“อาเลี่ย” หลิวหลีเสียงสั่นจนเอ๋าเลี่ยพลอยรู้สึกไม่ดีไปด้วย พอนึกถึงเรื่องที่นังหนูหยิบยกเรื่องพวกเขาทั้งสองมาพูดเพื่อขออนุญาตให้จื่อฉีได้แต่งงาน เขาก็รู้สึกไม่ดีนัก หากเป็นไปตามที่นังหนูพูดเขาคงต้องหามังกรตัวเมียแล้ว ตอนแรกใครเป็นคนเสี้ยมเขากันล่ะ อิงเสวี่ยโกรธจนไม่สนใจเขาเสียตั้งนาน
“พูดจาให้มันฟังรู้เรื่องหน่อย” พูดดีๆไม่ได้หรืออย่างไร ได้ยินแล้วพาลรู้สึกไม่ดีไปด้วยเลย
“เหอะๆ ก็กลัวว่าเจ้าจะไม่สนใจข้านี่นา” หลิวหลีถูมืออย่างเก้อเขิน เมื่อขาดการไตร่ตรอง ก็จะทำให้ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นนี้ เฮ้อ กรรมตามสนองแล้ว ดูสิ อาเลี่ยเป็นมังกรโลหิตที่ไหนกัน นี่มันมังกรจรจัดชัดๆ
“เหอะๆ นายท่านหลิวหลี มีสิ่งใดที่ท่านกลัวด้วยหรือ?” อาเลี่ยพูดติดตลกหน้าตาย นังหนูนี่ไม่มีใครกำราบได้เลย ในเมื่อตอนนี้เขาดันจัดการนางไม่ได้จึงทำได้แค่ปล่อยไป วันเวลาไม่ปราณีใครเลย
“อาเลี่ย เหตุใดถึงเรียกกันห่างเหินเช่นนั้น ตอนนั้นเพราะข้ากลัวว่าบรรพชนจะไม่คล้อยตามข้าต่างหาก” หลิวหลียกมือทำท่าสาบาน นางไม่ได้คิดมากขนาดนั้นจริง ๆ
“มิกล้า หากข้าคลอดมังกรที่มีหัวเป็นหงส์ร่างเป็นมังกรมีปีกขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?” เด็กบ้านั่นคิดอะไรกันเนี่ย ถ้าพอมีสิ่งของที่มีคุณภาพระดับล่างเพิ่มขึ้น ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอยู่ดี นังหนูนี่ไปเอาความคิดนี่มาจากไหนกัน ช่างเป็นคำจูงใจที่งดงามเสียจริง
“ถ้าจะคลอดลูกก็ต้องเป็นอิงเสวี่ยที่ทำหน้าที่นั้น อาเลี่ยเจ้าคลอดลูกไม่ได้เสียหน่อย” หลิวหลีกะพริบตาปริบๆอย่างใสซื่อ เรื่องคลอดลูกเป็นเรื่องของผู้หญิงนี่นา หรือว่าอสูรเทพจะแตกต่างออกไป
“คิดอะไรเนี่ย ข้าพูดผิดหน่อยไม่ได้หรือ?” ถูกนังหนูนี่ทำให้โกรธจนไม่รู้จะพูดอะไร
“ได้อยู่แล้ว ” นางปฏิเสธได้หรือ นี่มันเรียกว่าขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ รู้แบบนี้ตอนนั้นน่าจะคิดก่อนพูดสักหน่อย ดูเถอะ ผลกรรมนี้ชวนให้สมน้ำหน้าตัวเองจริงๆ
“เจ้าบอกมาหน่อยว่าเจ้าจะปลอบประโลมจิตใจที่บาดเจ็บนี้ให้หายได้อย่างไร” สีหน้าเอ๋าเลี่ยบอกว่าหากเจ้าไม่พูดในสิ่งที่ทำให้ข้าพอใจ ข้าก็จะไม่สนใจเจ้า
“เจ้าให้ข้าคิดดีๆก่อน” หลิวหลีทำหน้าขมขื่น นางต้องคิดไตร่ตรองให้ดี นางต้องโอ๋มังกรที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟกับหงส์ที่แสนเย็นชาให้หายโกรธ ใครใช้ให้นางพูดจาไม่ยั้งคิดกันล่ะ
“เจ้าคิดดูให้ดีสิ” พวกเขาโกรธขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ ยัยหนูนี่ปากไม่มีหูรูดเลย คิดไม่เลยว่าจะช่างกล้าพูดไปเสียทุกเรื่อง
“แค่กๆ พูดตามทฤษฎีแล้ว อาเลี่ยเจ้ากับอิงเสวี่ยแต่งงานกันก็คง ไม่ยังไม่แน่ใจสุดท้ายจะให้กำเนิดใครออกมา ก็ในเมื่อในประวัติศาสตร์ไม่มีตัวอย่างของมังกรแต่งงานกับหงส์ปรากฏขึ้นมาก่อน ข้าก็แค่เสนอข้อสมมติฐานสองสามข้อบวกกับความคิดสร้างสรรค์เล็กน้อย ไม่ได้มีความจริงและทฤษฎีอ้างอิงด้วย ในโลกมนุษย์ทุกคนต่างรู้ดีว่ามังกรกับหงส์เป็นตัวแทนความมงคลให้สมดั่งปรารถนา มีความนัยที่ดี อีกอย่างพวกเจ้าจะถูกใช้ในเรื่องมงคลซึ่งเป็นตัวแทนคำอวยพรที่ดีที่สุด ดังนั้นหากพวกเจ้าเป็นทองแผ่นเดียวกันก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เป็นเรื่องแห่งความสุข เรื่องลูกปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ข้ากับเสี่ยวเทียนแต่งงานกันมาตั้งหลายพันปีก็ยังไม่มีวี่แววอะไรเลย ดังนั้นคู่ชีวิตถึงจะเป็นคู่หูเราไปตราบนานแสนนาน อาเลี่ยเจ้าต้องทะนุถนอมคู่ชีวิตอย่างอิงเสวี่ย แล้วเดินเคียงข้างกันไป” หลิวหลีจับมือของทั้งสองแล้วพูดอย่างจริงจัง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความจริงใจ
“ก็ได้ ข้ายอมเจ้าแล้ว” เอ๋าเลี่ยเอือมระอา ทำไมจะไม่รู้ว่านังหนูนี่กำลังพูดเรื่อยเปื่อย เดิมทีก็ไม่ได้โกรธมากขนาดนั้น ถึงอย่างไรเรื่องลูกหลานของอสูรเทพก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่ามนุษย์อยู่แล้ว นังหนูแต่งงานมาตั้งนานยังไม่มีข่าวดีเลย อสูรเทพอย่างพวกเขาย่อมยากเย็นยิ่งกว่า
“เหอะๆ”หลิวลียิ้มแหย แต่มือกลับลูบท้องอย่างไม่รู้ตัว นางมีลางสังหรณ์ว่าหากตนเองอยู่ในโลกเซียนคงไม่มีลูกหรอก ต้องบรรลุขั้นสู่โลกเทพถึงจะมี นางต้องรีบฝึกบำเพ็ญสินะ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเจ้าก้อนกลมให้เล่น นี่คือสาเหตุที่นางยึดติดกับเรื่องฝึกบำเพ็ญมาก ถึงตอนนั้นคงเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าร่างกายจะรับไหวหรือไม่ อีกอย่างลางสังหรณ์ที่ประหลาดของนางนี้น่าเชื่อถือขึ้นทุกวัน เหมือนตัวการ์ตูนซากุระในเรื่องซากุระ มือปราบไพ่ทาโรต์ที่มีพลังฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ เพียงแต่พลังนี้ของนางได้มาจากที่ใดกันนะ เพราะตัวนางเองมีความทรงจำทั้งสองภพ หลิวหลีประหลาดใจในที่มาของพลังนี้เหลือเกิน
“นังหนู เจ้าพูดถูก อันที่จริงเรื่องที่พวกเราเป็นคู่ชีวิตกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่างไรเสียเรื่องลูกก็ปล่อยให้เป็นไปตามวาสนาเถอะ ข้าย่อมต้องดีกับอิงเสวี่ยอยู่แล้ว” ความอ่อนโยนในแววตาของเอ๋าเลี่ยเปี่ยมล้นออกมา บางทีอาจเป็นประโยคที่นังหนูหลิวหลีพูดออกมาผ่านๆในตอนนั้น หรือว่าดวงตาคู่นั้นที่ประสานสบตาเอาเป็นว่านังหนูที่แสนเย็นชาคนนี้ได้เดินเข้ามาในใจของเขา ฝังเมล็ดลงไปกระทั่งออกดอกผลิใบเติบใหญ่ขึ้นมา
“ใช่ไหมล่ะ อาเลี่ย เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องจัดงานแต่งงานของเจ้ากับอิงเสวี่ยให้อย่างงดงามแน่นอน” หลิวหลีกำหมัดถูฝ่ามือ หากไม่รู้เรื่องอะไรคงคิดว่าจะไปทะเลาะกับใครเสียอีก
“แค่กๆ นังหนูเจ้าออกเรือนไปแล้วทำตัวสำรวมหน่อยได้ไหม เรื่องงานแต่งงานของพวกเราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมเนียมของอสูรเทพเถอะ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลใจไปหรอก” เอ๋าเลี่ยไม่วางใจมอบเรื่องใหญ่ของตนเองให้นังหนูทำซี้ซั้ว ถ้าตนเองกลายเป็นตัวตลกไปจริง ๆจะทำอย่างไร
“อสูรเทพมีพิธีรีตรองด้วยหรือ คืออะไรล่ะ?” สีหน้าหลิวหลีมึนงง พิถีพิถันขนาดนั้นเชียว
“พอถึงตอนนั้นเจ้าก็รู้เอง” เอ๋าเลี่ยแสร้งพูด
งานแต่งงานของทั้งคู่ หลิวหลีมองคู่บ่าวสาวที่อยู่ไม่ไกลด้วยใจหดหู่ จากนั้นกลุ่มคนรอบข้างที่ล้อมรอบกองไฟต่างกินเนื้อคำโตดื่มเหล้าอึกใหญ่ คู่บ่าวสาวใส่เสื้อผ้าอสูรที่งดงาม น่าเบื่อหน่ายเสียจริง นี่เป็นงานแต่งงานที่ไร้ความหมายเหลือเกิน พวกเขาจะหวนรำลึกถึงมันไหมนะ
“น้องหญิง วันนี้เป็นวันมงคลรื่นเริง เหตุใดเจ้าถึงดูไม่สนุกเลยล่ะ” นังหนูที่ชอบความครึกครื้น ไม่นึกเลยว่าจะนิ่งเงียบขนาดนี้จนเขารู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย
“สนุกสิ เพียงแต่ข้านึกว่างานแต่งงานจะมีรายการที่น่าสนใจมากกว่านี้ ผลสุดท้ายก็แค่กินเนื้อดื่มเหล้าธรรมดา ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเร้าใจเลยสักนิด” หลิวหลีขบคิดแล้วเลือกใช้คำ
ฟากเอ๋าเลี่ยที่มีสีหน้ายินดีนั้น มุมปากกระตุก เขามีความสามารถในการมองเห็นปัญหาล่วงหน้าได้จึงไม่ได้ให้นังหนูเป็นจัดงาน ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่างานมงคลของตนเองจะกลายเป็นสภาพอย่างไร ถึงตอนนั้นคงกลายเป็นหัวข้อสนทนาอันน่าขบขันไปอีกนานแสนนาน เฟิ่งอิงเสวี่ยเองก็รู้สึกโชคดีที่ไม่ใช่นังหนูเป็นคนจัดงาน ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทรมานตนเองขนาดไหน นังหนูอายุก็หลายพันปีแล้วทำไมถึงยังเล่นเป็นเด็กอีก หรือว่าถ้านังหนูเป็นแม่คนแล้วถึงจะโตเป็นผู้ใหญ่ เอ๋าเลี่ยอดคิดไปไกลไม่ได้
“นังหนู เรื่องแต่งงานเรื่องใหญ่แบบนี้จะทำเล่นๆได้อย่างไรกัน” ถึงแม้หนานกงเวิ่นเทียนจะหมดคำพูดแต่ก็ต้องโน้มน้าวนังหนูสักหน่อย ไม่อย่างนั้นรอบตัวต่างก็สนุกสนาน เห็นจะมีแต่นังหนูคนเดียวที่หน้านิ่งบึ้งตึงคนอื่นจะนึกเอาได้ว่ามาทวงหนี้
“ก็ได้ รู้แบบนี้คงไม่แต่งงานเร็วขนาดนี้ตั้งแต่แรกหรอก” หลิวหลีทำปากยื่น จู่ ๆนางก็พบว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างสามารถเพิ่มเข้าไปได้
“จื่อฉี เจ้าแต่งงานต้องให้ข้าเป็นคนจัดงานนะ ห้ามคัดค้านด้วย” จู่ๆหลิวหลีก็โวยวาย ทำเอาจื่อฉีตกตะลึง เฮ้อ ตอนนี้เขายังไม่คิดเรื่องแต่งงานหรอก
“ท่านพี่ ข้ากับมู่มู่ยังไม่มีแผนจะแต่งงานเลย” ความขุ่นเคืองใจของท่านชักจะเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปแล้ว แต่ดันย้ายมาที่ตัวเขา
“ข้าหมายถึงว่าถ้าเจ้าแต่งงานต้องให้ข้าเป็นคนจัดการ” หลิวหลีเน้นคำว่าแต่งงาน
จื่อฉีมองหลิวหลีอย่างใสซื่อ เขาไม่แต่งงานได้ไหม รู้สึกว่าพอถึงตอนนั้นงานแต่งงานของเขาต้องกลายเป็นหัวข้อพูดคุยจนไม่หยุดหย่อนแน่นอน
…………………………………….