“คิดไม่ถึงเลยว่าสองสามีภรรยาคู่นั้นจะเก่งมากขนาดนี้” ปู้หุ่ยหมดคำพูด อายุยังไม่ถึงหมื่นปีเลยก็บำเพ็ญเพียรกันจนถึงขั้นราชาเซียนแล้ว อีกทั้งยังมีนิมิตมงคลพวกนั้นอีกด้วย
“ท่านพี่ของข้าเป็นยอดฝีมือมาตลอด ผู้อาวุโส ข้าก็จะเก่งให้เหมือนท่านพี่ของข้าให้ได้เช่นกัน” จื่อฉีตบอกยืนยัน ส่วนมู่มู่บิดชายเสื้อไปมา พลังบำเพ็ญของนางเพิ่งอยู่ขั้นเทพเซียนสุวรรณนภา ถึงจะเป็นตัวถ่วงอยู่บ้างแต่นางจะพยายามเพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงของจื่อฉี แต่ท่านพี่เก่งมากจริงๆ มิน่าเสด็จแม่มักจะพร่ำบอกเสมอว่าได้เกี่ยวดองกัน ถือว่านางเป็นฝ่ายได้กำไร หลิวหลีรักจื่อฉีมาก ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ทุกแขนงที่นางปรุงนั้น จื่อฉีล้วนแต่มีทุกชนิด จื่อฉีต้องการทรัพยากรมาใช้ในการฝึกบำเพ็ญหลิวหลีก็ให้เขา จื่อฉีใช้ชีวิตสบายๆยิ่งกว่าองค์หญิงอย่างนางเสียอีกแต่เขากลับเอาใจใส่ดูแลนางเป็นอย่างดี ขนาดเสด็จแม่เห็นสิ่งของที่จื่อฉีให้ตน ยังตกใจ เสด็จแม่กล่าวว่านอกจากเรื่องที่จื่อฉีเป็นอสูรเทพแล้ว ก็พอใจทุกเรื่อง เอาเสียจนนางรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับจื่อฉีด้วยซ้ำเพราะมีคนอื่นพร้อมอ้าแขนต้อนรับเขาอยู่แล้ว นางจึงกังวลใจอยู่มาก จนสุดท้ายจื่อฉีบอกนางว่าอย่าคิดฟุ้งซ่านเลย ท่านพี่ของเขาสอนเขามาตั้งแต่เด็กว่าเป็นอสูรเทพต้องรักเดียวใจเดียว อยู่เคียงคู่กันไปสองคนตลอดชีวิต ทำเอามู่มู่โผกอดร่ำไห้กับเสด็จแม่เป็นการใหญ่ นางไม่ได้เป็นคนดีเก่งกาจอะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคู่ครองที่ดีเช่นนี้ นางถูกฟูมฟักดุจองค์หญิง ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นนางก็ไม่เคยขี้เกียจย่อท้อ นางจะต้องพยายามให้มากขึ้นเพื่อให้ตนเองคู่ควรกับจื่อฉี
“ผู้อาวุโส พวกเราขอตัวก่อน ครั้งหน้าจะมาเยี่ยมท่านใหม่” จื่อฉีคุยกับปู้หุ่ยอีกสักพักก็เตรียมตัวจะออกเดินทาง อย่างไรเสียก็เป็นแดนต้องห้ามจะอยู่นานไม่ได้ จื่อฉีคิดว่าเขาแต่งงานได้แล้ว เพราะมู่มู่กับเขาต่างก็จริงใจต่อกัน
“กลับเถอะ ผู้หญิงคนนี้ของเจ้าไม่เลวเลย หวังว่าพวกเจ้าจะมีความสุขตลอดไป” ปู้หุ่ยมอบคำอวยพรของตนให้ พวกเขาต้องเป็นคู่ครองที่มีความสุขแน่
“แน่นอน ผู้อาวุโส”
“ฮ่า ๆ จ้านปู้หุ่ย คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกลับมาเยี่ยมเจ้า มาดูว่าเจ้าตายหรือยังจะได้ฝังศพให้ล่ะสิ” เสียงหญิงสาวที่น่ากลัวดังลอยมา
“คงทำให้เจ้าผิดหวังแล้วจริง ๆ เด็กทั้งสองจะแต่งงานกันเลยตั้งใจมาเยี่ยมเยียนข้าต่างหาก” จ้านปู้หุ่ยไม่แยแส
“เหอะ เดาว่าพวกเขาคงไม่มาเยี่ยมเจ้าแล้วล่ะ นังหนูนั่นกลัวดวงตาโลหิตทั้งสองข้างของเจ้าจะตายไป”
“แล้วอย่างไรล่ะ ถึงแม้นังหนูนั่นจะกลัวแต่ก็ยังรวบรวมความกล้าสบตาข้า นังหนูนี่ไม่เลวเลย” จ้านปู้หุ่ยไม่สนใจคำยุแหย่ของหญิงคนนั้นเลยสักนิด
“แล้วอย่างไร จ้านปู้หุ่ย เจ้าถึงคราวตายแล้ว ฮ่า ๆ เจ้าขังข้าไว้ได้อีกไม่นานหรอก” เสียงหัวเราะของหญิงสาวระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายประเภทเดียวกัน กี่หมื่นปีผ่านไป นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแบบเดียวกันอีกครั้ง ฮ่าๆนางจะได้ออกไปในเร็ววันนี้แล้ว
“เพราะเผ่ามารรัตติกาลของพวกเจ้ามีราชาเซียนกำเนิดขึ้นสินะ เหอะๆ ไม่ตามหาเจ้าคงไม่ได้ หากไม่กินเลือดของเจ้า เขาก็ไร้หนทางจะเป็นกษัตริย์ แต่ว่าเจ้ายอมแพ้เสียเถิด ไม่ว่าจะมีสมาชิกเผ่ามารรัตติกาลเข้ามาสักกี่คนก็หาที่นี่ไม่เจอหรอก” จ้านปู้หุ่ยจะไม่รู้เสียได้อย่างไรว่าหญิงสาวคิดอะไรอยู่
“ถึงคราวจบสิ้นของเจ้าแล้ว เจ้าต้องไม่ตายดีแน่ จ้านปู้หุ่ย” เสียงผู้หญิงคลุ้มคลั่งผิดปกติ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและสิ้นหวัง
“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันแล้วกัน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามากังวลหรอก” จ้านปู้หุ่ยพูดจบก็สิ้นสุดการสนทนาแล้วบรรยากาศก็กลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง เด็กทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้ารีบเติบใหญ่เถิด เขาไม่รู้ว่าจะทนได้อีกนานแค่ไหน จักรพรรดิมารรัตติกาลกดทับเขามากขึ้นทุกที เขาหวังว่าเด็กพวกนี้จะเติบใหญ่โดยเร็วแล้วสามารถรับภารกิจนี้ได้โดยลำพัง กลายเป็นผู้ช่วยและแรงหนุนในการต่อกรกับมารรัตติกาล
หลิวหลีย่อมไม่รับถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนอสูรเทพ นางแค่รู้สึกถึงอะไรบางอย่างเท่านั้น รีบกลับตำหนักตนเอง หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน โดยเฉพาะตอนที่ปราณก่อนกำเนิดเซียนของหลิวหลีเข้าตำหนักของหนานกงเวิ่นเทียนก็ถูกเจ้าหงส์ตัวน้อยแสนน่ารักตัวนั้นทำให้ตกตะลึงไป
“ท่านพี่ ปราณก่อนกำเนิดเซียนของท่านช่างน่ารักนัก” เจ้าหงส์ตัวน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน
“น้องหญิงไม่รู้สึกว่ามันประหลาดหรือ ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้” หนานกงเวิ่นเทียนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี น้องหญิงของเขาจะรังเกียจเขาไหมนะ
“ไม่เลย น่ารักจะตายไป” ยิ่งไปกว่านั้นในที่สุดก็ไม่ต้องปกปิดปราณก่อนกำเนิดเซียนของนางอีกต่อไปแล้ว
หนานกงเวิ่นเทียนมองปราณก่อนกำเนิดเซียนที่กลายร่างเป็นมังกรน้อยของฮูหยินตนเองพุ่งเข้าหาหงษ์น้อยของตนเองอย่างตกตะลึง เหตุใดปราณก่อนกำเนิดเซียนของฮูหยินเขาถึงเป็นมังกรได้
“เมื่อก่อนเพราะกลัวทำให้ท่านพี่ตกใจ ตอนแรกข้าจึงบดดวงจิตให้แหลกให้กลายเป็นปราณก่อนกำเนิด ก็คือมังกรน้อย บัดนี้ปราณก่อนกำเนิดเซียนของท่านพี่กลายเป็นหงส์ ข้าก็วางใจ” พอหลิวหลีพูดจบ ปราณก่อนกำเนิดเซียนมังกรก็พุ่งเข้าหาหงส์น้อย
“น้องหญิงปิดบังเก่งจริงนะ” หนานกงเวิ่นเทียนตัดพ้อ ปราณก่อนกำเนิดเซียนกลายเป็นหงส์ตัวน้อย เขาได้เลื่อนบรรลุขั้นจริง แต่ทำไมยังด้อยกว่าน้องหญิงเขาอยู่
“ก็ไม่ใช่เพราะว่าข้ากลัวท่านตื่นตระหนกหรอกหรือ แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดปราณก่อนกำเนิดเซียนของข้าถึงเป็นมังกรเทพ” หลิวหลีฉงนอยู่บ้าง ทั้งๆที่นางเป็นหญิงสาวแท้ๆ
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน เหตุใดพอข้ากลายเป็นราชาเซียนแล้วปราณก่อนกำเนิดเซียนถึงกลายเป็นหงส์ไปได้” หนานกงเวิ่นเทียนก็สับสนอยู่เหมือนกัน
“ต้องมีสักวันที่เราจะเข้าใจแน่ แต่อย่าบอกคนอื่นเลยจะดีกว่า” ถ้าถูกมองเป็นสัตว์ประหลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร
“ก็จริง” ชักจะประหลาดเกินไปแล้ว แม้แต่คนที่สนิทที่สุดก็บอกไม่ได้ ต้องค่อยๆหาคำตอบไปแล้วกัน
“ท่านพี่อยากครองวังนภาธาราหรือไม่?” หลิวหลีถามขึ้น
“ไม่ล่ะ น้องหญิงเสียใจที่ไม่ได้เป็นพระชายาหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนจงใจถาม
“ไม่หรอก ตำแหน่งนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเรา” หลิวหลีส่ายหัว
“ก็จริงนะ บัดนี้พวกเราต่างก็เป็นราชาเซียน ถ้ารับตำแหน่งรัชทายาท เช่นนั้นองค์จักรพรรดิจะทำอย่างไ?” หนานกงเวิ่นเทียนคิดเหมือนหลิวหลีจักรพรรดิเองยังแทบไม่มีความเป็นไปได้ที่จะการบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนเลย ถ้าพวกเขาให้จักรพรรดิลงจากบัลลังก์ในฐานะรัชทายาท มันจะน่าอึดอัดขนาดไหนเชียว ในเมื่อตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ก็อย่าทำเรื่องโค่นบัลลังก์จะดีกว่า
“น้องหญิง บัดนี้เจ้ากับข้าล้วนมีพลังบำเพ็ญราชาเซียนแล้ว เจ้าคิดจะทำอะไรต่อ?” หนานกงเวิ่นเทียนถามขึ้น น้องหญิงของเขาไม่ชอบอยู่เฉย เดาว่าคงต้องตะลอนไปไหนต่อไหนอีกแน่
“กลับดินแดนอสูรเทพสักหน่อยแล้วกัน ควรพาสามีของข้าไปพบผู้อาวุโสท่านหนึ่ง” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีลึกลับ
“ผู้อาวุโสหรือ?” เขาเจอผู้อาวุโสของสกุลหลงกับสกุลจ้านหมดแล้วนี่นา ยังเหลือผู้อาวุโสที่เขายังไม่เคยเจออีกหรือ
“อืม ข้าสึกเหมือนว่าถึงจะไม่บอกชื่อแซ่ของผู้อาวุโสคนนั้น แต่ข้าก็รู้สึกได้ว่าผู้อาวุโสคนนั้นเป็นผู้อาวุโสของสกุลจ้าน” หลิวหลีบอกสิ่งที่นางคาดเดาได้จากสัญชาตญาณตนเอง
“ผู้อาวุโสของสกุลจ้านหรือ” ถึงแม้นังหนูจะไม่เคยเกลียดคนสกุลจ้านแต่ปฏิกิริยากลับธรรมดามาก
“อืม ผู้อาวุโสสกุลจ้าน น่าจะสะกดอะไรไว้ ที่นั่นเป็นแดนลี้ลับ ข้ากับจื่อฉีเผลอบุกรุกเข้าไป ข้ารู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสท่านนี้กดไว้เกี่ยวข้องกับเผ่ามารรัตติกาล” หลิวหลีเริ่มบอกความคิดประหลาดของตนเอง
“เผ่ามารรัตติกาลหรือ? จะเป็นไปได้เช่นไร สมาชิกที่หลงเหลืออยู่ของเผ่ามารรัตติกาลคงทำไม่สำเร็จหรอกกระมัง” หนานกงเวิ่นเทียนงุนงง ตามที่เล่าต่อกันมาตอนนั้นเผ่ามารรัตติกาลถูกล้างเผ่าพันธุ์ไปแล้วเหลือไว้เพียงแมวตัวเล็ก ๆเพียงสองสามตัว คงทำอะไรไม่สำเร็จหรอก ต่อให้พวกเขารู้เรื่องของเยี่ยชิงขวงก็ยังทำการใหญ่ไม่สำเร็จอยู่ดี
“เผ่านี้แปลกประหลาดนัก ความทะเยอทะยานไม่เคยลดลงเลย เหมือนเกิดมาเป็นเช่นนี้ เมื่อสบโอกาสที่สามารถไขว่คว้าได้ก็จะไม่ยอมปล่อยมือ” หลิวหลีวิเคราะห์เผ่าพันธุ์นี้
“เช่นนั้นข้าก็ควรไปพบผู้อาวุโสท่านนี้แล้ว ตอนแรกนึกว่าจะเป็นผู้ที่ใคร ๆต่างกล่าวถึงเสียอีก” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าตนควรจะไปพบผู้อาวุโสท่านนี้จริงๆคงต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
“ใช่สิ ถือโอกาสแวะเยี่ยมดูชีวิตหลังแต่งงานของเอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ยว่าเป็นอย่างไรบ้าง? แล้วจื่อฉีจะแต่งงานแล้วหรือยังด้วย” หลิวหลีพูดพลางนับนิ้ว
“น้องหญิง เจ้าอยากจัดงานแต่งงานให้จื่อฉีมากกว่ามั้ง”
…………………………