หลิวหลีกลับมาก็ต้องขมวดคิ้ว ครอบครัวและผู้อาวุโสของทั้งสองคนเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดจริงๆด้วย หลิวหลีถอนหายใจ ผู้อาวุโสจำนานไม่น้อยอ้างความหวังดี แล้วพรากพวกเขาออกจากกัน ดังนั้นนางจะโน้มน้าวพวกผู้อาวุโสอย่างไรดี เพื่อให้คู่รักได้สมหวัง
ส่วนเจ้าตัวอย่างจื่อฉี ออกตัวว่าทุกอย่างให้หลิวหลีจัดการ ไม่มีอะไรที่นางทำไม่ได้ ส่วนเจ้าของเรื่องอีกคนอย่างมู่มู่ ใบหน้าแดงระเรื่อ พวกเขาเพิ่งได้เจอกันก็จะไปพบบิดามารดาเสียแล้ว จึงขวยเขิน
เอ๋าเลี่ยกลับไม่รู้จะพูดอะไร ตอนนี้ต่างก็สนใจเรื่องอิสระ ไม่อยากโดนคลุมถุงชน คิดไม่ถึงว่ายังต้องผ่านด่านของบิดามารดาอยู่ดี โดยไม่ได้รู้เลยว่าภายหลังจะโดนหลิวหลีเหน็บจนไม่อยากจะร่วมวงศ์ญาติกัน
“บรรพชนเอ๋าเฟิง บรรพชนเฟิ่งซาน” ถึงในใจจะไม่ชอบแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากยิ้มรับเท่านั้น
“อ้าว แขกคนสำคัญนี่เอง นังหนู เจ้าคิดอย่างไรถึงได้มาหาพวกข้าสองคน” เอ๋าเฟิงขมวดคิ้ว นังหนูคนนี้ยิ้มอย่างมีเลศนัย นางเป็นคนที่ทำดีหวังผล ไม่รู้ว่านังหนูมีเรื่องอะไรมาขอร้องพวกเขา ลอบสบตากับเฟิ่งซาน ฟังนางดูแล้วกัน
“ย่อมเพราะมีปัญหาอยากจะขอคำแนะนำจากผู้อาวุโสทั้งสอง” หลิวหลีมองพวกเอ๋าเฟิงด้วยแววตาใสซื่อ หากไม่มีอะไร ใครจะอยากฟังคนอื่นบ่น
“หืม? ไหนลองว่ามา” ทั้งสองคนก็เริ่มสนใจขึ้นมา
“อืม ไม่ทราบว่าทั้ง 2 ท่านมีเงื่อนไขอย่างไรในการเลือกคู่ครองของอสูรเทพหรือ?” อสูรเทพเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีความจำเป็นจะต้องพูดอ้อมค้อม
“เงื่อนไขหรือ อันที่จริงแค่มาตรฐานง่ายที่สุดอย่างมีลูกได้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว” เอ๋าเฟิงบ่น พวกเขาต้องการอสูรเทพตัวน้อย แต่ทำอย่างไรได้อสูรเทพมีลูกหลานยาก จะตั้งครรภ์ครั้งหนึ่งก็แสนจะยากเย็น หลายปีมานี้ก็มีเพียงอสูรเทพตัวน้อยที่บรรลุขึ้นมาเป็นเซียนอยู่ไม่กี่ตัว ถึงแม้มาตรฐานของพวกเขาจะค่อนข้างสูง พวกเขาค่อนข้างที่จะชื่นชอบอสูรเทพระดับสุดยอดกับอสูรเทพกลายพันธุ์มากกว่า ถึงจะมีอสูรเทพระดับขั้นอื่น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก จะบอกว่าพวกเขาลำเอียงก็ได้ เพราะอย่างไรใจทุกคนก็ลำเอียงอยู่แล้ว
“เงื่อนไขข้อนี้ไม่ได้ยากเย็นอะไร” สมแล้วที่เป็นอสูรเทพ มีอุปนิสัยง่ายๆ
“แค่กๆ แต่ถ้าอสูรเทพที่มีคุณสมบัติที่ดีมาอยู่ด้วยกัน ก็จะได้อสูรเทพน้อยที่มีคุณสมบัติที่ดีเช่นกัน” เฟิ่งซานกุมขมับ นังหนูข้ายังพูดไม่จบสักหน่อย อสูรเทพให้ความสำคัญกับสายเลือด หากสายเลือดต้องแปดเปื้อนคงจะไม่ดีนัก
“เรื่องนี้ก็ไม่แน่หรอกต้องมีพวกประหลาดๆโผล่มาบ้างน่า ได้ยินมาว่าตอนนั้นพ่อของอาเลี่ยเป็นมังกรทอง ส่วนแม่เขาเป็นมังกรดำ ผลคือตอนคลอดอาเลี่ยออกมานึกว่าเขาเป็นมังกรแดง จึงปล่ยปะละเลยเขา” หลิวหลีคิดว่าอสูรเทพก็ไม่ได้ปราดเปรื่องมากมายนัก
“แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ถือว่ามีสายเลือดที่ยอดเยี่ยมของเผ่ามังกร การจะมีอาเลี่ยที่เป็นอสูรเทพกลายพันธุ์ขั้นสุดยอดนี้ถือเป็นเรื่องปกติ” เอ๋าเฟิงใบหน้าร้อนผ่าว เฮ้อ เป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้ความจริงๆ
“อีกอย่าง หากอาเลี่ยแต่งงานกับอิงเสวี่ย พวกท่านลองคิดดู อาเลี่ยเป็นมังกร อิงเสวี่ยเป็นหงส์ ถึงแม้มังกรกับหงส์จะเป็นสัตว์มงคล หากพวกเขามีลูกขึ้นมา เด็กที่เกิดออกมานั้นจะคาดเดาไม่ได้เลย เขาอาจจะเป็นมังกรตัวน้อยที่มีปีก หรือเป็นอสูรเทพน้อยที่มีหัวเป็นหงส์ตัวเป็นมังกร อืม หรือว่าตัวอาจเป็นหงส์แล้วมีหางเป็นมังกร” หลิวหลีเริ่มนับนิ้วไปมา
“หยุดก่อน นังหนู เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมาตรงๆเถอะ” เฟิ่งซานตัดบท หากปล่อยให้นังหนูพูดต่อ พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าอสูรเทพเป็นโสดน่าจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นตัวอะไรกันไปหมด
“ข้าแค่อยากจะบอกว่าลูกของอสูรเทพกับอสูรเทพอาจจะไม่ได้เหมือนกันไปเสียหมด อาจจะมีเผ่าพันธ์ใหม่เกิดขึ้น อีกทั้งอสูรเทพมีอายุยืนยาว สิ่งที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นคู่ครอง เพราะอย่างไรเสียท่านทั้งสองพูดกันว่า พวกท่านมีลูกหลานได้ยาก อยากมีก็ไม่ได้แปลว่าจะมีได้” หลิวหลีพูดความจริงออกมา
“ดังนั้นพวกข้าจะต้องทำอย่างไร” เอ๋าเฟิงถาม นี่คงจะเป็นสิ่งที่นังหนูอยากจะพูดกระมัง
“ต้องปล่อยให้มีอิสระในการหาคู่ครอง ไม่แบ่งแยกเผ่าพันธุ์” หลิวหลีโยนระเบิดลูกใหญ่ออกมา
คำพูดนี้ฟังแล้วเหมือนจะบอกว่าจะมีหรือไม่มีอสูรตัวน้อยก็ได้ ที่สำคัญคือทั้งสองรักกันจริงก็พอฟังแล้วมีเหตุผล แต่ทำไมพวกเขาได้ยินแล้วรู้สึกปวดใจอย่างไรบอกไม่ถูก
หลิวหลีไม่พูดอะไร เพราะอย่างไรนางก็ได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดแล้ว ส่วนจะรับได้หรือไม่ได้นั้น ไม่ใช่กงการอะไรของนาง
“พูดมาเถอะ นังหนู เจ้าเล็งใครไว้” เอ๋าเลี่ยถาม ในใจของเขาก็พอจะเดาออกอยู่บ้าง แต่อยากถามให้แน่ใจ
“ข้าชอบมู่มู่ อยากให้นางมาเป็นคู่ครองของจื่อฉี” คำพูดของหลิวหลี ทำให้เอ๋าเฟิงเข้าใจทันที เป็นเด็กคนนั้นจริงๆ เอ๋าเฟิงย้อนนึกถึงคำถามหยั่งเชิงจากจักรพรรดินีนภาพฤกษา ก็จริงหลิวหลีไม่ได้รู้จักอสูรเทพตัวอื่นด้วยซ้ำไป แค่เห็นก็รำคาญลูกตา มีเพียงเด็ก 3 คนนี้เท่านั้นที่นางใส่ใจ ตอนนี้เอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ยครองคู่ เหลือแต่จื่อฉี เจ้าหนูคนนั้นเกิดจากไข่ หลิวหลีเป็นคนเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโต เชื่อฟังคำพูดของหลิวหลีอย่างยิ่ง เผลอๆมากกว่าคำพูดของผู้อาวุโสอย่างพวกเขาเสียอีก ดังะนั้นตอนจักรพรรดินีนภาพฤกษาที่ดูเหมือนพูดเรื่อยเปื่อย แต่ดูมีลับลมคมใน คาดว่าผู้หญิงคนนั้นน่าจะรู้เรื่องของเด็กสองคนนี้ แต่ต้องการจะดูปฏิกิริยาของพวกเขาเท่านั้น
ธิดาของจักรพรรดินีนภาพฤกษาผู้นั้นใช้ได้ทีเดียว มิน่านังหนูถึงได้ชอบ อยากได้มาเป็นน้องสะใภ้ เพียงแต่ว่าคนละเผ่าพันธุ์กัน
“นังหนูคนนั้นไม่เลวจริงๆ” เพียงแต่นังหนูคนนั้นเป็นมนุษย์ ทำไมนางถึงไม่คิดบ้าง สามีของนางยังแทบรับมือนางไม่ไหว ลองสลับกันดู มู่มู่ที่ร่างกายดูอ่อนแอขนาดนั้นจะไหวหรือ นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมพวกเขาถึงไม่ชอบให้อสูรเทพกับมนุษย์แต่งงานกัน
“ใช่ เพราะฉะนั้นพวกท่านทั้งสองก็เห็นด้วยใช่หรือไม่” หลิวหลีโพล่งออกมา
“นังหนู อย่าเพิ่งรีบร้อน นังหนูคนนั้น เจ้าก็รู้ ร่างกายของอสูรเทพแบบพวกเราแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ข้ากลัวว่าร่างกายของนังหนูมู่มู่จะรับไม่ไหว” เอ๋าเฟิงดึงสติอีกฝ่าย
“รับไม่ไหว จะเป็นไปได้อย่างไร จื่อฉีกับมู่มู่ต่างเป็นคนอ่อนโยน จะต้องรักกันตลอดไปเหมือนข้ากับเสี่ยวเทียนแน่” หลิวหลีบอกว่าทั้งสองคนต่างเป็นคนอ่อนโยน ดีจริงๆ
“นังหนู ไม่ได้หรอก ไม่ใช่เพราะเผ่าพันธุ์ แต่เจ้าต้องรู้ว่าสิ่งที่แข็งแรงที่สุดของอสูรเทพก็คือกล้ามเนื้อบนร่างกาย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีสภาพร่างกายที่ดีแบบเจ้า” เอ๋าเฟิงอธิบาย ไม่ใช่ว่าใครก็จะมีร่างกายที่แข็งแรงและเก่งกล้าสามารถเช่นนี้
“ก็ได้เจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนหันมามสบตากัน หลิวหลียอมแพ้ง่ายๆอย่างนี้เชียวหรือ เป็นไปไม่ได้กระมัง
หลังจากวันนั้น หลิวหลีก็หาสารพัดวิธีมาโน้มน้าว แถมยังลองไปตรวจสร่างกายของมู่มู่อีก ทำให้นังหนูคนนั้นหน้าแดงก่ำ หลิวหลีกลับคิดว่าเป็นใบหน้าของความสุข
“ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ข้ามีเหตุผลที่จะพูดโน้มน้าวพวกท่านได้แล้ว” หลิวหลีพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ หากยังไม่ยอมอนุญาต นางจะทำอะไรก็ไม่แน่ใจตนเองเช่นกัน
“หืม ไหนลองว่ามา” พวกเขาอยากจะลองฟังดูว่านังหนูคิดวิธีอะไรออก
“ก่อนหน้านี้ข้าไปพูดคุยกับมู่มู่ ผลปรากฏว่าพบเรื่องที่น่ายินดีเรื่องหนึ่ง” หลิวหลีพูดอย่างมีลับลมคมใน
“อย่าบอกข้าว่า อยู่ๆเจ้าก็พบว่าจริงๆแล้วนังหนูมู่มู่เป็นอสูรเทพ” เอ๋าเฟิงกระเซ้า
“ไม่ใช่อยู่แล้ว เพียงแต่คุณสมบัติร่างกายของนังหนูคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เป็นร่างพฤกษาหมื่นวิญญาณ” หลิวหลีไม่รอช้า
“ร่างพฤกษาหมื่นวิญญาณ” เอ๋าเลี่ยกับเฟิ่งซานมองหน้ากัน ร่างกายไม่แตกต่างอะไรจากท่อนไม้ แปลว่านังหนูหลิวหลีต้องการจะสื่อว่าร่างกายของนังหนูคนนั้นแข็งแรงไม่น้อย ท่อนไม้แข็งแกร่งจริงๆ
“ใช่ พวกเจ้าไม่ชอบที่มู่มู่ภายนอกดูอ่อนแอไม่ใช่หรือ ภายนอกดูอ่อนแอก็ไม่เป็นไร ภายในแข็งแกร่งถึงจะที่สมบูรณ์” หลิวหลีกำลังจะบอกว่าไม่ต้องเป็นกังวลอะไรแล้ว
เมื่อนางบอกเช่นนี้ พวกเขาเหมือนจะไม่มีเรื่องอะไรให้โต้แย้งอีกจริงๆ 。
“นังหนู พวกเรานัดมาคุยกันให้ดีๆดีไหม?” เมื่อเห็นหลิวหลีทำท่าทีราวหากพวกเขาไม่รับปาก นางจะจัดการขั้นเด็ดขาดแล้วนั้น พวกเขาก็ถอนหายใจออกมา แต่ก็ยังต้องดูว่ามู่มู่จื่อฉีรู้สึกต่อกันเช่นกันเช่นไร แล้วจักรพรรดินีนภาพฤกษาทรงคิดเห็นอย่างไร ค่อยคิดเรื่องอื่นก็แล้วกัน
……………………