“น้องหญิง เจ้าเตรียมตัวจะไปเยี่ยมเยี่ยชิงขวงหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่เข้าใจเลย คนหน้าตาชั่วร้ายอย่างเจ้านั่นมีอะไรต้องให้ไปเยี่ยมเยียน
“จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อข้าเป็นคนที่ทำให้เขาบาดเจ็บต่อหน้าทุกคน ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ต้องไปเยี่ยมสักหน่อย” หลิวหลีจนใจ ถึงแม้นางจะไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ คนที่เข้าใจต่างรู้ดีว่าตนไม่ผิดแต่ก็ต้องทำเพื่อศักดิ์ศรี ไม่เช่นนั้นใครจะไปรู้ว่าคนที่ไม่รู้เรื่องจะด่านางลับหลังอย่างไร
“ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน” หนานกงเวิ่นเทียนตัดสินใจจะไปด้วย เจ้าคนหน้าตาชั่วร้ายนั่นแค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร
ตอนที่ทั้งคู่ไปถึงคนจากดินแดนนภาสุวรรณก็เตรียมตัวจะจากไปแล้ว
“ท่านหลิวหลีแห่งวังนภาเพลิง ท่านเวิ่นเทียนแห่งวังนภาธารา ไม่ทราบว่ามาด้วยเรื่องอันใดหรือ”
“มาเยี่ยมท่านชิงขวง ไม่รู้ว่าฟื้นตัวหรือยัง” หลิวหลีพูดเป็นทางการราวขุนนางเซียนจนตนเองยังพาลรู้สึกแปลกพิกลตามไปด้วย
“เชิญทางนี้ขอรับ”
“ขอบใจมาก”
“เจ้านี่ช่างจิตใจดีเสียจริง ท่านชิงขวงเกือบถูกหลิวหลีฆ่าตาย”
“นั่นสิ ทั้ง ๆที่ประกาศว่านางชนะแล้วก็ยังลงมืออย่างเหี้ยมโหดอีก”
“ตอนนั้นพวกเราเป็นคนแบกท่านชิงขวงกลับมาด้วยซ้ำ”
“เหตุใดพวกเจ้าถึงมองแต่ภายนอกเล่า ท่านหลิวหลียังอายุไม่ถึงหมื่นปีด้วยซ้ำ แต่กลับมีแข็งแกร่งขนาดนี้ หากพูดไม่น่าฟังหน่อยก็คือขย้ำคนในมือเล่น พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่านางฝึกเคล็ดวิชาพิเศษ จึงต้องใช้เพลิงเซียนจำนวนมาก เดาว่านางคงควบคุมเพลิงเซียนไม่ได้ อีกอย่างพอนางมองออกว่าเกิดเรื่องผิดปกติจึงรีบช่วยท่านชิงขวง ไม่เช่นนั้นท่านชิงขวงคงสลายหายไปแล้ว ท่านจักรพรรดิยังไม่ตรัสอะไรแล้วคนอย่างเราๆจะพูดเหลวไหลอะไร”
“อีกอย่างนางบำเพ็ญเพียรจนบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้า พวกเรามันก็แค่เซียนสุขาวดี เจ้าคิดว่านางไม่รู้หรือไงว่าเรากำลังพูดถึงนางกันอยู่”
“นังหนู อย่าถือสาเลยนะ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“ข้าจะถือสาได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาพูดถูก เหตุที่จักรพรรดินภาสุวรรณไม่สืบหาความจริงก็เพราะเยี่ยชิงขวงไม่ได้ถูกทำร้าย โรคที่เก็บซ่อนไว้ก็พลอยถูกข้ารักษาหายไปด้วย” หลิวหลีกลอกตา พวกเขาเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ต่างหากล่ะ
“ดูท่าจักรพรรดินภาสุวรรณควรขอบคุณเจ้าสินะ” หนานกงเวิ่นเทียนเข้าใจขึ้นมาทันที พอโรคที่ซุกซ่อนไว้หายไป ก็จะฝึกบำเพ็ญได้เร็วขึ้น
“ทำดีชดใช้ความผิดอย่างไรล่ะ แต่ในสายตาคนทั่วไปข้าเสียเปรียบเข้าให้แล้ว” ในเมื่อไม่มีคนรู้เรื่องนี้ จักรพรรดินภาสุวรรณและเยี่ยชิงขวงก็คงไม่ป่าวประกาศหรอก นางได้แต่กล้ำกลืนเก็บความเสียเปรียบแบบนี้ แต่การมาเยี่ยมเยียนตามมารยาทของนางในตอนนี้คงเปลี่ยนความคิดของคนทั่วไปให้ดีขึ้นได้บ้างมั้ง
