ชุดแต่งงานของบ่าวสาวตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน แต่สิ่งที่สะกดสายตาของพวกเขามากอีกสิ่งหนึ่งคือชุดเจ้าภาพของจักรพรรดินีนภาพฤกษา สายตาของผู้บำเพ็ญหญิงจำนวนมากต่างจดจ้องจักรพรรดินีนภาพฤกษา ทำให้เจ้าตัวพอใจอย่างยิ่ง จนพาลโปรดปรานหลิวหลีมากขึ้นเป็นทวี เมื่อผู้คนล่วงรู้ถึงที่มาของชุดก็จ้องหลิวหลีที่กำลังนั่งกินข้าวกับสามีของนางด้วยแววตาเหลือเชื่อ เจ้าตำหนักผู้นี้ช่างคมในฝักอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือขนาดนี้ หงซวี่ถึงกับเอ่ยปากขอหลิวหลีทำชุดในงานมงคลของตนกับเหลยจ้าน ส่วนจักรพรรดินภาเพลิงก็บอกว่าตนอยากได้ชุดเจ้าภาพแบบจักรพรรดินีนภาพฤกษาเช่นกัน หลิวหลีออกตัวว่านางจะทำเพียงแค่ครั้งนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้คนอื่นๆไม่กล้าวอแวกับนาง ตัวนางมีความสามารถเพียงน้อยนิด จะไปเพียงพอสำหรับกลุ่มหมาป่ามีเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนนี่ได้อย่างไร
“หลิวหลี คมในฝักจริงๆ ข้าเองก็ชอบชุดแต่งงานของมู่มู่มากเหมือนกัน” หว่านฉิงพูดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความริษยา งดงามเหลือเกิน
“กระทั่งคนที่จะบำเพ็ญคู่ด้วยก็ยังไม่มี แต่ยังจะคิดเรื่องชุดแต่งงานอีก เร็วเกินไปกระมัง” หลิวหลีปรายตามองหว่านฉิง วี่แววอะไรก็ไม่มี คิดเพ้อเจ้ออะไรกัน
“หลิวหลี” หว่านฉิงพูดเสียงสั่นเล็กน้อย แกะรอยแผลเป็นนี้มันเจ็บมากจริงๆ
“คำสัญญาสุดท้ายของข้าให้หงซวี่ไปแล้ว ถ้ามีปัญหาก็ไปแลกกับหงซวี่เอา” หลิวหลีชี้ไปทางหงซวี่ที่ทำหน้าพึงพอใจอยู่ด้านข้าง
“หลิวหลี เจ้าตั้งใจใช่ไหม” หว่านฉิงพูด
“ใช่น่ะสิ โดนจับได้เสียแล้ว” หลิวหลีแสร้งอุทานด้วยความตกใจ
หว่านฉิงหงุดหงิด แล้วกลับไปที่นั่งของตนแล้วดื่มสุราคนเดียวอย่างหดหู่
“ซุกซนเสียจริง” หนานกงเวิ่นเทียนแตะจมูกของหลิวหลี
“ข้าก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ข้าไม่ได้สนิทกับพวกนาง ทำไมข้าต้องออกแบบชุดแต่งงานแทนพวกนางด้วยล่ะ มู่มู่เป็นฮูหยินของน้องชายข้า จักรพรรดินีนภาพฤกษาก็เป็นแม่ยายของน้องชายข้า แต่คนอื่นที่เหลือเกี่ยวอะไรกับข้า ถ้าใครมาขอร้องแล้วข้าต้องช่วยพวกเขา ข้าคงเหนื่อยตายแน่” หลิวหลียื่นปาก เพราะคิดว่าสิ่งที่ตนเองพูดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
“ข้าเถียงน้องหญิงไม่ได้หรอก เพียงแต่อาเลี่ยคงจะกลุ้มใจน่าดู” หนานกงเวิ่นเทียนพูดความในใจ
“ข้าก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน อาเลี่ยกลัวว่าข้าจะทำลายงานแต่งงานของเขา จึงไม่ยอมให้ข้าแตะต้องอะไรเลย ทั้งที่เขาก็เคยไปร่วมงานมงคลของเราที่โลกเบื้องล่างแล้ว หรือตอนนั้นพวกเราไม่สวย ดูไม่ดีหรือนี่” หลิวหลีบอกราวเสียใจภายหลังไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อเห็นนางเป็นอสุรกาย นางจะทำอย่างไรได้
“เหอะๆ คงจะตกใจกลัวเจ้าไปหน่อย จนลืมไปว่าเจ้ามีฝีมือขนาดนี้” ตอนนั้นที่พ่อตาแม่ยายของเขาแต่งงานกันคงได้หลิวหลีออกแบบ สวยงามกว่านี่เสียอีก
เอ๋าเลี่ยค่อนข้างกลุ้มใจทีเดียว เขาจำได้เพียงความโหดร้ายของหลิวหลีจนลืมไปว่านางก็มีฝีมือในด้านนี้ พวกเขาขาดทุนแล้ว แต่เสียใจไปก็ไร้ประโยชน์ จะให้แต่งงานใหม่อีกครั้งก็คงไม่ได้
อิงเสวี่ยก็มองมู่มู่อย่างอิจฉา ตนเองก็เช่นกัน ที่มักจะจดจำแต่พลังในการต่อสู้ที่ห้าวหาญของหลิวหลี จนหลงลืมไปว่านางทุ่มเทความรักให้คนสนิทอย่างเต็มที่ แล้วจะสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา
งานแต่งงานของทั้งสองประสบความสำเร็จอย่างมาก หลังจากที่มู่มู่บอกลาจักรพรรดินีนภาพฤกษาและเตรียมตัวจะออกเดินทางไปดินแดนอสูรเทพ พวกหลิวหลีออกเดินทางไปก่อนแล้ว บอกว่ามีเซอร์ไพรส์จะให้บ่าวสาวคู่นี้
ณ ดินแดนอสูรเทพ ทุกคนที่พอจะทำอะไรได้ถูกหลิวหลีเรียกมาจนหมด หากนางยังเป็นเทพเซียนนภานพเก้าก็คงไม่สามารถทำได้ แต่ตอนนี้หลิวหลีเป็นราชาเทพเซียน มีสถานะเทียบเท่ากับบรรพชนของพวกเขา จะปฏิบัติต่อนางเหมือนเดิมไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดเลยคือ พลังอำนาจของอสูรเทพบรรพกาลนั้นแข็งแกร่งมากขึ้นตามพลังของนาง ทุกคนจึงเชื่อฟังคำสั่งของหลิวหลี ยุ่งกันจนตัวเป็นเกลียว
“หลิวหลี เจ้าทำเรื่องยิบย่อยมากเกินไปไหม” เอ๋าเฟิงแขวะ การแต่งงานของอสูรเทพมีอะไรเยอะแยะขนาดนี้ที่ไหน สายตาเต็มไปด้วยความอิจฉา ยังจะทำแบบนี้
“ได้อย่างไรกัน นี่เป็นงานมงคลของน้องชายข้า ข้าย่อมต้องทำให้ดีอยู่แล้ว ของพวกนี้เมื่อครู่อยู่ตรงไหน อยู่ไหนแล้ว” หลิวหลีบพบว่ายังห่างไกลจากความต้องการของนางนัก
“เจ้าอยากจะทำอะไรอีก?” เอ๋าเฟิงมองดอกไม้ อาหารและสุรามากมาย ที่สำคัญคือวันนี้เขาเพิ่งได้รู้ว่าสุราสามารถแบ่งออกมาได้หลายชนิดขนาดนี้ สุราหวาน สุราผลไม้ สาเก ไวน์แดง และยังมีแบบที่เป็นรสชาติผลไม้อีกหลายแบบ ที่น่าสงสัยกว่านั้นก็คือนมเปรี้ยวที่มีรสชาติเปรี้ยวๆหวานๆพวกนั้น อร่อยดีทีเดียว แล้วยังมีผลิตภัณฑ์จากนมอีกหลายชนิด อาหารประเภทเนื้อสัตว์ก็มีมากมายเช่นกัน ที่ทำให้เขาน้ำลายไหลคือ ที่แท้อาหารทะเลก็มีวิธีกินมากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะปลาต้มพริกนั้น เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองกลืนน้ำลายไปกี่ครั้งแล้ว
“อื้ม ใกล้เสร็จแล้ว ให้พวกวิหคเตรียมดอกไม้ไว้ พอจื่อฉีกับมู่มู่ลงมาแตะพื้น จะมีสายฝนดอกไม้โรยลงมาต้อนรับจนถึงตรงนี้ ต้องเตรียมดอกไม้ไว้ให้มากพอ” หลิวหลีสั่ง
“หลิวหลี มันไม่ฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อยหรือ” ดูเอาเถอะ ยังจะเตรียมสายฝนดอกไม้อีก มีประโยชน์อะไร
“ไม่หรอก ที่ข้าเลือกมาเป็นดอกไม้ธรรมดาทั้งนั้น แล้วต่อให้ฟุ่มเฟือย พวกมันก็กลับมาเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ได้” หลิวหลีพร่ำเอ่ย เหมือนจะเป็นประมาณนั้นนะ เอ๋าเฟิงถึงกับนิ่งไป คำพูดดูเหมือนจะมีเหตุผลทีเดียว แม้ว่าเขาจะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม
“เอาเถอะ แต่ว่าผ้าพวกนี้จะสิ้นเปลืองเกินไปไหม ในโลกเซียนมีของสิ่งนี้อยู่ไม่มากด้วย” เอ๋าเฟิงมองผ้าที่โบกสะบัดไปทั่วอย่างเจ็บปวดใจ
“ไม่หรอก หลังจากจบงานแต่งงานก็เก็บไว้ใช้ต่อได้ ข้าไม่ได้ทำมันเสียหายเสียหน่อย” หลิวหลีออกตัวว่านางใช้ของอย่างดีไม่เสียหายเหมือนตอนที่เก็บไว้
“แล้วไข่มุกพวกนั้นล่ะ” นางเงือกตั้งกี่คนร้องไห้เพื่อสร้างมัน เจ้าโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าหลิวหลีไม่ค่อยชอบนางเงือก ผ้าพวกนั้นนางเงือกเป็นคนทำ ไข่มุกก็มาจากน้ำตาพวกนาง นางเงือกไม่น้อยตาปูดตาบวมเพราะร้องไห้ไม่ออก จนต้องมอบของสะสมที่พวกนางเก็บเอาไว้ พาลให้รู้สึกเห็นใจพวกนางอย่างประหลาด ทำไมถึงต้องมาเจอคนประหลาดเช่นนี้
“ของอย่างไข่มุกน่ะ สามารถนำไปใช้ภายหลังได้ ใช้ทำเครื่องประดับ แถมยังเอามาบดให้เป็นผง ก็มีประโยชน์เหมือนกัน” หลิวหลีบอกว่าไข่มุกจะไม่สิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ นางย่อมไม่พูดอยู่แล้วว่า นางทำไปเพื่อหาเหตุผลว่าทำไมนางเงือกถึงได้ร้องไห้ออกมาเป็นไข่มุก ถึงได้ให้พวกนางร้องไห้เป็นเวลนานขนาดนั้น
“ถ้าอย่างนั้นคำถามสุดท้ายแล้วนะหลิวหลี เจ้าทำของกินพวกนี้ต่างกับเนื้อย่างดื่มสุรากันตรงไหน”
“ต่างสิ อย่างน้อยงานเลี้ยงที่ข้าจัดนี้ก็ละเอียดอ่อน ส่วนของพวกเจ้าน่ะออกจะหยาบเกินไป” หลิวหลีชี้ให้เห็นว่างานเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์ของตนเองจะน่าสนใจกว่า อย่างแรกคือมีความสุขทางสายตา ต่อมาคือกลิ่นอาหารจะเรียกน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร น่าสนใจมากทีเดียว เดี๋ยวก่อนสิ ยังขาดอะไรไปอีก ดนตรีนี่เอง
“บรรพชนเอ๋าเฟิง พอจะมีนกที่ร้องเพลงเพราะๆบ้างไหม ยังขาดเสียงดนตรีอยู่” หากไม่มีดนตรีก็จะไม่สมบูรณ์แบบ
เอ๋าเฟิงมองท้องฟ้าแล้วพูดไม่ออก จวนจะถึงเวลาแล้วแต่นังหนูยังจะพูดเรื่องดนตรีอีก นกที่ร้องเพลงเพราะน่ะ เอาเถอะ เขาไม่พูดดีกว่าว่าเสียงร้องเพลงของนางเงือกเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วนางเงือกดวงซวยพวกนั้นจะไม่ใช่แค่ตาบวม คอก็คงจะไม่มีเสียงด้วย เขาไปหานกจะดีกว่า ให้นางเงือกกลุ่มนี้มีเสียงที่ไพเราะต่อไป ไม่ได้ เขาไปบอกให้นางเงือกกลุ่มนี้ทำเป็นใบ้ไว้ดีกว่า ไม่งั้นก็คงไม่ต้องใช้คอกันอีกแล้ว
“ได้ ดนตรี อาหาร ฉาก ครบแล้วใช่ไหม” หลิวหลีคิดอย่างละเอียด ไม่น่าจะขาดอะไรแล้วนะ
เห็นภาพหลิวหลีจัดงานแต่งงาน เอ๋าเลี่ยยิ่งคิดว่าทำไมตอนนั้นตนเองถึงได้ตกใจกลัวในความโหดร้ายของหลิวหลีกันนะ ดูสิ ถึงจะคิดได้ในภายหลังก็มีหลายเรื่องให้ขบคิดเหมือนกัน
“อาเลี่ย อิจฉาหรือ?” หลิวหลีมองเอ๋าเลี่ยที่ยืนเหม่อมองสถานที่จัดงาน ก็คล้องแขนเขา
“ใช่ ข้าอิจฉา” เอ๋าเลี่ยพูดตรงๆ เขาเสียใจทีหลังจริงๆ
“เอาเถอะ อย่าถือทิฐิเลย นี่ข้าให้ เอาไว้ใส่กับอิงเสวี่ย” หลิวหลีให้ของบางอย่างกับเอ๋าเลี่ยแล้วไปทำงานต่อ เอ๋าเลี่ยมองของในมือ เป็นชุดแต่งงานที่เตรียมไว้ให้พวกเขา นังหนูเอ้ย… เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาน้อยๆ
“น้องหญิง เจ้าปากไม่ตรงกับใจจริงๆ” หนานกงเวิ่นเทียนย่อมเห็นทุกการกระทำของหลิวหลี
“เปล่าสักหน่อย ข้าแค่คืนสิ่งที่ติดค้างพวกเขาไปเท่านั้นเอง” หลิวหลีปฏิเสธ เฮ้อ ถ้าตอนนั้นนางดึงดันอีกสักนิดก็คงจะดี
…………………