของข้า” หากเป็นเช่นนั้นจริง นางจะแนะนำให้กับน้องชายของตัวเองรู้จักได้อย่างไร รังแต่เพิ่มเรื่องปวดหัวเปล่าๆ
“จริงหรือ” จื่อฉีก็ยังไม่เชื่อ ถึงแม้เมื่อครู่มู่มู่จะโบกมือให้เขา
“โถ่ เพิ่งผ่านไปนานเท่าไรเอง จื่อฉีของข้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนกับเขาแล้ว” หลิวหลีทำท่าทางราวเห็นบุตรชายของตนเองเติบโตขึ้น ทำเอาหลายคนทำหน้าไม่ถูก ตัวเองยังเป็นราวเด็ก ยังจะพูดจาทำนองนี้อีกหรือ
“นังหนู เจ้าก็ยังอายุไม่เท่าไหร่ อย่าทำท่าทางเหมือนคนแก่นักเลย” ไม่รู้ว่าเอ๋าเลี่ยฟื้นฟูร่างกายเสร็จตอนไหน เขาอดบ่นนังหนูที่ชอบทำตัวเหมือนคนแก่ไม่ได้ อย่างน้อยปล่อยให้หน้าอ่อนเยาว์นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“ต่อไปไม่รู้ว่าจะจับได้ใคร น่าจะมีหนึ่งคนได้สลากว่าง” อิงเสวี่ยกล่าว
“ไม่ต้องเป็นห่วง คนที่ได้สลากว่างจะต้องเป็นข้าแน่นอน” เรื่องนี้หลิวหลีสามารถรับประกันได้
“ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนจับได้สลากว่าง” จักรพรรดินีนภาธาราตรัส
“น่าจะเป็นหลิวหลีแห่งวังนภาเพลิงของข้า ไม่มีใครแล้ว” จักรพรรดินภาเพลิงกล้ารับประกัน นังหนูคนนี้ดวงดีแบบไม่มีเทียบ
“จักรพรรดินภาเพลิงมั่นใจในตัวเองเกินไป” น้ำเสียงติดจะเหลือเชื่อน้อยๆ
“ข้ามั่นใจแน่นอน ตอนการประลองระหว่างตำหนัก นังหนูคนนี้จับได้สลากว่างจนถึงสุดท้าย โชคดีไม่มีใครเทียบจริงๆ” จักรพรรดินภาเพลิงกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราพนันกันดีไหม” จักรพรรดินีนภาธาราเสนอ
“ได้สิ” จักรพรรดินภาเพลิงค่อนข้างมั่นใจในตัวหลิวหลี นางไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน
“เรื่องพนันช่างมันเถอะ ทุกท่านลองกล่าวตัวเลือกในใจตัวเองออกมาก็พอ ส่วนจักรพรรดินภาเพลิงนั้นไม่ต้องพูดแล้ว” จักรพรรดินีนภาพฤกษากล่าว
…………………