“หลิวหลี ถึงแม้เจ้าจะเรียกข้าว่าไท่จี๋ ที่หมายความว่าเกิดใหม่ ข้าก็พยายามจะทำเช่นนั้น แต่มีบางเรื่องข้าไม่อาจปล่อยวางตอนนั้นข้าเชื่อใจเขามากขนาดไหน แต่เขากลับเห็นข้าเป็นเพียงเครื่องมือ ถึงขนาดสุดท้ายเกือบจะทำลายวิญญาณเพลิงของข้า และเพราะพี่ใหญ่ไม่อาจทนเห็นได้จึงให้เจ้าเก็บข้ามา เลี้ยงดูวิญญาณเพลิงที่อ่อนแอของข้า ข้าไม่มีทางลืม” ไท่จี๋เต้นเร่าอย่างเปี่ยมอารมณ์
“ให้เจ้าลืมอดีตคงจะลำบากเจ้าไม่น้อย แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ ไม่ว่าจะแค้นแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ พวกเรายังไม่แน่ใจความสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยชิงขวงกับเยี่ยซิงหวง ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็เท่ากับว่าเป็นการระบายอารมณ์ ไม่ว่าเจ้าจะทำถูกแค่ไหนแต่คนอื่นก็จะคิดว่าเป็นความผิดของข้า เจ้าคงจะชอบข้า ไม่อยากทำให้ข้าต้องลำบากใช่ไหม” หลิวหลีไม่รู้จะทำอย่างไร การปกปิดแผลที่มีอยู่ไม่ได้ผลอะไรเลยจริงๆ ยิ่งขุดเข้าไปลึกจะทำให้ยิ่งเจ็บมากกว่าเดิม
“ข้ารู้แล้ว” ไท่จี๋เข้าใจความลำบากใจของหลิวหลี ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้เป็นเพราะว่าเขาประมาทไปจริงๆ
“เอาล่ะ ในช่วงก่อนจะไปจากที่นี่ เจ้าช่วยดูแลเพลิงสุวรรณพรางให้ดี ข้าจะใช้ความสามารถของข้าหาเพลิงเซียนที่เขาต้องการมาเอง” หลิวหลีรับรอง
หลิวหลีถอนหายใจ เมื่อออกฌานก็พบว่าหน้าประตูของตัวเองเต็มไปด้วยผู้คน เกิดอะไรขึ้น
“หลิวหลีเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
“ใช่ พวกเราต่างก็รู้ความพิเศษของเคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกฝนแล้ว บางทีควบคุมไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
“ใช่ เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง จักรพรรดิก็ไม่ได้บอกว่าเป็นความผิดของเจ้า”
ขอถามหน่อยนางแค่ปิดประตูสั่งสอนเพลิงอัคคีของตนเอง ในระยะเวลาสั้นๆนี้เกิดเรื่องอะไรที่นางไม่รู้ขึ้นกันแน่ จะมีใครจะให้คำตอบนางได้ไหม
“น้องหญิง เจ้าออกมาแล้ว สั่งสอนเสร็จแล้วหรือ”
“อืม สั่งสอนเสร็จแล้ว” สุดท้ายก็เป็นสามีของนางที่เข้าใจนาง
“ต่อไปจะทำอะไรต่อ?” หนานกงเวิ่นเทียนรู้ว่านังหนูจะต้องวางแผนจะทำอะไรแน่ เขาไม่เชื่อหรอกว่านังหนูจะอยู่เฉยๆจนกว่าจะเดินทางกลับ
“ก็ต้องเป็นเรื่องที่ยังจัดการไม่เสร็จอย่างไรล่ะ” หลิวหลีพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ คนข้างๆได้ยินก็ถึงกับงง เรื่องที่ยังจัดการไม่เสร็จหรือ
จื่อฉีนั่งรอจักรพรรดินีนภาพฤกษาอยู่ในตำหนักด้วยความตื่นเต้น ท่านพี่เรื่องที่ยังจัดการไม่เสร็จของท่านคือเป็นแม่สื่อใช่หรือไม่ ถึงเขาจะรู้จักมู่มู่ แต่คงไม่ต้องรีบมาพบบิดามารดาอีกฝ่ายเร็วขนาดนี้กระมัง เขายังไม่ได้เตรียมตัวเลย พอนึกถึงภาพบรรยากาศในตอนนั้น
“จื่อฉี ในช่วงก่อนที่จะกลับไป อย่างไรเสียก็จะต้องจัดการปัญหาเรื่องการแต่งงานของเจ้าให้ได้ บอกมาเจ้ารู้สึกอย่างไรกับมู่มู่?”
“ท่านพี่ ท่านเปลี่ยนอารมณ์เร็วเกินไปหรือเปล่า” จื่อฉีพูดไม่ออก พี่สาวของเขาเปลี่ยนอารมณ์เร็วเกินไป เขานึกไม่ถึงเลยว่าจะเปลี่ยนมาจดจ่อเรื่องเขาเร็วขนาดนี้ สำหรับความรู้สึกที่มีต่อมู่มู่ ครั้งแรกที่เห็นก็ถือว่าไม่เลว เพียงแต่เขายังอยากจะคบหาต่ออีกสักหน่อยเพื่อจะได้เข้าใจกันมากขึ้น กลับมาที่ตอนนี้ สิ่งที่เรียกว่าเพื่อจะทำความเข้าใจกันมากขึ้นก็คือพบบิดามารดาของอีกฝ่าย ความคิดของท่านพี่ช่างต่างจากคนทั่วไป
“จื่อฉี เจ้าจะต้องรู้ว่า การจะสู่ขอลูกสาวคนอื่น จะต้องสร้างความประทับใจให้กับแม่ยาย เจ้าไม่ได้จะไปอยู่กับลูกสาวของนางเท่านั้น แต่เป็นการอยู่ร่วมกันของทั้งสองครอบครัว จะต้องกำจัดปัจจัยที่ไม่ควบคุมไม่ได้ที่อาจจะส่งผลกับความสัมพันธ์ของเจ้ากับมู่มู่” หลิวหลีพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“ดังนั้นท่านพี่ก็เลยมอบยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้กับพ่อแม่ของพี่เขยสินะ” วิธีการแสดงออกของพี่สาวของเขาตรงไปตรงมา แต่ก็ได้ใจพ่อแม่ของหนานกงเวิ่นเทียน
“ใช่สิ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่เขยได้ทำอะไรหรือไม่?” จื่อฉีถามด้วยความสงสัย
“ไม่ว่าผู้อาวุโสบ้านข้าจะพูดอะไร พี่เขยของเจ้าก็ตั้งใจฟังไม่โต้เถียง ให้เกียรติผู้อาวุโสเป็นอย่างมาก”
มุมปากจื่อฉีกระตุกน้อยๆ พี่เขยไม่อยากจะคุยกับคนอื่นนอกจากท่านมากกว่า แต่ท่านกลับบอกว่าเป็นจุดเด่นของเขา ท่านไม่ละอายใจบ้างหรือ แต่ดูเหมือนผู้อาวุโสสกุลหลงเองก็พอใจในจุดนี้เช่นกัน
“เจ้าตำหนักทั้งสองต้องรอนานแล้ว” จักรพรรดินีนภาพฤกษาย่อมรู้ว่าทั้งสองคนนี้มาเพื่ออะไร แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาเร็วขนาดนี้ ข้างๆของจักรพรรดินีนภาพฤกษาก็คือมู่มู่
“จักรพรรดินี ขออภัยที่มารบกวนเพคะ” หลิวหลีรีบรับบทเป็นทูต
“ไม่เป็นไร” จักรพรรดินีกระตุกปากน้อยๆ รู้ว่าเป็นการรบกวนแต่ก็ยังมา
“จักรพรรดินี ทรงคิดว่าน้องชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดี” จักรพรรดินีถึงกับตกใจกับหลิวหลี นางตั้งใจจะแสร้งพูดคล้อยไปกับหลิวหลี แล้วค่อยเข้าประเด็น ใครจะรู้ว่าหลิวหลีจะเข้าเรื่องเร็วแบบนี้ แบบนี้ไม่ถูกกระมัง มู่มู่ที่อยู่ข้างๆก็ตกใจกับคำพูดของหลิวหลี สมแล้วที่เป็นต้นแบบของนาง ตรงไปตรงมาเหลือเกิน แต่เสด็จแม่จะทรงตกลงหรือไม่ มู่มู่เองก็ลังเลไม่น้อย
“ถ้าทรงรู้สึกว่าไม่เลว ไม่ใช่ว่าข้าชมตัวเองหรอกนะ แต่น้องชายของข้าคนนี้ เป็นเด็กหัวอ่อนมาตั้งแต่เด็ก เขาบำเพ็ญเพียรมาอย่างยากลำบาก ที่สำคัญเลยก็คือไม่มีนิสัยที่ไม่ดี อีกทั้งยังเป็นคนที่เอาใจใส่ พลังบำเพ็ญเพียรก็ไม่ธรรมดา ความสามารถในการต้านทานการหรือโจมตีก็แข็งแกร่ง” หลิวหลีพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนขายของ แล้วคนที่นางกำลังขายคือน้องชายตนเอง
คนทั้งสามคนพูดไม่ออก ความสามารถในการต้านทานการโจมตีดีเยี่ยม หมายความว่าเขาหนังหนาหรือนี่ ท่านพี่ จื่อฉีอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา พวกเราค่อยเป็นค่อยไปไม่ได้หรือ จะต้องทำให้บรรลุเป้าหมายทันทีเลยหรือนี่ ส่วนจักรพรรดินีนภาพฤกษาก็เพิ่งทรงเคยได้ยินการนำเสนอที่เหลวไหลเช่นนี้ ทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังคุยเรื่องการค้าขาย ไม่ได้คุยเรื่องการแต่งงานของทั้งสองคน แต่มู่มู่กลับคิดออกนอกลู่นอกทางไปมากกว่านั้น แปลว่านางรังแกจื่อฉีได้หรือ แต่หลิวหลีย่อมไม่รู้ว่าคำพูดของตนเองได้ทำให้เด็กสาวที่ใสซื่อเกิดความคิดพิเรนทร์เช่นนี้ ความคิดเช่นนี้หยั่งรากลงในใจมู่มู่ราวเมล็ดพันธุ์ รอให้มันงอกงาม
“หลิวหลี เจ้าจะบอกอะไร” จักรพรรดินีนภาพฤกษาถามตรงๆ จะอ้อมค้อมกับนังหนูคนนี้ไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่านังหนูจะพูดอะไรน่าตกใจออกมาอีกหรือเปล่า อยู่ๆนางก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้ว ทนฟังอะไรพวกนี้ไม่ค่อยได้
“น้องชายของข้าดีขนาดนี้ จักรพรรดินีรู้สึกว่าให้เป็นลูกเขยของท่านดีหรือไม่” หลิวหลีชอบคนตรงไปตรงมา
“เอ่อ” ตรงไปตรงมามากจริงๆ มู่มู่ที่นั่งข้างๆ หน้าแดงก่ำ
“หลิวหลีเคยถามเอ๋าเฟิงกับเฟิ่งซานแล้วหรือยัง พวกเขาเห็นด้วยหรือไม่ ถึงแม้ว่าข้าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอสูรเทพ แต่ก็ไม่เคยแต่งงานกัน ส่วนสาเหตุนั้น เจ้าก็น่าจะรู้ดี” จักรพรรดินีบอกปัญหา
“ข้าต่างหากที่เป็นผู้ปกครองโดยตรง พวกเขาเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองห่างๆเท่านั้น” หลิวหลีออกตัวว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากกว่า พวกเขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไร
“นังหนู เจ้าถามก่อนจะดีกว่า ข้าไม่อยากจะทำลายความสัมพันธ์ที่ดีกับอสูรเทพ” จักรพรรดินีกล่าวพลางส่ายหน้าก่อนโยนปัญหาให้หลิวหลี
ปัญหาเรื่องเผ่าพันธุ์ เรื่องที่จักรพรรดินีกังวลใจคือเรื่องนี้หรือ? ไหนบอกว่าถ้ารักกันจริงก็ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเผ่าพันธุ์ไม่ใช่หรือ ผู้ปกครองที่ชอบควบคุมลูกหลาน มักคิดว่าเด็กควบคุมได้ง่าย หรือหากเป็นปัญหาจริงๆ ก็จัดการปัญหาเรื่องนี้ก่อนแล้วถึงจะค่อยคุยกันต่อ
“ได้เพคะ” หลิวหลีพยักหน้า
“ถ้าเป็นเช่นนี้ เจ้าจัดการให้เสร็จแล้วค่อยมาก็แล้วกัน”
หลิวหลีเอามือลูบคาง วางแผนว่าจะโน้มน้าวผู้อาวุโสอสูรเทพทั้งสองอย่างไร ลูกหลานคนละเผ่าพันธุ์แตกต่างกันจริง และความไม่แน่นอนมีค่อนข้างมาก ลูกหลานก็ไม่แน่นนอนกันมากอยู่แล้ว แต่ว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นลูกเป็นหลานกันทั้งนั้น หากรักและหวังดีจริงๆ คงจะไม่สร้างความลำบากใจให้กัน
“ท่านพี่ ท่านจะไปโน้มน้าวบรรพชนทั้ง 2 ท่านจริงหรือ” จื่อฉีรู้สึกว่าไม่ค่อยมีหวังนัก
“ก็คงจะต้องลองดูสักตั้ง เพราะอย่างไรเสียข้าก็อยากให้มู่มู่มาเป็นน้องสะใภ้ของข้าจริงๆ อีกอย่างไม่ว่าเจ้าจะมีลูกเป็นแบบไหนข้าก็ชอบ” หลิวหลีบอกเลยว่าขอแค่เป็นลูกของทั้งสองคนนี้ นางก็ชอบทั้งนั้น
………………