แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 298 โลกภายนอก

สิ่งที่จ๋ายจ่ายและเจี๋ยนเจี่ยนชอบมากที่สุดก็คือ การประลองวัดระดับความแข็งแรงของร่างกายกับหลิวหลีและหนานกงเวิ่นเทียน เพราะอสูรเทพนั้นชื่นชอบความแข็งแรงของกายเนื้อตั้งแต่กำเนิด แต่เมื่อมาเจอกับท่านน้าที่แสนประหลาดอย่างหลิวหลี ทำให้ตัดสินใจว่าต้องพัฒนาให้รอบด้าน แม้ว่าตามสัญชาตญาณ เด็กทั้งสองจะชอบความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่ก็ไม่คัดค้านหลิวหลี เพราะพวกเขาไม่เคยเจอใครนอกเหนือจากสามีภรรยาคู่นี้ ไม่สิ เคยเจอคู่จื่อฉี จื่อฉีรู้ว่าพี่สาวของเขาพาตัวเด็กๆเพื่อไม่ให้ใครเจอ ก็รู้ได้เลยว่าตาเฒ่ากลุ่มนี้ต้องทำอะไรที่ยั่วโมโหนางแน่ อีกทั้งเรื่องนี้ยังไปแตะฟางเส้นสุดท้ายเข้า ถึงจื่อฉีจะไม่ได้ถาม แต่ก็ทนกับคำร้องเรียนของเหล่าผู้อาวุโสไม่ไหว เมื่อเขาเจอเด็กๆเรียบร้อยแล้วจึงกลับไปบ้านแม่ยายกับฮูหยินของตนเอง ไร้สาระ เขาไม่อยากจะอยู่ตรงกลางระหว่างพี่สาวกับเหล่าบรรพชน ยิ่งไปกว่านั้นฝั่งบรรพชนต้องเป็นฝ่ายผิดแน่ แม้ว่าเขาจะไม่โต้แย้ง แต่ก็จะไม่ทำตัวเป็นคนโง่

“ท่านน้า ท่านพ่อท่านแม่ข้าหน้าตาเป็นอย่างไร” จ๋ายจ่ายถามด้วยความสงสัย เพราะพวกเขาไม่เคยเจอหน้าบิดามารดา ดังนั้นพวกเขาจึงอยากรู้เรื่องผู้ให้กำเนิดของตนเองอย่างมาก

“ท่านพ่อของเจ้าน่ะ ชื่อเอ๋าเลี่ย เป็นมังกรโลหิตแสนจะหายากของเผ่ามังกร มีความสามารถในการสู้รบมาก มีพละกำลังเป็นเลิศ เป็นเทพสงครามที่ผู้คนเคารพศรัทธา ส่วนท่านแม่ของเจ้า เป็นอัจฉริยะของเผ่าหงส์ และก็เป็นหงส์เหมันต์ที่มีน้อยนัก ส่วนพวกเจ้าสองคน จ๋ายจ่ายน่าจะได้รับพันธุกรรมจากท่านแม่เจ้า ส่วนเจี๋ยนเจี่ยนก็ได้รับพันธุกรรมจากอาเลี่ยมา ส่วนเรื่องชนิดที่แน่ชัดของพวกเจ้านั้น ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน พวกเจ้ารอให้พวกเขาออกจากฌานแล้ว ค่อยให้พวกเขาดูแล้วกัน” เรื่องนี้หลิวหลีแยกไม่ออกจริงๆ นางไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ และไม่สนใจแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรสุดท้ายเด็กทั้งสองก็จะบรรลุได้ แน่นอนว่านางไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับเด็กๆ และถึงจะบอกไป เด็กทั้งสองก็อาจจะไม่เข้าใจ

“พวกข้ายังไม่เคยเจอใครนอกจากท่านน้ากับน้าเขยเลย” เจี๋ยนเจี่ยนกล่วขณะมองหลิวหลีด้วยใบหน้าไร้เดียงสา

“จ๋ายจ่ายกับเจี๋ยนเจี่ยนอยากเจอคนอื่นหรือ?” หลิวหลีถาม ก็จริง จะกักเด็กทั้งสองไว้ตลอดคงไม่ดี แม้ว่านางจะไม่ยอมรับนิสัยของของคนกลุ่มนั้นก็ตาม

“อยากขอรับ” เด็กทั้งสองพยักหน้าอย่างใสซื่อ

“ได้ ข้าจะพาเจ้าออกไป ทว่าพวกเจ้ายังเด็กเกินไป แต่เรื่องพื้นฐานที่สุดอย่างเรื่องความดีกับความชั่ว ข้าก็สอนให้พวกเจ้าแยกแยะแล้ว ข้าทีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้าสองเรื่อง เรื่องแรก คนภายนอกกลุ่มนั้นถึงแม้จะไม่ใช่คนไม่ดี แต่ก็มีบางความคิดที่ข้าไม่เห็นด้วย มีบางเรื่องจำเป็นต้องให้พวกเจ้าได้เรียนรู้เอง ข้าคงจะไม่ออกหน้าให้ เรื่องที่สองว่ากันตามสายเลือดแล้ว พวกเขาทั้งหมดคือเครือญาติของพวกเจ้า ส่วนจะอยู่ร่วมกันอย่างไรนั้นพวกเจ้าจัดการกันเอาเอง แล้วถ้าอยากกลับก็กลับมา เพราะอย่างไรข้าก็ไม่ออกไปด้วย ข้าส่งข่าวให้ท่านอาจื่อฉีของพวกเจ้าแล้ว เขาจะเป็นคนพาพวกเจ้าออกไป” แม้ว่าหลิวหลีจะให้เด็กทั้งสองออกไป แต่นางก็ไม่คิดจะออกไปด้วย ถึงจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แต่การทำเช่นนี้นางก็ยังเสียใจ

“ท่านอาจื่อฉี เหตุใดท่านน้าหลิวหลีไม่ออกไปกับพวกข้าล่ะ” จ๋ายจ่ายพูดอย่างเศร้าใจ ปกติหากพวกเขาออดอ้อนเช่นนี้ ท่านน้าจะโอนอ่อนตามใจ แต่ครั้งนี้กลับปฏิเสธพวกเขาพร้อมเหตุผลที่ฟังขึ้น ทำให้เด็กทั้งสองรู้สึกไม่คุ้นเคย

“ท่านน้าหลิวหลีของพวกเจ้าน่ะ ยังมีเรื่องที่ติดค้างในใจ จึงตัดสินใจไม่ออกไป รอให้คิดได้แล้วค่อยออกไป” เฮ้อ ตอนนั้นบรรพชนทำร้ายจิตใจของหลิวหลีจริงๆ ใช่ หากเป็นพี่อาเลี่ยกับอิงเสวี่ยก็คงทำเช่นนี้เหมือนกัน

“หรือว่าข้างนอกนั่นไม่ดี ท่านน้าหลิวหลีเลยไม่ออกไป” เจี๋ยนเจี่ยนพูดต่อ

“ไม่หรอก มันแตกต่างจากที่นี่ของท่านน้าหลิวหลีมาก พวกเจ้าออกไปเห็นก็รู้เอง” จื่อฉีก็ไม่รู้จะอธิบายความแตกต่างให้เด็กสองคนนี้ฟังอย่างไร

“จื่อฉี เด็กที่เจ้าพามาคือ” ตั้งแต่ที่หลิวหลีไม่ยอมพบใคร เอ๋าเฟิงก็เศร้าซึมไป อสูรเทพที่เหลือรู้ว่าอิงเสวี่ยให้กำเนิดอสูรเทพมาสองตัว อีกทั้งยังถูกหลิวหลีพาตัวไปก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ซึ่งมากไปกว่านั้นคือความรู้สึกเศร้าสร้อย ส่งผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขามาก ทันทีที่เห็นเด็กทั้งสองคน ทั้งยังเป็นเด็กที่ให้ความรู้สึกเหมือนหลิวหลีอยู่บางส่วน จึงเดาออกว่าคงเป็นลูกของเอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ย

“บรรพชน จ๋ายจ่าย เจี๋ยนเจี่ยน นี่คือ อืม เรียกว่าบรรพชน เป็นบรรพชนของพวกเจ้า” จื่อฉีคิดๆแล้วแนะนำ

“บรรพชน” เด็กทั้งสองเรียกตามอย่างเชื่อฟัง

“จ๋ายจ่าย เจี๋ยนเจี่ยน คือชื่อเด็กทั้งสองคนนี้หรือ” ชื่อนี้ใครเป็นคนตั้ง ตั้งได้เรื่อยเปื่อยจริงๆ

“ใช่ ท่านพี่เป็นคนตั้ง เป็นชื่อเล่น ส่วนชื่อของพวกเขานั้นรอให้พี่อาเลี่ยกับพี่อิงเสวี่ยออกจากฌานมาตั้งทีหลัง” จื่อฉีอธิบาย ชื่อไพเราะออกจะตาย ต่อไปถ้าเขามีลูกก็จะตั้งชื่อเล่นให้

“ก็ถูก” เฮ้อ เขาแก่มากแล้วจริงๆ สู้นังหนูไม่ได้ แต่นังหนูก็เจ้าอารมณ์เสียจริง เวลาผ่านมาก็ตั้งหลายร้อยปีมาแล้ว แต่เด็กๆก็ออกมาพบพวกเขาแล้ว แปลว่าพวกเขาอาจจะได้เจอนังหนูกระมัง

“บรรพชน ท่านพี่บอกเอาไว้ว่า หากเด็กทั้งสองอยากกลับไป พวกท่านห้ามขวาง” จื่อฉีนึกถึงคำพูดที่พี่สาวกำชับ จึงรีบบอกให้ชัดเจน หากเด็กทั้งสองถูกอสูรเทพเหล่านี้บังคับให้อยู่ต่อ เขาก็ไม่กล้ารับประกันได้ว่านางจะทำอะไรบ้าง

“เข้าใจแล้ว” แค่ได้เจอเด็กทั้งสองคน พวกเขาก็พอใจมากแล้ว

“ไหนมาให้บรรพชนดูหน่อย ว่าพวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์อะไร” เอ๋าเฟิงตื่นเต้นเล็กน้อย จับแขนของจ๋ายจ่ายไว้ มังกรเหมันต์ ดูเหมือนจะเป็นเผ่าพันธุ์โบราณเสียด้วย น่าจะเป็นมังกรเหมันต์สะท้าน เป็นมังกรเหมันต์กลายพันธุ์บรรพกาล เด็กดี ไม่เลวๆ เอ๋าเฟิงจับแขนเล็กๆของเจี๋ยนเจี่ยนไว้อีกครั้ง หงส์อัสนีไม่ใช่สิ ต้องเป็นหงส์ม่วงหมื่นอัสนี เป็นเผ่าพันธุ์ที่กลายพันธุ์บรรพกาลเช่นกัน เหตุใดพวกเขาสองคนถึงได้ให้กำเนิดทายาทได้ดีขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่กลายพันธุ์บรรพกาลทั้งหมด พอเกิดมาก็ได้เป็นเซียนอธนการ และตอนนี้ดูเหมือนจะใกล้แตะขอบเขตเซียนสุขาวดีแล้ว เฮ้อ เขาคงต้องยอมจำนวนต่อความแก่ชรา ถือว่าหลิวหลีนั้นเลี้ยงเด็กได้เก่งนัก เด็กสองคนนี้น่าเอ็นดูจริงๆ

“จื่อฉี จงไปบอกท่านพี่ของเจ้า ว่าข้าติดค้างบุญคุณนาง นางสอนเด็กทั้งสองได้ดีมากทีเดียว”

“เรื่องนี้ไม่จำเป็น นางบอกไว้ว่า เด็กสองคนนี้เป็นญาติสนิทของนาง อีกทั้งไม่ต่างอะไรกับลูกของนาง” จื่อฉีโต้อีกฝ่ายโดยหยิบยกคำพูดที่พี่สาวเขาเคยกล่าวเอาไว้

“บรรพชนเช่นข้ามีตาหามีแววไม่ เด็กทั้งสองดีเกินไป ดีจนทำให้พวกข้าละอายใจมากขึ้น” ตอนนั้นทำตัวโง่เขลาไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้ร่วมดูการเจริญเติบโตของเด็กสองคนนี้แล้ว เป็นเพราะตนทำผิดไปแท้ ถึงเพิ่งได้เจอเด็กๆ

“นั่นก็จริง บรรพชนพวกท่านสายตาไม่ดีอยู่บ่อยๆ ตอนนั้นพี่อาเลี่ยก็เกือบตีตัวออกห่างเพราะความผิดพลาดของพวกท่าน แล้วพวกท่านยังทำเช่นนี้ใส่ลูกของเขา ข้าล่ะเป็นห่วงว่าหากพี่อาเลี่ยรู้เข้าจะเด็ดขาดกว่าท่านพี่หรือไม่” จื่อฉีไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ หรือจะให้บอกว่าหลิวหลีเป็นคนเลี้ยงเขามาจนโต ก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องทำเช่นนี้

“ใช่ ความเคยชินผิดๆที่เป็นมานานของพวกข้าควรจะจบสิ้นลงได้แล้ว” ไม่อย่างนั้นจะเสียศิษย์เก่งๆไปเป็นจำนวนเท่าไหร่ ยิ่งทำให้อสูรเทพเศร้าใจมากขึ้น

“เรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยทั้งสอง ตามบรรพชนท่านนี้ไปพบอสูรเทพตนอื่นเถอะ หากต้องการกลับ พวกเจ้าคงรู้ทางนะ” จื่อฉีคุกเข่ามองตรงไปที่เด็กทั้งสอง

“อื้ม ข้ารู้แล้ว ถ้าพวกข้าเบื่อแล้วจะกลับไปหาท่านน้าหลิวหลี” เด็กทั้งสองพยักหน้า พวกเขาเหมือนจะฟังเข้าใจเล็กน้อย แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่พวกเขาเข้าใจ

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

Status: Ongoing
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset