“สวี่เซินขอคารวะนายท่าน” สวี่เซินน้ำเสียงสั่นพร่า นี่คงเป็นท่านหลิวหลีที่เคยได้ยินเพียงชื่อในตำนาน หน้าตาดี จิตใจดีมีเมตตา ทำให้เกิดความรู้สึกอยากจะคอยติดตามรับใช้
“ลุกขึ้นเถอะ ที่ตำหนักข้าไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองจอมปลอมพวกนั้นหรอก บัดนี้เจ้าเป็นขุนนางเซียนของตำหนักเวิ่นเทียนแล้ว ทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี คิดว่าการเจ้าพูดออกไปเช่นนั้น ตัวเจ้าเองคงเป็นคนจิตใจดีและปณิธานเด็ดเดี่ยวไม่เบา ทั้งยังไม่ถูกสิ่งภายนอกทำให้สับสนในเจตนาเดิมอีก ข้าชื่นชมเจ้าในจุดนี้ เจ้าแค่ต้องคอยช่วยจื่อจู๋ให้ดี ทหารสวรรค์มากขึ้นแล้ว จื่อจู๋เองก็ต้องการขุนนางเซียนคนหนึ่งมาคอยช่วยเช่นกัน” หลิวหลีบอกตำแหน่งของสวี่เซิน ทั้งสามผ่อนลมหายใจ โดยเฉพาะจื่อจู๋กับหลิวชิง เพราะเขาทั้งสองไม่ใช่คนที่นางเลือกมาเองกับมือ พวกเขาจึงมักรู้สึกขาดความมั่นใจ ตอนนี้นายท่านให้คนที่เลือกเองกับมือมาเป็นผู้ช่วยพวกเขา พวกเขาถึงโล่งใจ
“จื่อจู๋ ชิงหลิวโล่งอกแล้วสินะ” หลิวหลีพูดหยอกเย้า
“นายท่าน” ทั้งสองรู้สึกกลัวจนลนลานอยู่บ้าง เหตุใดนายท่านถึงกล่าวเช่นนั้น
“พวกเจ้าสองคนไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงเช่นนี้ก็ได้ ตอนที่พวกเจ้ามา ตอนนั้นข้าเคยบอกแล้วว่าพวกเจ้าเป็นคนที่ผู้อาวุโสเลือกมา ข้าย่อมเชื่อใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าต้องเชื่อมั่นในตัวพวกเจ้าอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับว่าข้าเป็นคนเลือกพวกเจ้าเองกับมือหรือไม่ แต่พวกเจ้าล้วนเป็นขุนนางเซียนมากความสามารถของข้า” ไม่ง่ายเลยที่หลิวหลีจะพูดจาน่าซึ้งใจขนาดนี้ออกมา
“นายท่าน เป็นเพราะพวกข้าคิดไปเอง” ชิงหลิวกับจื่อจู๋พูดขึ้นพร้อมกัน จิตใจพวกเขาสงบลงแล้ว ดีเหลือเกิน นายท่านเองก็ใช่ย่อย ผ่านมาตั้งนานถึงเพิ่งมาบอกพวกเขา
“พวกเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” สีหน้าของหลิวหลีละม้ายจะบอกว่าพวกเจ้าเพิ่งเข้าใจสินะ
“ทั้งที่นายท่านบอกเราตั้งแต่ตอนแรกก็ได้ แต่ดันมาบอกพวกเราเอาวันนี้เสียอย่างนั้น เร็วเหลือเกินนะเจ้าคะ” ชิงหลิวพูดพลางยื่นปาก ในฐานะที่เป็นขุนนางเซียนหญิงเพียงคนเดียวจึงร่าเริงสดใส
“ก็อยากดูว่าพวกเจ้าจะทนไปได้ถึงเมื่อไร ผลสุดท้ายพวกเจ้าก็ทนได้นานเอาเรื่องเหมือนกันนี่” หลิวหลีทำสีหน้าประมาณว่าพวกเจ้าล้วนเป็นอัจฉริยะ ช่างอึดทนจริง ๆ ทำเอาทั้งคู่ต่างหน้าแดงซ่าน บางครั้งนายท่านก็ร้ายกาจได้น่ารักจริง ๆ
“นายท่าน”
“เอาล่ะ ไม่แกล้งพวกเจ้าแล้วกัน พวกเจ้าพาสวี่เซินไปทำความคุ้นเคยกับวังเวิ่นเทียนสักหน่อยเถอะ เรื่องคัดเลือกทหารสวรรค์รอหลังพิธีแต่งตั้งรัชทายาทสามปีค่อยจัดการ” เมื่อหลิวหลีบอกเรื่องเวลาจบก็เดินออกไป
“นายท่านของพวกเราคิดเผื่อรัชทายาทเหลือเกิน กลัวว่าจะแย่งความสนใจของรัชทายาทไปล่ะสิ” พอชิงหลิวคลี่คลายปมในใจได้แล้วก็ยิ่งร่าเริงสดใสมากกว่าเดิม
“อย่างไรเสียก็เป็นถึงรัชทายาทย่อมต้องให้เกียรติเขา” จื่อจู๋ตำหนิ
“เช่นนั้นเหตุใดถึงเลือกขุนนางเซียนก่อนล่ะ?” อวิ๋นเฟยพูดเจ้าเล่ห์
“อาจเพราะทหารสวรรค์เลือกง่ายแต่แม่ทัพเลือกยากกระมัง แต่เดิมทีข้าก็เป็นที่ต้องการทีเดียว” สวี่เซินกล่าวพร้อมจงใจทำทีว่าตนเก่งเหลือเกิน
“ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดนายท่านถึงเลือกเขา ต้องเป็นเพราะหน้าหนาเหมือนนายท่านแน่เลย” อวิ๋นเฟยแขวะ ทั้งสี่คนไม่มีใครวางท่าใส่กัน ทุกคนต่างเย้าแหย่กันอย่างสนุกสนาน
“จะเป็นไปได้อย่างไร นายท่านจะเป็นคนหน้าหนาไปได้อย่างไรกันเล่า” สวี่เซินค้าน
“ใช่ๆ ข้าพูดผิดไปแล้ว” คิดไม่ถึงว่าจะพูดว่านายท่านหน้าหนา นี่เท่ากับว่าเขากำลังหาเหาใส่หัวอยู่ไม่ใช่หรือ โดยสรุปคือทั้งสี่คนรักใคร่กลมเกลียวกันมาก ไม่มีการชิงดีชิงเด่น อันเป็นเรื่องที่ไม่น่าภิรมย์ใจพวกนั้นแต่อย่างใด
พิธีรับตำแหน่งรัชทายาทของเหลยจ้านใหญ่โต เหล่าเจ้าตำหนักทั้งหลายต่างพากันอิจฉาอย่างยิ่ง ยกเว้นก็แต่หลิวหลีที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอาวุโสสูงสุดจึงนั่งอยู่แถวเดียวกับจักรพรรดิ นางกระตุกมุมปาก ถ้ารู้แต่แรกว่าต้องนั่งเคียงข้างจักรพรรดิ ถึงอย่างไรนางก็ต้องบอกจักรพรรดิสักหน่อย แค่รับรู้ก็พอ แต่นี่ทำลายความปรารถนาที่นางจะได้นั่งชมอย่างสงบสุขไปจนหมดเหลือเพียงสายตาที่ร้อนฉ่ามากมายจนทำเอาร่างวิญญาณอัคคีนี้ของนางโดนแผดเผาจนแทบละลาย แรงกดดันที่ถาโถมที่รุนแรงนี้ทำให้ทนไม่ไหวอยู่บ้าง
มองจ้านเหลยที่อยู่ในชุดคลุมมังกรสีทองอร่าม อืม เสื้อผ้าช่างเข้ากับคนนัก บนตัวมีรังสีแห่งอานุภาพ พอเข้าคู่กับเสื้อผ้าชุดนี้ก็ยิ่งขับให้ดูมีพลังออกมายิ่งกว่าเดิม
“วันนี้เหลยจ้านแห่งตำหนักเหลยถิงวังนภาเพลิงของข้าได้บรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว ถือเป็นรัชทายาทสืบทอดตำแหน่งราชาวังนภาเพลิงของข้าในวันข้างหน้า ทั้งยังชอบพออยู่กับหงซวี่แห่งตำหนักหงเมิ่ง อีกร้อยปีจะมีงานมงคลให้พวกเขา” จักรพรรดิกล่าวเสียงดัง เหลยจ้านมองไปทางหงซวี่อย่างอ่อนโยน หงซวี่ขวยเขินหน้าแดงซ่าน ความหยิ่งผยองที่มีติดตัวในยามปกติจางหายจนหมดสิ้น
“อีกเรื่อง หลิวหลีแห่งตำหนักเวิ่นเทียนก็บรรลุขั้นราชาเซียนเช่นกัน ข้าถามเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหกคนแล้วจึงขอแต่งตั้งให้หลิวหลีรับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดและอาศัยอยู่ในตำหนักเวิ่นเทียน อีกทั้งเพิ่มขุนนางเซียนอีก 1 คน ทหารสวรรค์อีก 20 คน” จักรพรรดิตรัสต่อ ถึงอย่างไรหลิวหลีก็กลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดมือใหม่ แถมยังอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อีกต่างหาก
“ขอแสดงความยินดีกับรัชทายาทเหลยจ้าน และยินดีกับผู้อาวุโสสูงสุดหลิวหลีด้วย” ทุกคนประสานเสียง
ไม่รู้ว่าหลิวหลีรู้สึกไปเองหรือเปล่า นางมักรู้สึกได้ว่า ความหมายของคำว่าขอแสดงความยินดีและยินดีด้วยนั้นแตกต่างกัน
พระราชพิธีดำเนินไปจนงานเลี้ยงสังสรรค์จบลง ถึงได้ถือว่าทุกอย่างสิ้นสุดลง นางได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ระดับไหนทุกคนล้วนสนุกสนาน ลองดูท่าระบำนั้นสิ ลองดูการเป่าบรรเลงด้วย สำหรับเรื่องอาหารหลิวหลีคิดว่ารสชาติใช้ได้แต่อาหารไม่หลากหลาย ต่อให้อาหารจะอร่อยก็ดึงดูดคนไม่ได้ ทำให้เห็นว่าสิ่งสำคัญอยู่ที่ความสวยงาม มนุษย์ล้วนเป็นสัตว์ที่ใช้อารมณ์ ส่วนมากแล้วมักจะมองรูปลักษณ์ภายนอกก่อนจะทำความเข้าใจสรรพคุณและวิธีการใช้เป็นลำดับต่อไป
หลังจากกลับไป ในวันต่อมาตำหนักของนางเกือบถูกทหารสวรรค์ที่บ้าคลั่งกลุ่มหนึ่งถล่มเละ เหตุเพราะในวังของนางจะรับขุนนางเซียนเพิ่ม 1 คนและทหารสวรรค์อีก 20 คน
“ทุกท่านฟังคำข้า มีขุนนางเซียนแล้วคือสวี่เซิน ส่วนทหารสวรรค์อีก 20 คนจะคัดเลือกโดยใช้การประลอง” อวิ๋นเฟยบอกให้ทุกคนเงียบลงแล้วบอกความตั้งใจของหลิวหลีออกไป
“ขุนนางเซียนอวิ๋น แล้วยังเหลือรายชื่ออีก 8 คน ท่านจะเลือกพวกเขาอย่างไร?”มีคนได้ยินมาว่ายังเหลือรายชื่ออีก 8 ที่จึงอดถามไม่ได้
“ 8 คนนั้นจะมีขุนนางเซียนทั้ง 4 ของตำหนักเวิ่นเทียนเป็นคนเลือก” อวิ๋นเฟยพูดพลางยิ้มตาหยี นายท่านของพวกเขาไม่ถือรายชื่อเอาไว้ นั่นแปลว่านายท่านเชื่อมั่นในตัวพวกเขามากแค่ไหน โดยเฉพาะสวี่เซิน ทันทีที่เข้าร่วมในตำหนักก็ได้รายชื่อทหารสวรรค์ถึง 2 คน พาลให้คนอื่นๆอิจฉาตาร้อน
“ขุนนางเซียนอวิ๋น เลือกข้าเถิด”
พอทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มตะโกนโหวกเหวกใหม่อีกรอบ
“เงียบ พวกเราทั้ง 4 ปรึกษากันแล้ว พวกเราจะคัดเลือกพร้อมกับตอนที่คัดทหารสวรรค์ 12 คน” อวิ๋นเฟยกล่าว
ทุกคนกลับไปปรับอารมณ์ให้กระปรี้กระเปร่า เตรียมพร้อมจะเป็น 1 ใน 12 รายชื่อนั้น
“รอบนี้ดูความสามารถ เซียนอธนการกับเซียนธรรมดาอย่างพวกเราคงไม่มีหวังแล้ว”
“เอ๊ะ นึกว่าท่านหลิวหลีจะยกตำแหน่งให้อาจารย์นางเสียอีก ถึงแม้พลังบำเพ็ญจะยังไม่พอแต่มีลูกศิษย์ที่สุดยอดขนาดนั้นอยู่ด้วยใครจะกล้าหักหน้าเขาล่ะ แต่คิดไม่ถึงว่านางจะเลือกสหายที่ชื่อสวี่เซิน”
“นั่นสิ แต่ตามที่เล่าลือมาท่านหลิวหลีให้ความเคารพแก่ท่านอาจารย์ของนางมาก ไม่รู้ว่าถ้าเข้าทางอาจารย์ของนางจะได้ีประโยชน์อะไรไหม””
“ไม่รู้สิ แต่อาศัยความสามารถน่าจะดีกว่า ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นแบบไหน”
“ก็จริง ผู้บำเพ็ญอย่างพวกเราจะเดินทางชั่วร้ายขี้โกงได้อย่างไร”
แต่ทว่ากลับมีคนหาเส้นสายหลายต่อมาขอให้เจียงหรูชวนช่วย ทำเอาเขาเองยิ้มไม่ออก พวกเขาไปเอามาจากที่ไหนว่าลูกศิษย์เชื่อฟังคำพูดของเขา ทำไมเจ้าตัวอย่างเขาถึงไม่รู้เรื่องเลย เขารู้เพียงว่าลูกศิษย์ให้ความเคารพเขา มีทรัพยากรให้เขาได้ใช้ไม่ขาด มิเช่นนั้นเขาจะบรรลุขั้นเซียนธรรมดาได้อย่างไรล่ะ อีกอย่างลูกศิษย์ของเขาเป็นคนซื่อตรง หากเขาทำเช่นนั้น ไม่แน่ว่านางคงไม่เห็นเขาเป็นอาจารย์อีกต่อไป เขาจะโง่ทำเรื่องผิดใจกับนางย์ได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงแขวนป้ายเข้าฌาณเอาไว้ คนที่คิดจะเข้าหาเขาเห็นก็ต่างส่ายหน้า ดูท่าคงเดินทางนี้ไม่ได้แล้ว
เรื่องหลิวหลีคัดเลือกทหารสวรรค์คึกคักยิ่งกว่าเรื่องที่เหลยจ้านรับตำแหน่งรัชทายาทเสียอีก รัชทายาทก็สามารถเพิ่มขุนนางเซียนได้ 1 คน ทหารสวรรค์ 20 คนเช่นกัน แต่คนที่ไปสมัครนั้นน้อยกว่าของตำหนักเวิ่นเทียนนัก
…………………………………..