แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 303 ปิงเซียวและเหลยรุ่ย

ตอนที่ 303 ปิงเซียวและเหลยรุ่ย

“ตั้งชื่อน่ะหรือ พวกอสูรเทพอย่างข้าให้ความสำคัญกับร่างจริงว่าคืออะไร ก็จะใช้มันตั้งชื่อ เช่นร่างจริงของจ๋ายจ่ายคือมังกร ก็ควรแซ่เอ๋าเหมือนข้า ร่างจริงของเจี๋ยนเจี่ยนเป็นหงส์ก็ต้องใช้แซ่ของอิงเสวี่ย” เอ๋าเลี่ยกล่าว แต่การตั้งชื่อนั้น สติปัญญาของเขาออกจะต่ำต้อย ไม่รู้จะตั้งชื่อลูกว่าอะไรดี ตอนนั้นที่รู้ว่าอิงเสวี่ยตั้งครรภ์ก็อารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก จึงไม่เคยคิดเรื่องชื่อของลูกเลยสักนิด บวกกับต่อมาไม่รู้ง่าบรรพชนเกิดบ้าอะไรขึ้นมา วันๆให้เขาฝึกฝนจนเหนื่อยล้ากระทั่งแม้แต่นิ้วมือก็ไม่อยากขยับ อยู่ๆพอพูดเรื่องชื่อลูกขึ้นมา เอ๋าเลี่ยมองอิงเสวี่ยอย่างร้อนรน เป็นนัยว่า น้องหญิงเจ้าตั้งเลย

“ไม่ต้องมามองข้า ความสามารถด้านภาษาของข้ามีขีดจำกัด” อิงเสวี่ยส่ายหน้า

เอ๋าเลี่ยมองหลิวหลีอย่างขอความช่วยเหลือ

“อย่ามองข้า เด็กสองคนนี้เป็นลูกเจ้า เจ้าเป็นพ่อพวกเขา ก็ควรจะตั้งชื่อที่เป็นมงคลให้พวกเขาไม่ถูกหรืออย่างไร” หลิวหลีเห็นว่าลูกก็เป็นของเจ้า จะตั้งชื่ออะไร เจ้าเป็นพ่อพวกเขาจะไม่ตั้งชื่อให้พวกเขาจะดีหรือ เด็กๆก็โตกันขนาดนี้ยังไม่เคยมีส่วนร่วมอะไรสักอย่าง อย่างน้อยก็ควรจะตั้งชื่อดีๆให้พวกเขาสักชื่อสิ

เอาล่ะ เอ๋าเลี่ยตกอยู่ในวังวนความเครียดเรื่องการตั้งชื่อ ถึงขนาดไปหาหนังสือเล่มหนึ่งเพื่อใช้ในการตั้งชื่อ มีความตั้งใจเป็นพิเศษ

เรื่องที่เอ๋าเลี่ยกระอักกระอ่วนใจในทุกวันก็คือการเห็นเด็กสองคนมองเขาด้วยววตาคาดหวังและสุดท้ายต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง เอ๋าเลี่ยละอายใจอย่างประหลาด ตนเองที่เป็นพ่อ คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ชื่อดีๆก็ยังตั้งให้ลูกไม่ได้ ไม่แปลกที่แววตาของเด็กสองคนที่มองเขาในแต่ละวันยิ่งผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ

“อาเลี่ย ตอนนั้นชื่อของเจ้ามาได้อย่างไร” หลิวหลีถามอย่างสงสัย ชื่อไพเราะมากทีเดียว

“ชื่อของข้าน่ะหรือ” อาเลี่ยเหม่อลอย ตอนนั้นบิดาของเขาเป็นมังกรทองห้าเล็บที่เป็นอสูรเทพระดับสุดยอด ส่วนมารดานั้นเป็นถึงมังกรดำที่เป็นอสูรเทพระดับสูง พวกเขารอคอยการเกิดมาของเขา ใครจะรู้ว่าลูกของพวกเขากลับเป็นแค่มังกรแดงตัวหนึ่ง ทำให้ท่านพ่อของเขารู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่ง ในตอนนั้นจึงรีบจากไปอย่างรวดเร็ว จนตนเองกลายร่างแล้ว ท่านแม่ของเขาจึงตั้งชื่อให้เขา

“มังกรแดง จะใช้ชื่ออะไร ในเมื่ออยากได้ชื่อจริงๆ ก็ใช้คำว่า เลี่ย (ความรุนแรง) เหมือนกับสีแดง เด็กคนนี้ชื่อเอ๋าเลี่ย” นี่คือที่มาของชื่อเขา เพราะสีแดงแสดงให้เห็นถึงความรุนแรง และเตือนให้เขานึกถึงความอัปยศอดสูของท่านพ่อ ชื่อของเขาจึงไม่ถูกตั้งตามอาวุโส พอคิดถึงตรงนี้แล้ว เอ๋าเลี่ยก็รู้สึกแย่ลง

หลิวหลีเห็นสีหน้าของเอ๋าเลี่ยจึงรู้ว่าที่มาของชื่อนี้ไม่ได้สวยงามนัก

“แล้วพี่อิงเสวี่ยล่ะ ชื่อไพเราะเช่นนี้ ต้องมีที่มาที่น่าฟังมากแน่” หลิวหลีหันไปอีกด้าน ชื่ออิงเสวี่ยก็ไพเราะอย่างมาก

“ว่ากันว่าตอนที่ข้าเกิด ดอกท้อ (ต้นอิงฮัว) ร่วงหล่นราวกับหิมะตก (เสวี่ย) เวลานั้นข้าฟักตัวออกจากไข่พอดี พ่อของข้าเห็นว่าข้าเป็นหงส์เหมันต์เมื่อมองดูบรรยากาศ จึงตั้งชื่อให้ข้าว่าอิงเสวี่ย” อิงเสวี่ยพูด

แล้วที่มาของชื่ออิงเสวี่ยนั้นก็งดงามมากจริงๆ

“อาเลี่ย ที่จริงแล้วเจ้าไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นก็ได้ เจ้าดูสิ จ๋ายจ่ายเป็นสีฟ้าเหมันต์ เช่นนั้นชื่อเอ๋าหลาน (สีฟ้า) ส่วนเจี๋ยนเจี่ยนมีสีม่วง ก็ชื่อเฟิ่งจื่อ (สีม่วง) ก็ไม่ได้ฟังดูน่าเกลียดอะไร” หลิวหลีเห็นว่าการใช้สีมาตั้งชื่อก็ไพเราะดีทีเดียว

เจี๋ยนเจี่ยนรู้สึกไม่ดีนัก ท่นน้าหลิวหลี ข้าเป็นเด็กที่ท่านเลี้ยงดูมากับมือแน่หรือ ต้องทำร้ายข้าเช่นนี้เชียวหรือ

“ท่านน้าหลิวหลี ข้าไม่ใช่หลานของท่านแล้วหรือ ท่านไม่รักข้าแล้วหรือ” เจี๋ยนเจี่ยนโอดครวญ

“เจี๋ยนเจี่ยน ทำไมพูดอย่างนี้ ท่านน้าของเจ้ารักเจ้ามาก เจ้าไม่รู้หรือ” อิงเสวี่ยไม่พอใจ หลิวหลีรักเด็กทั้งสองมากกว่าตนเองเสียด้วยซ้ำ

“เจี๋ยนเจี่ยน น้าหลิวหลีทำอะไรหรือ ทำไมเจ้าถึงได้คิดเช่นนี้” หลิวหลีลูบศีรษะเจี๋ยนเจี่ยน

“คิดไม่ถึงว่าท่านน้าจะยุยงให้ท่านพ่อตั้งชื่อข้าว่าคนบ้า[1] (เฟิงจื่อ) ฮือๆๆ เจี๋ยนเจี่ยนไม่อยากเป็นคนบ้า” เจี๋ยนเจี่ยนพูดไปพูดมาร้องไห้ออกมาจริงๆ ทำเอาหลิวหลีอึ้งจนพูดไม่ออก คนอื่นก็เช่นกัน แต่พอเจี๋ยนเจี่ยนพูดเช่นนี้ ชื่อนี้ก็ออกจะชวนให้กระอักกระอ่วนใจมากทีเดียว

“แค่กๆ เจี๋ยนเจี่ยน ข้าแค่ชี้ทางให้พ่อเจ้า วางใจได้ เจ้าไม่ได้มึชื่อว่าคนบ้าหรอก” หลิวหลีถูกเจี๋ยนเจี่ยนบ่นก็รู้สึกเก้อเขิน มิน่าเด็กน้อยถึงได้เสียใจขนาดนี้ ตนเองได้ยินแล้วยังอยากจะร้องไห้

“จริงหรือ ท่านน้าหลิวหลี เช่นนั้นจ๋ายจ่ายก็จะชื่อเอ๋าหลานล่ะสิ?” เจี๋ยนเจี่ยนถาม

“ไม่หรอก ไม่ใช่ชื่อที่พ่อเจ้าเป็นคนตั้งให้เสียหน่อย” หลิวหลีบอกว่าหากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านพ่อของเจ้าก็จะใช้ชื่อนี้ไม่ได้

สุดท้ายหลิวหลีก็คิดอะไรออก

“จ๋ายจ่าย เจี๋ยนเจี่ยน พวกเจ้าก็โตกันแล้ว สามารถเลือกชื่อที่ตัวเองชอบได้แล้ว หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ดูสิ ขนมังกรของพ่อเจ้าถูกดึงจนจะหลุดหมดแล้ว” หลิวหลีพูด เอ๋าเลี่ยลูบศีรษะอย่างเขินอาย เขาก็ดึงหลุดไปไม่กี่เส้นเอง

จ๋ายจ่ายและเจี๋ยนเจี่ยนรู้สึกเหมือนตนเองได้ยินผิดไป คิดไม่ถึงว่าจะให้พวกเขามีส่วนร่วมในการตั้งชื่อตนเอง มีเช่นนี้ด้วยหรือ

“ก็จริง ถึงอย่างไรก็เป็นชื่อที่เด็กสองคนจะต้องใช้ไปตลอดชีวิต ให้พวกเขาเลือกเองก็ดีเหมือนกัน ต่อไปหากชื่อไม่ดีจะได้ไม่โทษพวกเรา” อิงเสวี่ยคิดว่ามีเหตุผล

“ก็ได้” ดังนั้นจ๋ายจ่ายกับเจี๋ยนเจี่ยนกลายเป็นเด็กโชคร้ายคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ตั้งชื่อของตนเองด้วยตนเอง เพราะความสาระแนของพวกผู้ใหญ่ที่ไร้หัวจิตหัวใจพวกนี้

ทั้งสองใกล้จะเป็นเหมือนบิดาตนเอง ที่ผมหลุดร่วง พลิกมุมกระดาษจนยับเยิน แต่น่าแปลกที่เลือกอันที่พอใจไม่ได้สักที เลือกกันจนอ่อนล้าไปหมด

“หรือว่าพวกเราควรหาคนที่สามารถดูปาจื้อทำนายชะตา จะได้ให้ตั้งชื่อที่เป็นมงคลต่อการบำเพ็ญเพียร” หลิวหลีย้อนนึกถึงเรื่องราวในชาติก่อน ที่แม่เคยบอกว่า ชื่อของตนเองนั้นเป็นชื่อที่ย่าเชิญคนมาดูวันตกฟากแล้วตั้งให้ เพื่อให้พบเจอความสงบสุขปราศจากภัยอันตราย มีประโยชน์อย่างมาก ว่ากันว่าตอนนั้นย่าใช้เงินไปไม่น้อยทีเดียว

“หา จะไปหาใคร” เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดีทีเดียว เขาจัดผมอีกครั้ง ถูกดึงจนหลุดหมดเหมือนที่หลิวหลีพูดจริงๆ

“เล่อถง” หลิวหลีพูดชื่อนผู้หนึ่งออกมา หนานกงเวิ่นเทียนเข้าใจได้ในทันที จำได้ว่าตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก เล่อถงบอกว่าตนเป็นผู้ทำนายดวงชะตา

“เขาคือใคร” เอ๋าเลี่ยสบตากับอิงเสวี่ยด้วยท่าทีไม่รู้จัก

“เซียนหยั่งรู้ดวงชะตา” จื่อฉีที่อยู่ข้างๆกล่าว

“คิดไม่ถึงว่าคือเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา เพียงแต่เรื่องเล็กๆอย่างเรื่องการตั้งชื่อ เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาจะดูให้หรือ” อิงเสวี่ยกังวล นางเคยได้ยินชื่อเซียนหยั่งรู้ดวงชะตามาบ้าง ว่ากันว่าเป็นคนเย็นชาทีเดียว

“เป็นคนอื่นคงไม่สนใจ แต่ถ้าข้าเอ่ยปาก คงจะเห็นแก่หน้าข้าบ้าง” หลิวหลีรู้สึกว่าจริงๆแล้วนางก็เป็นคนมีหน้ามีตามากทีเดียว

“เช่นนั้นหลิวหลีเจ้าลองถามดูแล้วกัน” อิงเสวี่ยมองหลิวหลีอย่างคาดหวัง ไม่น่าเชื่อว่าจะสนิทกับเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา หลิวหลีอยู่กับใครก็ได้จริงๆ

“ได้” หลิวหลีจับนกกระดาษ แตะไม่กี่ครั้ง นกตัวนั้นก็หายไป ผ่านไปไม่นานก็มีนกกระดาษตัวหนึ่งปรากฎขึ้น หลิวหลีเปิดดูแล้วกระแนะกระแหน “เล่อถงเจ้าคนขี้เกียจ”

บนกระดาษเขียนแค่ “มีผู้สูงส่งเช่นเจ้าอยู่ด้วย ข้าคงไม่จำเป็นต้องไปสอนหนังสือสังฆราชหรอก” เอากับเขาสิ นางได้ฉายาผู้สูงส่งเพิ่มมาอีกชื่อเสียอย่างนั้น

หลิวหลีมองเด็กทั้งสอง ในดวงตาปรากฎภาพหนึ่งขึ้น หลิวหลีมองภาพนั้นตัวค้างแข็ง แล้วจากนั้นดวงตาปรากฎเป็นสีฟ้าและสีม่วงอย่างละข้าง

“ปิงเซียว เหลยรุ่ย” จู่ๆหลิวหลีก็พูดชื่อทั้งสองคนออกมา

“จ๋ายจ่าย ต่อจากนี้ไปชื่อจริงของเจ้าคือ เอ๋าปิงเซียว ส่วนเจี๋ยนเจี่ยน ชื่อจริงของเจ้าคือ เฟิ่งเหลยรุ่ย” หลิวหลีพูด

“เอ๋าปิงเซียว”

“เฟิ่งเหลยรุ่ย”

“ไม่เลวเลย เอาตามนี้เลยแล้วกัน” เอ๋าเลี่ยกับเฟิ่งอิงเสวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก ให้ตั้งชื่อคนสู้ให้พวกเขาออกไปสู้รบยังจะดีเสียกว่า

………………………………………………………

[1] คนบ้าภาษาจีน เรียกว่า เฟิงจึ (疯子) ซึ่งเสียงจะคล้ายกับ เฟิ่งจื่อ (紫 จื่อ: สีม่วง และเฟิ่งจากแซ่ของเฟิ่งอิงเสวี่ย)

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

Status: Ongoing
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset