หลิวหลีรู้สึกได้ว่าอิงเสวี่ยไม่จำเป็นต้องให้ตนอยู่เป็นเพื่อนอีก จึงตัดสินใจจากไป นางมีเรื่องที่มากมายต้องทำเหมือนกัน หนานกงเวิ่นเทียนกลับวังนภาธาราไปก่อนแล้ว แค่ตอนออกเดินทางนั้นบรรยากาศค่อนข้างอึดอัด อย่างไรเสียเรื่องอิงเสวี่ยตั้งครรภ์ก็ไม่ได้สะเทือนใจแค่หลิวหลี แต่ยังมีหนานกงเวิ่นเทียนอดคิดหนักไม่ได้ว่าปัญหาอยู่ที่ตนหรือไม่ เพราะอย่างไรหลิวหลีก็แข็งแรงออกจะแย่ ฮูหยินของเขาคงจะไม่มีปัญหาแน่
เมื่อหนานกงเวิ่นเทียนกลับไปถึง จักรพรรดินีดีใจจนแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุด คาดว่าคงจะรู้ว่าเขาและฮูหยินไม่สนใจในลาภยศเช่นกัน
ณ วังนภาเพลิง งานทั้งหมดถูกจัดการเป็นขั้นเป็นตอน โดยเฉพาะตำหนักเวิ่นเทียนที่เป็นเป้าสนใจ ตอนแรกที่ทุกคนไปคัดเลือกทหารสวรรค์ล้วนแต่ชะงักไป คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เจอผู้อาวุโสหลิวหลี แต่เมื่อนึกถึงขุนนางเซียนทั้ง 4 คนที่มีสิทธิ์ในการเลือกทหารสวรรค์ ก็ทำเอาตำหนักอื่นๆริษยาตำหนักเวิ่นเทียนอยู่ลึกๆ พวกเขาต้องเชื่อฟังการตัดสินใจของนายท่านตนเองเท่านั้นไม่ได้มีอำนาจเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสหลิวหลีจะให้อำนาจพวกเขา อีกทั้งผลลัพธ์ที่ได้กลับมานั้นก็โดดเด่นอย่างมาก ตำหนักเวิ่นเทียนไม่เคยเกิดเรื่องวุ่นวายอะไร ต่อให้เป็นสวี่เซินที่เข้ามาทีหลังก็เข้ากันได้ดีกับขุนนางเซียนทั้งสามที่อยู่มาก่อนได้เป็นอย่างดี ทหารสวรรค์ที่เข้ามาใหม่เข้ากับตำหนักเวิ่นเทียนได้ดีมากกว่า ค่าตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจนั้นเล็กจ้อยจนทำให้พวกเขามองไม่เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ผลตอบแทนที่แท้จริงนี้ทำให้พวกเขาประหลาดใจอย่างมาก ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่พวกเขารู้มาตลอดและยังมีวิธีฝึกบำเพ็ญที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน พวกเขาพบว่าพวกเขายังมีความสามารถที่ซุกซ่อนอยู่ สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจที่สุดนั่นคือ ขุนนางเซียนจะฝึกฝนกับพวกเขา และยังชี้จุดอ่อนของพวกเขาด้วย
“ถึงจะเสียดายที่ยังไม่เคยพบผู้อาวุโสหลิวหลี แต่ก็เป็นเกียรติมากที่ได้เข้ามาอยู่ในตำหนักเวิ่นเทียน”
“จริงสิ บรรยากาศในตำหนักเวิ่นเทียนสงบสุขอย่างมาก ตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ในตำหนักเวิ่นเทียน ข้ารู้สึกสงบลงไม่น้อย พลังบำเพ็ญเพียรก็เพิ่มมากขึ้นด้วย”
“ใช่ ขุนนางเซียนทั้ง 4 เองก็ดีมาก ถึงแม้จะมีอำนาจมากแต่ก็ไม่ใช้มั่วซั่ว ผู้อาวุโสหลิวหลีจะอยู่หรือไม่ก็เหมือนกัน ความสามารถแข็งแกร่งอย่างมาก ต่อให้ออกจากตำหนักเวิ่นเทียนไปจัดการงานตำหนักอื่นก็ยังเหลือเฟือ แถมขุนนางเซียนทั้งหมด แม้จะมีเรื่องกระจุกกระจิกมากมายแต่กลับไม่ละเลยการฝึกฝนบำเพ็ญเพียร”
“ขุนนางเซียนในตำหนักเวิ่นเทียนมีวินัยต่อตนเองมาก จึงทำให้ทหารสวรรค์พลอยทำตามไปด้วย บรรยากาศก็เป็นระเบียบเรียบร้อยทำให้ค่อนข้างสบายใจ พวกข้าเองก็โชคดี เพราะคำสั่งสามข้อนั้นของผู้อาวุโสหลิวหลี ข้าถึงโชคดีได้เข้าร่วมในตำหนักเวิ่นเทียน”
“นั่นสิ พวกข้าโชคดีจริงๆ”
“พวกเราคิดไม่คิดเช่นนั้น ผู้อาวุโสหลิวหลีเคยพูดไว้ว่า โชคชะตาก็ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง ในเมื่อพวกเราโชคดีได้เข้าร่วมตำหนักเวิ่นเทียน แสดงว่าพวกเรามีความสามารถในเรื่องโชคชะตา”
“ที่สหายเซียนท่านนี้พูดก็มีเหตุผล ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเราไม่ด้อยไปกว่าตำหนักรัชทายาท ทรัพยากรของพวกเราก็ไม่น้อยหน้าตำหนักรัชทายาท อาจถึงขนาดเหนือกว่าตำหนักรัชทายาทด้วยซ้ำ ต้องหมั่นเพียรเพื่อตอบแทนนายท่านถึงจะถูกต้อง”
เมื่อหลิวหลีได้ยินประโยคนี้แล้วก็กลับไปยังห้องของตนเองโดยไม่ได้รบกวนใคร อืม พวกเขาสี่คนจัดการเรื่องราวต่างๆได้ดีทีเดียว จักรพรรดิหลายคนก็โปรดบรรยากาศของตำหนักเวิ่นเทียน นางจึงไม่ต้องกังวลใจอะไร มีขุนนางเซียนทั้ง 4 คนถือเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว
หลิวหลีปิดบังเรื่องที่นางกลับมากับทุกคน แต่ไม่ได้ปิดบังองค์จักรพรรดิ เมื่อนึกถึงคำพูดของอีกฝ่าย นางก็ไม่ได้สนใจอะไร โลกมารยังมีหน้าไปหาจักรพรรดินภาเพลิงอีก ตนเองไม่มีปัญญา แล้วยังมีหน้าบอกว่าเป็นสิ่งของในโลกมาร แล้วมันจะอย่างไร อย่างไรเสียสามีของนางก็ใช้ไปหมดแล้ว
หลิวหลีไม่ทันสังเกตว่าตอนที่นางเดินไปนั้น สายตาที่จักรพรรดิมองนางนั้นแปลกประหลาดอย่างมาก
จักรพรรดินภาเพลิงยืนมองเงาที่จากไปของหลิวหลีนิ่งเงียบอยู่นานกว่าจะได้สติ บรรดาจักรพรรดิอย่างพวกเขาถกเถียงกันไปมา สุดท้ายก็ไปคาดเดากับเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา สุดท้ายผลของการทำนายนั้นคือ หายนะบังเกิดฝั่งสุวรรณ เพลิงเซียนทั้งสิบ ในหยางมีหยิน ในหยินมีหยาง สิ่งมงคลช่วยแก้ไข มังกรหงส์ปรองดอง
นี่คือคำทำนายที่พวกเขาค้นพบ เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาบอกว่า ถึงเคราะห์กรรมครั้งนี้จะใหญ่หลวง และส่งผลในวงกว้าง แต่สุดท้ายแล้วคู่มงคลจะช่วยคลี่คลาย มังกรหงส์ปรองดอง หมายถึงอสูรเทพเผ่ามังกรและหงส์หรือ ตอนนี้สิ่งเดียวที่พอจะเรียกเป็นมังกรหงส์ปรองดองได้ก็น่าจะเป็นเอ๋าเลี่ยและเฟิ่งอิงเสวี่ย เพียงแต่หยินหยางที่ว่าคืออะไรนั้น พวกเขาก็ไม่ค่อยจะแน่ใจนัก สีหน้าของจักรพรรดินภาสุวรรณดูแย่ที่สุด เป็นเพราะสถานที่ที่จะเกิดเรื่องนั้นอยู่ในทวีปฟากสุวรรณ ในดินแดนนภาสุวรรณของเขา การทำนายครั้งนี้มีแค่จักรพรรดิฝั่งต่างๆและเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาที่รู้ เพียงแต่เมื่อจักรพรรดินภาเพลิงนึกถึงคำพูดของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาที่บอกว่า : นภาเพลิง ว่างๆให้หลิวหลีจากดินแดนของเจ้ามาเที่ยวหาข้าบ้าง
ทพหยั่งรู้ดวงชะตาเป็นใครกัน หากไม่มีเรื่องสำคัญก็จะไม่ยอมพบคนนอกแต่กลับให้หลิวหลีเด็กที่ยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงหมื่นปีไปเที่ยวหา นี่ถือเป็นเกียรติอย่างมากทีเดียว เพียงแต่ทำไมต้องเป็นนังหนูด้วย
หลังจากที่จักรพรรดิของแต่ละดินแดนแยกย้ายกันกลับไปแล้วก็ต่างลอบลงมือทำนั่นนี่กันอย่างลับๆ โดยเฉพาะจักรพรรดินภาสุวรรณที่ลงมือลับๆและระมัดระวังมากขึ้น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องจะเกิดที่ทวีปฝั่งสุวรรณ ถึงดินแดนนภาสุวรรณจะชื่นชอบสงคราม แต่ก็ไม่นับเป็นเหตุผล
หลิวหลีกลับไปนั่งเฉยอยู่นาน ชิงหลิ่วที่กลับไปหาของพบเข้าจึงตะโกนเรียก
“ชิงหลิ่ว เป็นอะไรไป ผู้ ผู้อาวุโส” จื่อจู๋และสวี่เซินมาถึงก่อน มองชิงหลิ่วแล้วก็มองหลิวหลี นายท่านของพวกเขานับวันยิ่งหายตัวแวบไปมาได้เก่งขึ้นทุกที หากเป็นพวกเขาก็คงจะตกใจเช่นนี้เหมือนกัน
“นายท่าน ท่านทำแบบนี้คนจะตกใจเอานะ” สวี่เซินตบหน้าอกเบาๆพลางพูด นานแล้วที่หัวใจของเขาไม่ได้เต้นเร็วขนาดนี้ รู้สึกว่าเต้นเร็วจนจะหลุดออดมา
“ไม่มีอะไร ข้าเพิ่งกลับมาแล้วคิดเรื่องอะไรเพลินไปหน่อย” หลิวหลีโบกมือจนในที่สุดชิงหลิ่วก็ได้สติ ถึงได้รู้ว่าตนเองทำเรื่องโง่เง่าขนาดไหนลงไป แต่นายท่าน ท่านทำให้คนอื่นตกใจแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ
“นายท่าน อยู่ๆท่านกลับมาแบบนี้มันน่าตกใจจริงๆ” จื่อจู๋กล่าว เขาเพิ่งสั่งให้ทหารสวรรค์ไม่ต้องทำอะไร เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น
“คิดบางเรื่อง รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบางอย่าง แต่ไม่รู้แน่ชัดนักว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่ามันจะเป็นอะไรได้บ้าง แต่ก็คิดไม่ออก” หลิวหลีส่ายหน้า ความคิดของตนสับสนไปหมดแล้วเหมือนกัน
“นายท่าน ท่านคิดว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นหรือ” นายท่านของพวกเขามีสัญชาตญาณแปลกๆ แถมยังแม่นมากอีกด้วย ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ครั้งนี้นางบอกว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องอะไร
“ข้าคำนวณก่อนนะ อืม ชิงหลิ่วจะแต่งงานแล้ว” หลิวหลีกล่าวแล้วจู่ๆตาก็เบิกกว้าง พูดจนชิงหลิ่วหน้าแดง เขินอายอย่างมาก
“เช่นนั้นนายท่านลองทายดูสิว่าชิงหลิ่วจะแต่งกับใคร” สวี่เซินตั้งใจไหลไปตามหัวข้อสนทนาของหลิวหลี
“เรื่องนี้น่ะ ยังต้องเดาอีกหรือ ย่อมต้องเป็นอวิ๋นเฟยอยู่แล้ว” หลิวหลีคร้านจะเดา ในขุนนางเซียนทั้ง 4 คน อวิ๋นเฟยสนิทกับชิงหลิ่วที่สุด ความรู้สึกตรงกัน นานวันเข้าเกิดรู้สึกดีๆต่อกัน ชายโสดหญิงโสด จะตกหลุมรักกันก็เป็นเรื่องธรรมดา หนำซ้ำยังคุยเรื่องเดียวกันอีก
“เอ่อ นายท่าน เป็นจื่อจู๋ไม่ได้หรือ?” สวี่เซินพูดไม่ออก สัญชาตญาณของนางแม่นยำมากจริงๆ
“นั่นสิ นายท่าน ทำไมถึงเป็นข้าไม่ได้?” จื่อจู๋เองก็เหนื่อยหน่าย ทำไมเขาถึงไม่เหมาะกับจื่อจู๋ ทั้งๆที่พวกเขาสองคนก็เข้าตำหนักเวิ่นเทียนมาด้วยกัน แถมยังมาจากที่เดียวกัน น่าจะมีเรื่องคุยกันได้มากกว่าถึงจะถูก
“อืม จื่อจู๋ เจ้าไม่เห็นชิงหลิ่วอยู่ในสายตา หากเป็นเจ้าจริง เจ้าก็ไม่ควรใจเย็นเช่นนี้ ที่สำคัญก็คือ ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าสองคนเข้าตำหนักเวิ่นเทียนมาด้วยกัน เดาว่าคงจดจำทุกตำหนิบนร่างกายของอีกฝ่ายได้หมดแล้ว นานขนาดนี้แล้วยังไม่เกิดความรู้สึกใดๆต่อกัน ข้าจากไปแค่ไม่กี่ร้อยปี พวกเจ้าจะไปชอบกันได้อย่างไร หากชอบพอกันขึ้นมาจริงๆก็คงจะเกิดขึ้นนานแล้ว” คำพูดเปิดเผยตรงไปตรงมาของหลิวหลี ทำให้ใบหน้าชิงหลิ่วแดงก่ำ ส่วนชายหนุ่มทั้งสองก็พูดไม่ออกเช่นกัน
“นายท่าน ท่านก็พูดเป็นเล่นไป” สวี่เซินคิดแล้วจึงเลือกใช้คำอ้อมๆ
“ช่างเถอะ ข้าทายถูกใช่ไหมล่ะ ดูท่าข้าจะกลับมาถูกเวลา ตำหนักเวิ่นเทียนของข้าควรมีงานมงคลให้คึกคักกันเสียหน่อย” หลิวหลีคิดว่าปัญหาที่นางมองข้ามไปนั้นค่อยๆ จัดการแก้ไขก็ได้ ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ทะนุถนอมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าถึงจะถูก