“น้องหญิง เจ้าเสียเปรียบจริงๆ” หนานกงเวิ่นเทียนทำสีหน้าราวนางไม่ได้รับความเป็นธรรม
“ช่างเถอะ การเสียเปรียบครั้งนี้ข้ายอมรับไว้แล้วกันแต่ว่าข้าเจอสิ่งที่น่าสนใจอยู่บ้าง แต่พูดไม่ได้” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีลึกลับ เสมือนเจอสิ่งน่าสนใจเข้าแล้
“ของน่าสนใจหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้น่ะ รอพวกเรากลับไปค่อยว่ากัน” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีลึกลับ
“สหายชิงขวงดีขึ้นแล้วใช่ไหม เรื่องการประลองต้องขอโทษด้วยจริง ๆ” หลิวหลีแสดงความขอโทษอย่างจริงใจ
“ข้ารู้ว่าท่านมิได้ตั้งใจแต่ต้องขอบคุณท่านสหายด้วยแล้วกัน” ตอนที่เยี่ยชิงขวงขยับตัวได้ก็พบว่าโรคที่ซุกซ่อนอยู่ของตนเองหายไปจนหมด เขาประหลาดใจมากแต่ก็กังวลใจอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าหลิวหลีจะเจอะไรเข้าหรือไม่
“ท่านรู้ก็ดีแล้ว” สีหน้าของหลิวหลีบอกว่าท่านช่างเข้าใจไปเสียทุกอย่างจริง ๆ
“ข้ามีหนึ่งคำถามอยากจะถามท่าน ไม่รู้ว่าท่านจะคลายข้อข้องใจข้าได้หรือไม่” เยี่ยชิงขวงครุ่นคิดแล้วตัดสินใจลองหยั่งเชิง
“เชิญ”
“ข้ารู้สึกว่าตอนที่ท่านเจอข้าครั้งแรกเหมือนจะเกลียดขี้หน้าข้าแต่ข้าจำได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน” เยี่ยชิงขวงทำสีหน้างุนงง ว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ ทั้งที่พวกเราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก
“นั่นก็เพราะท่านหน้าตาน่าเกลียด” หลิวหลีพูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ
“หน้าตาน่าเกลียด” เยี่ยชิงขวงทำหน้างงงวย
“เพราะท่านดูเป็นคนชั่วร้าย” สีหน้าของนางบอกให้เขาควรไปเปลี่ยนหน้า
“เช่นนั้นหรือ?” เยี่ยชิงขวงลูบใบหน้าตนเอง ถึงแม้จะรูปงามสู้ตัวประหลาดทั้งสองตัวไม่ได้แต่ก็เป็นหนุ่มน้อยหน้าตาสะอาดสะอ้าน จะดูเช่นไรก็ดูไม่เหมือนคนชั่วร้ายสักนิด
“ใช่ สหายเยี่ยเองก็รู้ว่าข้าบรรลุเซียนมาจากโลกเบื้องล่าง ตอนนั้นได้ผ่านวิบากกรรมมา คนที่สร้างวิบากกรรมนั้นใบหน้าเหมือนท่านไม่มีผิดเพี้ยน กระทั่งตำแหน่งไฝยังเหมือนกันเลย พวกเรานึกว่าท่านเป็นคนสร้างวิบากกรรมนั่นกลับชาติมาเกิด จึงตกอกตกใจยกใหญ่เลย” สีหน้านางไม่ค่อยดีนัก หนานกงเวิ่นเทียนก็เย็นชามากขึ้นกว่าเดิม
“ดังนั้นหลิวหลีจึงคิดว่าข้าเป็นคนชั่วร้ายหรือ พูดขนาดนี้ข้าคงหน้าตาน่าเกลียดจริงๆ” เยี่ยชิงขวงพูดพลางถอนหายใจ คิดไม่ถึงจริงๆว่าหลิวหลีจะขวานผ่าซาก อีกอย่างก็ไม่ได้ดูเสแสร้ง เขานึกว่าหลิวหลีโป้ปด คิดไม่ถึงว่าจะพูดความจริง เมื่อบวกกับความทรงจำของเยี่ยซิงหวงแล้ว เขาย่อมต้องสามารถแยกแยะเรื่องจริงเท็จได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะพอรู้คุณสมบัติที่แสนเย้ายวนของชายหนุ่มที่มีไอเย็นชาข้างๆ น่าเสียดาย ครั้งแรกจะได้ผลดีที่สุดแต่กลับถูกหลิวหลีฉกฉวยผลประโยชน์ไปเสียแล้ว
“ใช่แล้ว” หลิวหลียืนยันว่าเจ้าหน้าตาน่าเกลียด
“บัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว เฮ้อ ของแบบนี้ข้าพูดไปก็ไม่ช่วยอะไร ขอบใจท่านมากที่ช่วยคลายข้อข้องใจให้ข้า” เยี่ยชิงขวงพูดอย่างจริงใจ
“ท่านเยี่ยเกรงใจแล้ว”
“ข้ามีของให้ท่าน ท่านรับไว้เถอะ” เยี่ยชิงขวงพูดขึ้นด้วยท่าทีจริงใจ อีกทั้งน้ำเสียงยังเด็ดขาดมาก ไม่ยอมให้นางได้ฏิเสธ
“อ๋อ สิ่งใดหรือ?” หลิวหลีประหลาดใจน้อยๆ
เยี่ยชิงขวงหยิบเพลิงไฟสีทองลูกหนึ่งออกมา เพลิงสุวรรณพรางในตัวหลิวหลีเริ่มแผดร้อง แต่ครั้งนี้ไท่จี๋เชื่อฟังหลิวหลีกำราบเพลิงสุวรรณพรางที่อยากจะวิ่งออกไปได้อย่างอยู่หมัด
“เพลิงเซียน เหตุใดเจ้าถึงเอาสิ่งนี้ให้ข้า ข้ารับไว้ไม่ได้” หลิวหลีส่ายศีรษะ คนผู้นี้โหดใช่ย่อยถึงขนาดเอาเพลิงเซียนออกมาโต้งๆเลย
“ท่านได้โปรดรับไว้เถิด คิดว่าเจ้าน่าจะรู้ว่าที่ข้ามีโรคก็เพื่อพิชิตเพลิงเซียนนี้ ถึงแม้จะควบคุมได้แต่พอใช้แล้วผลลัพธ์กลับธรรมดา เพลิงเซียนนี้มีประโยชน์ต่อท่านมาก แต่อยู่กับข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้เท่าที่ควร อยู่กับท่านน่าจะดีกว่า” เยี่ยชิงขวงพูดอย่างจริงใจ
“ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ในเมื่อท่านสหายเยี่ยเป็นคนพิชิตเพลิงเซียนนี้มาได้นั่นก็เป็นตัวยืนยันว่าเพลิงเซียนนี้มีวาสนากับท่าน การตัดสินใจนี้ของท่านจะสะเพร่าเกินไปแล้ว” หลิวหลียังไม่รับไว้อยู่ดี ของแบบนี้หากไม่มีวาสนาต่อกันแล้วจะมาอยู่ในมือของเจ้าได้เช่นไร นี่ถือเป็นโชคของเยี่ยชิงขวงนางจะไปยื้อแย่งมาได้อย่างไร ทำเช่นนี้ช่างไร้ซึ่งความเมตตาและความเป็นธรรมเกินไป
“ข้าตัดสินใจแล้ว อีกอย่างจักรพรรดิเองก็สนับสนุนข้า บัดนี้มีท่านสหายหลิวหลีคอยช่วยเหลือ โรคที่ซุกซ่อนของข้าถึงได้หายเป็นปลิดทิ้ง ความเร็วในการบำเพ็ญก็จะเพิ่มขึ้น หวังเพียงว่าพอถึงเวลานั้นท่านจะไม่หวงแหนคำชี้แนะ” เยี่ยชิงขวงถึงขนาดอ้างถึงจักรพรรดิ เพลิงเซียนเป็นไปตามโชควาสนาก็จริงแต่คนที่มีวาสนาถึงจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ของเพลิงเซียนนี้ออกมาได้ เขาจะจิตใจคับแคบได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาอยากรู้ว่าคนที่ทำลายเขาได้จะเก่งกาจสักแค่ไหนกันเชียว
“จักรพรรดิก็สนับสนุนท่านหรือ?” หลิวหลีรู้สึกเหนือคาด จักรพรรดิเล่นอะไร ท่านไม่รู้ถึงความสำคัญของเพลิงเซียนหรือ ทำไมรู้สึกราวพวกเขาเห็นมันเป็นผักกาดขาวเลย
“ใช่แล้ว หากฝ่าบาทไม่เห็นด้วยข้าจะให้ท่านได้อย่างไร ถึงอย่างไรของสิ่งนี้ก็ต้องยกให้คนอื่นในวังนภาสุวรรณแต่เพลิงเซียนนี้ไปตกอยู่ในมือใครก็ไร้ประโยชน์ มีก็แต่อยู่ในมือของท่านถึงจะแสดงคุณค่าของมันออกมาได้เต็มที่ ข้าทูลจักรพรรดิไปท่านจักรพรรดิก็เห็นพ้องด้วย” เยี่ยชิงขวงอธิบาย
“ข้าไม่รับไว้ได้ไหม” หลิวหลีพูดไม่ออก ถึงแม้นางจะต้องการเพลิงเซียนมากแต่เพลิงเซียนนี้เป็นดั่งมันร้อนที่ลวกมือ นางบารมีไม่ถึง
“เกรงว่าจะไม่ได้ เพราะบอกไว้แล้วหากท่านสหายหลิวหลียังไม่รับไว้อีก จะให้ข้าแต่งกับท่าน และนี่เป็นสินเดิมของข้า” เยี่ยชิงขวงยิ้มชั่วร้าย
“จักรพรรดินภาสุวรรณไม่รู้หรือว่านางมีคนรักแล้ว” เสี่ยวเทียนเริ่มเย็นชา นี่อยากจะให้สามีภรรยาทะเลาะกันหรืออย่างไร
“ทราบแล้ว ข้าจะฝืนเป็นคนรองแล้วกัน” เยี่ยชิงขวงจงใจเค้นคำพูด
“ไม่จำเป็นหรอก ข้าขอรับไว้ ขอบใจท่านมาก”
……………………..