แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 292 กลายเป็นเงื่อนไขของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา

“จักรพรรดิเซียนเพิ่งเคยเจอพวกเขาสองคนเป็นครั้งแรกแท้ๆ เหตุใดถึงดีกับพวกเขาเช่นนี้” เด็กๆที่ช่วยเล่อถงแต่งตัวไม่ค่อยเข้าใจนัก

“ฮ่าๆ เรื่องนี้น่ะหรือ ก็ข้าถูกชะตากับพวกเขา” เล่อถงพูดพลางยิ้ม พวกเขาสองคน คนหนึ่งฝึกบำเพ็ญร่างกาย ส่วนอีกคนไปพิชิตเพลิงเซียน แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนทีเดียว เมื่อครู่ตอนปลีกตัวออกมา ก่อนนี้เล่อถงก็กำชับเอาไว้ต้องรอให้แขกเดินทางไปแล้ว พวกเขาถึงจะออกมาได้

“จักรพรรดิเซียนไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้เห็นมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าจะแปลงร่างเป็นเด็กต่อหน้าพวกเขา” บริวารเด็กยังคงไม่พอใจนัก จักรพรรดิเซียนของพวกเขาไม่เคยแสดงความอ่อนแอต่อหน้าพวกเขามาก่อน แต่กลับแสดงให้คนนอกเห็น หรือว่าพวกเขาที่รู้จักกับอีกฝ่ายมานานไม่สำคัญเท่าสามีภรรยาที่เพิ่งพบหน้ากัน?

“จื่อถง เจ้าไม่เข้าใจ และข้าก็จะไม่พูดเรื่องนี้กับพวกเจ้าด้วย พวกเจ้าแค่ต้องจำไว้ว่าต้องปฏิบัติต่อพวกเขาสองคนด้วยความเคารพก็พอ” ตอนนี้เล่อถงได้แปลงร่างอีกครั้ง เป็นร่างชายแก่ผมขาวเหมือนที่หลิวหลีคาดเอาไว้ น้ำเสียงไม่ได้ทุ่มนุ่ม แต่แหบพร่า หากจะบอกว่าร่างเด็กคือการแสดงให้เห็นความอ่อนแอ ตอนนี้เขาในร่างนี้ก็แก่จริงๆแล้ว

“เจ้าค่ะ จื่อถงเข้าใจแล้ว” ถึงแม้พวกเขาจะเป็นลูกศิษย์ของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา แต่ก็ไม่แตกต่างอะไรจากเด็กทั่วไป จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่ได้เรียนรู้วิชาการทำนายของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา จักรพรรดิเซียนมักบอกว่ายังไม่ได้โอกาส พวกเขาไม่เข้าใจ เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องรอโอกาส? พวกเขาหลายคนโอดครวญกันมานานแล้ว เพียงแต่เขาแค่บ่นพึมพำในใจ พวกเขาย่อมไม่กล้าบ่นต่อหน้าเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนสามารถมองพวกเขาออกทะลุพวกเขา พวกเขาจึงไม่กล้าโอหัง

“ออกไปเถอะ” เล่อถงพูดพลางโบกมือ

“เจ้าค่ะ” จื่อถงถอยออกไป ก่อนจะจากไปนั้นไม่ค่อยเข้าใจนัก วันนี้จักรพรรดิเซียนแปลกไปอย่างมาก

“เซียนหยั่งรู้เอย เซียนหยั่งรู้ ถึงเวลาของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาคนใหม่แล้ว” เล่อถงดื่มชาพร้อมกับพึมพำกับตนเอง

หลิวหลีตามเด็กน้อยคนหนึ่งมาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นสถานที่เก็บเพลิงเซียนธาตุดิน เพียงแต่ว่าพวกเขาเพิ่งเคยพบกันครั้งแรก แล้วการกลอกตาเหยียดหยามนี่คืออะไรกัน เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาเจ้าเล่ห์เสียจริง รู้ว่านางทำอะไรเด็กไม่ลง ดังนั้นข้ารับใช้จึงอยู่ในร่างเด็กน้อยกันหมด

“ถึงแล้ว เชิญท่าน มู่ลี่ขอตัว”

“หัวแข็งเหลือเกิน” หลิวหลีคิดอยู่นานกว่าจะนึกคำว่าหัวแข็งออก ปฏิบัติกับแขกเย็นชาเช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่านางจะไปฟ้องเล่อถง ช่างเถอะ นางดูดซับเพลิงเซียนนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ส่วนฟากหนานกงเวิ่นเทียนยิ่งทำให้พูดไม่ออก เจ้าเย็นชาใส่ ข้าจะเย็นชากว่าคืน

“ถึงแล้ว ขอตัว”

หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว บริวารเด็กคนนี้หยิ่งยโสจริงๆ ช่างเถอะ ไม่อยากหาเรื่องให้เซียนหยั่งรู้ดวงชะตา

หลิวหลีเดินเข้าไปในถ้ำ เมื่อเข้าไปแล้วก็รู้สึกได้ถึงความหนาและหนักปะทะเข้ามา ธาตุดินหนักอึ้ง บวกกับความร้อนของเพลิงเซียนแล้ว และเส้นลมปราณที่เพลิงดวงใจพสุธาอยู่นั้นก็เริ่มเต้นเร่ารวดเร็วมากขึ้น อืม มีประโยชน์จริงๆ

“จื่อถง เมื่อไหร่พวกเราจะได้ร่ำเรียนสิ่งใดบ้าง ไม่สิ พวกเราจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง?” มู่ลี่ถามจื่อถง ทั้งที่พวกเขามาเรียนรู้การทำนายดวงชะตาเพื่อกลายเป็นเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาคนต่อไป แต่ทว่ากลับไม่ได้เรียนรู้สิ่งใดเลย

“ข้าก็ไม่แน่ใจ เมื่อถึงเวลาที่จักรพรรดิเซียนคิดว่าใช่แล้วก็คงจะได้เรียนรู้เอง” จื่อถงส่ายหน้าและพูด

“ชิ คิดอยู่แล้วเชียวว่าเจ้าต้องพูดเช่นนี้ หลิวอิ๋ง เจ้าว่าอย่างไร” มู่ลี่ถามหลิวอิ๋งที่อยู่ด้านข้าง หัวเสียเพราะคำว่าบริวารเด็กน้อยเมื่อครู่

หลิวอิ๋งไม่ชายตามองมู่ลี่แม้แต่น้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ทันใดนั้นประตูใหญ่ก็เปิดออก และมีคนเดินเข้ามา

“หลานหลิงนี่เอง ข้าตกใจหมด” มู่ลี่เอามือลูบอกตนเอง

“ประกาศคำสั่งของจักรพรรดิเซียน หลิวอิ๋ง เจ้าสามารถไปจากที่นี่ได้” หลานหลิงเอ่ยคำพูดของจักรพรรดิเซียนซ้ำอีกครั้ง

สายตาของหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความประหลาดใจ จื่อถงกับมู่ลี่เองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน ทำไมถึงได้กระทันหันแบบนี้ คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรคือหลิวอิ๋งถูกคัดออกก่อนหรือ เพราะอะไร

“เพราะอะไร?” หลิวอิ๋งเอ่ยปากถามออกมาอย่างยากลำบาก เหตุใดคนที่โดนคัดออกคนแรกจึงเป็นนาง นางไม่ยอม

“จักรพรรดิเซียนกล่าวว่า เมื่อครู่เจ้ากับมู่ลี่เข้ารับการทดสอบครั้งแรก เจ้าไม่ผ่าน” หลานหลิงพูด

“สามีภรรยาคู่นั้นคือการทดสอบแรกหรือ” มู่ลี่ตัวแข็ง ความประพฤติของนางนั้นไม่อาจเรียกว่าดีงาม แต่หลิวอิ๋งพูดน้อยกว่านางชัดๆ เหตุใดหลิวอิ๋งถึงโดนไล่ออก

“หากเป็นเช่นนี้ ข้าไม่เรียนกับเซียนหยั่งรู้ดวงชะตานี่ก็ได้ ขอลา” หลิวอิ๋งครุ่นคิดแล้วเอ่ยถ้อยคำเย็นชา ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังมอง

“หลิวอิ๋ง” จื่อถงตะโกนเรียก แต่หลิวอิ๋งก็ไม่หยุด

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้” มู่ลี่เหม่อลอย

“เล่อถง ข้าติดตามท่านมาก่อนใคร ไม่คิดเลยว่าคนที่โดนขับออกไปคนแรกก็คือข้า บอกเหตุผลข้ามา ข้าไม่เชื่อสิ่งที่หลานหลิงบอก” หลิวอิ๋งเดินตรงมาหาเล่อถง น้ำเสียงไร้ซึ่งความเกรงใจ อย่างไรก็ไม่ได้เป็นนายบ่าวกันแล้ว ช่างมันปะไร

“ฮ่าๆ หลิวอิ๋ง เจ้านี่มันช่างจองหอง ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงได้อวดดีเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ได้โอหัง นี่จึงไม่เรียกจองหองแต่เรียกว่าอวดดี ข้าสามคนเห็นพวกเขาสองคนเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ คนที่เป็นแขกอันทรงเกียรติของข้านั้นล้วนมีจุดที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเป็นคนที่โชคดีมาก แต่พวกเขาสองคนโชคดีกว่ามากนัก หากพวกเจ้าทำตัวดีกันสักนิด เกรงว่าหากเจ้าพูดคุยกับพวกเขาเพียงเล็กน้อย ไม่แน่อาจจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาด้วย แต่พวกเจ้าไม่ได้ทำเช่นนั้น เอาแบบนี้แล้วกัน เจ้าไร้วาสนากับการหยั่งรู้แล้วล่ะ มู่ลี่เองก็ใกล้จะหมดสิทธิ์แล้วเช่นกัน” เล่อถงไม่ได้ใส่ใจ ดูเหมือนหลิวอิ๋งจะไม่ใช่คนสำคัญอีกต่อไป

“อย่างนี้นี่เอง” หลิวอิ๋งสติหลุดเล็กน้อย

“ข้าขอถามคำถามสุดท้าย ในบรรดาพวกเรา ใครจะได้เป็นเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา” หลิวอิ๋งดึงดันอยากรู้

“เรื่องนี้น่ะ ข้าไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไรนักหรอก คนที่มีสิทธิ์ตัดสินก็คือคนผู้นั้น” เล่อถงชี้ไปตรงตำแหน่งหนึ่ง นั่นคือถ้ำเพลิงเซียนที่หลิวหลีอยู่

“เหตุใดต้องให้คนนอกเลือกเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาคนใหม่ด้วย?” หลิวอิ๋งคิดว่าพวกนางโดนหลอกเสียแล้ว

“นั่นเป็นคนนอกก็จริง ตอนนั้นที่เลือกพวกเจ้า ข้ารู้เพียงแค่เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาคนต่อไปจะเป็นผู้หญิง ส่วนใครจะมารับช่วงต่อนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพวกเขาสองคนนั้นส่องแสงสว่างเรืองรองขึ้นเรื่อยๆ ข้าก็รู้ได้เลยว่า ผู้ตัดสินได้มาถึงแล้ว” เล่อถงกล่าว

“ส่วนเรื่องพวกเจ้าคนไหนจะเป็นผู้รับช่วงต่อ ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้แต่ว่าแสงแห่งเซียนหยั่งรู้บนตัวเจ้าไม่มีอีกต่อไป เพราะฉะนั้นหลิวอิ๋ง เจ้าไม่สามารถเป็นเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาได้” เล่อถงพูดต่อ

“เข้าใจแล้ว ข้าขอตัว” หลิวอิ๋งจากไปอย่างไร้เยื่อใย

“หลิวอิ๋ง เห็นแก่ที่เจ้าอยู่ที่นี่มาแต่เล็ก ข้าแนะนำเจ้าอย่างหนึ่ง อย่าเห็นแก่บุญคุณหรือผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยแล้วสร้างปัญหาขึ้น” เสียงของเล่อถงลอดออกมา หลิวอิ๋งชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเดินต่อ คิดว่านางเป็นคนโง่เง่าขนาดนั้นเลยหรือ

“เฮ้อ มิน่าคนที่โดนคัดออกคนแรกเป็นคนที่ข้าโปรดปรานมากที่สุด ซื่อบื้อจริงๆ หลิวอิ๋งในเมื่อเจ้าไม่เชื่อฟังข้าก็จะต้องเจอจุดจบที่แสนจะน่าอนาถ” เล่อถงมองเบื้องหลังของหลิวอิ๋งแล้วเอ่ยออกมา

“หลานหลิง เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้ เมื่อเป็นแบบนี้ หลิวอิ๋งไปเสียแล้ว นางไม่สามารถเป็นเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาได้ แล้วพวกเราล่ะ พวกเรา” มู่ลี่เสียสติ เพราะอะไรกัน ไม่สอนอะไรพวกนางสักอย่าง แต่กลับมาประกาศผล

“ข้าก็ไม่แน่ใจ มู่ลี่ ไม่ต้องไปคิดหรอก พวกเราจะเป็นเซียนหยั่งรู้ได้หรือไม่นั้น คาดว่าเริ่มต้นขึ้นแล้ว” หลานหลิงพูดพลางส่ายหน้า

“พวกเราต้องระวังเข้าไว้ จักรพรรดิเซียนพูดอะไร พวกเราต้องทำให้ดี” จื่อถงเอ่ย

นางรู้สึกราวคู่รักคู่นั้นเป็นกุญแจสำคัญในการถือกำเนิดอีกครั้งของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมคนที่อายุไม่ถึงหมื่นปีอย่างพวกเขาสองคนถึงได้มาตัดสินว่าพวกเขาใครจะได้เป็นผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวผู้นั้น

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

Status: Ongoing
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset