แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 319-2 ก่อความไม่สงบ

“หากข้าจำไม่ผิด ผู้ที่เป็นราชาเผ่ามารรัตติกาลดูเหมือนจะสกุลเยี่ย”จักรพรรดินภาพสุธากล่าว

“ถูกต้อง เผ่ามารรัตติกาลที่ถูกขังเอาไว้ก็คือสายเลือดราชวงศ์ นามว่าเยี่ยหนีฉาง” หลิวหลีพูด

“เยี่ยหนีฉาง เหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน คนๆนี้มีส่วนอย่างมากในการล่มสลายของเผ่ามารรัตติกาล” จักรพรรดินภาเพลิงกล่าว

“เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสปู้หุ่ยสกุลจ้านจากดินแดนอสูรเทพเราเช่นกัน ไม่กี่วันก่อนผู้อาวุโสปู้หุ่ยได้ร่างสลายไปแล้ว” หลงเฟยหยางกล่าว พูดถึงจ้านปู้หุ่ยก็ออกจะเสียดายน้อยๆ

“จักรพรรดิเซียนปู้หุ่ยน่ะหรือ ท่านเคยเป็นผู้ที่เจิดจรัสอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะจากไปแล้ว” จักรพรรดินีนภาพฤกษาเสียใจเล็กน้อย ตอนนั้นท่านเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานอย่างยิ่ง

“อืม ได้ยินว่าผู้อาวุโสปู้หุ่ยได้สะกดราชวงศ์คนสุดท้ายของเผ่ามารรัตติกาลที่ชื่อเยี่ยหนีฉางไว้” พูดถึงตรงนี้ หนานกงเฉินมองหลิวหลีเป็นนัยๆ

“ไม่ต้องมามองฮูหยินของข้า พวกเราสองคนดูดซึมสายเลือดราชวงศ์ของเผ่ามารรัตติกาลไป น้องหญิงเคยพูดไว้ว่า ไม่อย่างนั้นพวกท่านคิดว่าเรื่องจักรพรรดิเซียนแบบเร่งรัดนี้จะโผล่ออกมาเฉยๆเหรอ ผู้อาวุโสปู้หุ่ยเกิดใหม่อีกครั้งจะมีอนาคตที่ดีแน่” หนานกงเวิ่นเทียนไม่พอใจเล็กน้อย บรรพชน พวกเขาจะเอาอย่างไรกันแน่

“พูดเช่นนี้ พวกเจ้ารู้จักจักรพรรดิเซียนปู้หุ่ยหรือนี่?” เฟิ่งซานเข้าใจทันที มิน่าสามีภรรยาคู่นี้บำเพ็ญเพียรได้ไวจนน่ากลัว

“เรื่องพวกนี้ปล่อยๆไปก่อนเถอะ ปัญหาในตอนนี้ก็คือ เยี่ยชิงขวงสามารถนำพาคนในเผ่ามารรัตติกาลของเขาออกจากวังนภาสุวรรณได้อย่างเปิดเผย ข้าคิดว่าจากนี้ไปแต่ละดินแดนคงจะไม่สงบสุข พวกเขาต้องสร้างเรื่องจนทำให้แต่ละดินแดนไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือดินแดนนภาสุวรรณได้ เป้าหมายแรกสุดของเขาคือดินแดนนภาสุวรรณ” หลิวหลีพูดไม่ออก ทั้งๆที่เรื่องสำคัญที่สุดคือเรื่องของเยี่ยชิงขวง เหตุใดถึงได้โยงมาเรื่องนางรู้จักผู้อาวุโสปู้หุ่ยหรือไม่ คนก็จากไปแล้ว จำเป็นต้องมาขุดคุ้ยว่ารู้จักอีกฝ่ายหรือไม่ด้วยหรือ

“ความหมายของหลิวหลีก็คือเยี่ยชิงขวงจะต้องหาเรื่องดินแดนนภาสุวรรณแน่นอน ส่วนดินแดนอื่นจะก่อความวุ่นวายทำให้พวกเราไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยดินแดนนภาสุวรรณได้” จักรพรรดินีนภาพฤกษาเข้าใจความหมายของหลิวหลีทันที

“หลิวหลีพูดถูก ผลคำทำนายของข้าก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน” เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาพูดออกมาได้ถูกเวลา

“รายงานจักรพรรดิ มีกลุ่มคนกำลังมุ่งหน้ามาที่วังนภาสุวรรณ ข้าลองมองๆดู มีทหารสวรรค์ของจ้าตำหนักชิงขวงอยู่ในนั้นด้วย ต้านไว้ไม่ได้เลยฝ่าบาท” จักรพรรดินภาสุวรรณกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกข่าวนี้มาขัดเสียก่อน

“รายงานจักรพรรดินี ทางตะวันตกเฉียงใต้ของดินแดนนภาธาราเกิดการจลาจลขึ้น มีคนของเผ่ามารรัตติกาลปรากฎตัวขึ้นและหายไป”

“รายงานจักรพรรดิมาร ทางตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดนมารมีร่องรอยของเผ่ามารรัตติกาล”

“รายงานจักรพรรดิ เกิดการจลาจลที่ทางตะวันออกของดินแดนนภาเพลิง คาดว่าเป็นฝีมือเผ่ามารรัตติกาล”

“รายงานจักรพรรดิ ฝั่งตะวันตกของดินแดนนภาพสุธามีการจลาจลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีร่องรอยของเผ่ามารรัตติกาล”

รายงานที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องทำให้ทุกคนรู้สึกว่าพอพวกเรารู้เรื่องก็รีบข่มขู่กันทันที จนพวกเขาไม่สามารถยุ่งกับเยี่ยชิงขวงที่อยู่ในดินแดนนภาสุวรรณเป็นหลักได้

“ประกาศคำสั่งออกไป ให้ทุกคนถอยกลับไปตำหนักหลัก ข้าจะเริ่มเปิดเกราะจักรพรรดิ” จักรพรรดินภาสุวรรณพูดพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาเลี้ยงงูเห่าไว้จริงๆ

“ประกาศคำสั่งออกไป รีบส่งคนออกไปตรวจสอบทันที” เหล่าจักรพรรดิถ่ายทอดคำสั่ง

สถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลักๆคือความสูญเสียของดินแดนนภาสุวรรณที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ทุกคนดำดิ่งอยู่ในภวังค์ จำนวนคนตายมากขึ้นทุกวัน

ทุกคนในวังนภาสุวรรณถูกขังอยู่ในวังนภาสุวรรณราวกับเป็นสัตว์ที่ถูกขัง

“เยี่ยชิงขวง ข้าดีต่อเจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเผ่ามารรัตติกาล แถมยังเป็นเชื้อพระวงศ์คนเดียวที่เหลืออยู่ของเผ่ามารรัตติกาลด้วย” จักรพรรดินภาสุวรรณมองเยี่ยชิงขวงที่เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่พบกัน ลอบถอนใจที่สายตาตนไม่ดีนัก คิดไม่ถึงว่าตนเองปฏิบัติต่อหายนะเช่นนี้ราวกับหยกล้ำค่า ช่างน่าขันและน่าเวทนา

“จักรพรรดิ ไม่เจอกันนาน พอเริ่มคุยก็ถามเรื่องนี้เสียแล้ว ดูแล้วท่านคงคุยไม่เก่งเท่าไหร่” เยี่ยชิงขวงไม่สนใจ

“เช่นนั้นข้าต้องคุยอะไรกับเจ้า?” จักรพรรดินภาสุวรรณเกลียดตัวเองที่ดูคนไม่เป็น เขาแฝงกายเข้ามาในกระจกวารี แต่ก่อนคนผู้นี้ซุกซ่อนปิดบังไว้อย่างล้ำลึก จักรพรรดิที่เหลือก็เหนื่อยล้ากับการดูแลพื้นที่ในอาณัติของตนราวหนูติดจั่น จนไม่อาจสนใจดินแดนของเขาที่ร้ายแรงที่สุดในตอนนี้ แม้ว่าเผ่ามารรัตติกาลจะเข้ามาไม่ได้ แต่พวกเขาก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน หากติดค้างอยู่นานๆ ก็น่าจะส่งผลเสียต่อพวกเขา

“คุยอะไรน่ะหรือ คุยเรื่องหลิวหลีกัน พูดตรงๆเลยนะว่า นางเดาออกว่าข้าเป็นคนเผ่ามารรัตติกาลตั้งแต่ตอนที่นางแข่งกับข้าสมัยยังเป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว เพียงแค่คิดไม่ถึงว่านางจะไม่พูดอะไร แต่พูดไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเจ้าคงไม่มีใครเชื่อ ข้านับถือนางมาก ตอนอยู่ในโลกเบื้องล่างนางชนะข้า และยังฟื้นฟูอาณาเขตทั้งห้าที่โดนข้าวางยาพิษ หวังจะรอให้ยาพิษออกฤทธิ์ แล้วโลกเบื้องล่างก็จะกลายเป็นดินแดนรกร้าง น่าเสียดาย ไม่มีใครเลย พวกเจ้าสักคนไม่มีใครเลยที่จะมีปณิธานเช่นเดียวกับหลิวหลี นางมีมิติที่สมบูรณ์ แต่ก็ฉีกมันออกจนเป็นห้าส่วนเพื่อช่วยโลกเบื้องล่างไว้” เยี่ยซิงหวงพูดเรื่องในอดีตด้วยน้ำเสียงนับถือและชื่นชม

“หึ นางทำลายเจ้าได้ครั้งหนึ่ง ก็จะสามารถทำลายเจ้าเป็นครั้งที่สองได้เช่นกัน” ภายในใจจักรพรรดินภาสุวรรณรู้สึกสั่นไหว คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความทรงจำของสองชาติ หากเขาจำไม่ผิด เขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ว่ากันว่าคนผู้นั้นสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ดวงจิตถูกทำลาย

“หึ ข้าหวาดกลัวสามีภรรยาคู่หลิวหลีก็จริง แต่ทว่ามีผู้สูงส่งทำนายให้ข้าว่าพวกเขาไม่ใช่ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเซียนของข้า เป็นมังกรและหงส์ต่างหาก” เยี่ยชิงขวงพูดอย่างโอหัง

“ผู้สูงส่งหรือ?” จักรพรรดินภาสุวรรณพูดเสียงเรียบ พวกเขาทุกคนล้วนรู้ดีว่ามังกรหงส์ในคำทำนายหมายถึงคู่สามีภรรยาหลิวหลี คิดไม่ถึงว่าเขาจะคิดว่าไม่ใช่สามีภรรยาคู่นี้ ไปโดนอัจฉริยะคนไหนปั่นหัวเข้า ของแบบนี้ก็สามารถทำนายผิดกันได้

“ใช่ ส่วนเรื่องทำไมข้าถึงเชื่อนั้น ก็เป็นเพราะว่าคนๆนั้นแผดเผาพลังชีวิตและพลังเซียนของตนในการทำนายออกมา แน่นอนว่าข้าต้องเชื่อ ดังนั้นจักรพรรดิ ท่านยอมแพ้เสียเถอะ” เยี่ยชิงขวงพูด

“ฝันไปเถอะ ข้ายังเป็นจักรพรรดินภาสุวรรณอยู่ จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร รักตัวกลัวตายไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะทำในชีวิตนี้แน่ เยี่ยชิงขวง ในเมื่อเจ้ารับรู้คำทำนาย ก็น่าจะรู้ด้วยเช่นกันว่าเจ้าจะทำการใหญ่ไม่สำเร็จ” จักรพรรดินภาสุวรรณส่ายหน้าและตัดบทสนทนาไป

“เจ้าควรรู้ตัวตนของผู้สูงส่งคนนั้นให้ชัดเจน” จักรพรรดินภาสุวรรณไม่กล้าใช้กระจกวารีจึงใช้วิธีติดต่อเฉพาะของเหล่าจักรพรรดิในการติดต่อจักรพรรดิคนอื่นๆ รวมถึงหลิวหลี เวิ่นเทียน และเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา

“วันนี้เยี่ยชิงขวงใช้พลังแทรกเข้ามาพูดกับข้าในกระจกวารี บอกว่ามีผู้สูงส่งทำนายให้เขา บอกว่าสิ่งที่เป็นภัยต่อเขาคือมังกรและหงส์ แต่น่าเสียดายที่หลิวหลีกับเวิ่นเทียนไม่ใช่ศัตรูของเขา มีเรื่องอะไรที่พวกเราไม่รู้ใช่หรือไม่” จักรพรรดินภาสุวรรณพูดอย่างตรงไปตรงมา

“ข้าพอจะรู้ว่าเป็นใคร ตอนนั้นข้าเลือกผู้สืบทอดไว้ 4 คน เป็นเพราะข้าทำนายได้ว่าเซียนหยั่งรู้ดวงชะตารุ่นต่อไปจะเป็นสตรีจึงได้รับบริวารเด็กมาสี่คน พอหลิวหลีได้กลายเป็นจักรพรรดิเซียน ข้าทำนายได้ว่านางจะรู้ว่าใครจะได้กลายเป็นเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา จึงเชิญพวกเขามาพบ ผลสรุป คนแรกที่โดนคัดออกเคยเป็นคนที่ข้าโปรดปรานมากที่สุด นามว่าหลิวอิ๋ง เป็นคนที่มีนิสัยเย่อหยิ่ง แต่ก็เด็ดเดี่ยวแข็งกร้าว ตอนนั้นนางเคยแอบดูวิชาต้องห้าม คาดว่านางคงจะใช้วิชาต้องห้ามในการทำนายให้เยี่ยชิงขวงนั่น แต่เด็กนั่นมีพลังไม่เยอะ มีเพียงพลังบำเพ็ญเพียรขั้นเซียนนภานพเก้าเท่านั้น ทันทีที่นางใช้วิชาต้องห้ามนี้ พลังชีวิตและพลังเซียนจะถูกแผดเผา อาจเรียกได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนด้วยชีวิต วิชาต้องห้ามนี้ใช้ได้เพียงสองครั้ง เพราะพลังชีวิตและพลังเซียนที่ต้องใช้ในครั้งที่สามนี้ นางมีไม่เพียงพอแน่” เซียนหยั่งรู้ดวงชะตากล่าวและก็รู้สึกสงสารหลิวอิ๋งในเวลาเดียวกัน

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

Status: Ongoing
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset