ในเมื่อทั้งสองคนได้ตกลงกันได้แล้ว จึงตัดสินใจดำเนินการในทันที เอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีฟังแผนการของหลิวหลี ก็เกิดความสนใจเช่นกัน อยู่นิ่งมานาน รู้สึกราวมีสนิมเกาะ แต่เพราะไปไหนไม่ได้ ทุกคนจึงเริ่มโอดครวญว่าต้องซ่อนตัวไปอีกนานแค่ไหน
“พวกเจ้าพูดอะไรกันอยู่” จักรพรรดินีนภาพฤกษาตามเข้ามาเมื่อบทสนทนานี้จบลง นางตั้งใจมาเพื่อดูหลานสาวที่น่ารักของนางเป็นหลัก จักรพรรดินีนภาพฤกษารู้สึกเหมือนหัวใจของตนเองจะละลายเหลว หลานสาวนางน่ารักมากเกินไป บังเอิญเห็นพวกหลิวหลีเหมือนกำลังถกเถียงกันอยู่พอดี เมื่อฟังแผนการของหลิวหลี ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว ไม่ควรล่วงเกินนังหนูเป็นอันขาด ไม่สิ ไม่ควรล่วงเกินเจ้าหนูหนานกงเวิ่นเทียนต่างหาก ไม่เช่นนั้นใครจะรู้ว่านังหนูจะก่อเรื่องอะไร หากเป็นอย่างที่หลิวหลีพูดขึ้นมาจริงๆ ถ้าเช่นนั้นเยี่ยชิงขวงก็จะเหมือนถูกตัดแขนขา ช่วยลดความกดดันให้กับดินแดนต่างๆลงไม่น้อย พวกเขาจะได้รวมตัวกันที่ดินแดนนภาสุวรรณ เพื่อจัดการพวกเผ่ามารรัตติกาลที่หลุดรอดออกมาได้ และทำให้เผ่ามารรัตติกาลกลายเป็นแค่อดีตเท่านั้น
“ความคิดนี้ดีเหลือเกิน พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะออกไปไม่ได้ ข้ายังมีวิธีส่งพวกเจ้าออกไปได้” จักรพรรดินีเอ่ยพลางหัวเราะ ไม่รู้เพราะอยู่กับพวกหลิวหลีนานเกินไปหรือเปล่า นางพบว่าตัวเองสามารถหัวเราะจากใจจริง แล้วก็ยังค้นพบอีกว่า เมื่อมู่มู่ได้ยินเรื่องนี้ ก็ตั้งหน้าตั้งตารอ แต่ก่อนเด็กคนนี้ไม่ชอบการรบราฆ่าฟัน นี่ถือเป็นพัฒนาการหรือไม่นะ จักรพรรดินีอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองได้ลูกเขยที่ดี มีครอบครัวที่ดี
“จริงหรือนี่ มีวิธีที่จะทำให้พวกเราออกไปได้ชั่วคราว ดีจริงๆ ร่างกายของข้าจะขึ้นสนิทอยู่แล้ว ในที่สุดจะได้ออกไปยืดเส้นยืดสายสักที” เอ๋าเลี่ยตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ทว่ากลับถูกอิงเสวี่ยฟาดมือลงไปอย่างแรง
“น้องหญิง เจ้าทำอะไร” เอ๋าเลี่ยมองไปที่อิงเสวี่ยด้วยแววตาใสซื่อ ก่อนนี้ฮูหยินของเขาเรียบร้อยแค่ไหน ตั้งแต่มีลูกก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ต้องระวังผลที่จะตามมา เจ้าคิดว่ามีแค่เจ้าอยากออกไปหรือ เจ้าคิดว่ากลุ่มคนด้านหลังพวกนั้นหูหนวกหรืออย่างไร ไม่เห็นหรือว่าพอได้ยินว่าสามารถออกไปชั่วคราวได้ ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมากันทันที” อิงเสวี่ยกลอกตาใส่เอ๋าเลี่ย ลองดูสายตาที่เป็นประกายด้านหลัง ไม่รู้สึกหรือว่าพวกคนรุ่นหลังมีความหวังกันขึ้นมาหรือ
“นั่นสิ ท่านผู้อาวุโสเอ๋าเลี่ย พวกเราก็อยากเหมือนกัน อยู่ที่นี่ทั้งวัน พวกเราแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” ฮัวจิงเฟยกล่าว พวกเขาเองก็อยากจะต่อสู้เพื่อระบายอารมณ์
“เอ๋าเลี่ย ตามลำดับแล้ว เจ้าต้องให้คนแก่อย่างพวกเราก่อน” หลงเฟยหยางกล่าว
“ผิดแล้ว ควรจะเป็นเด็กๆอย่างพวกเราก่อน” หลงเสี่ยวเสี่ยวกล่าว
“เอาล่ะ หากพวกเจ้ายังทะเลาะกันอีกก็ไม่ต้องออกไป” พอหลิวหลิวพูดขึ้น ทุกคนก็สงบลงทันที
“เอาล่ะ ใช้วิธีดั้งเดิมที่ยุติธรรมที่สุดเถอะ” หลิวหลีกลอกตา ทะเลาะกันต่อไปจะได้อะไร จะเปลี่ยนเป็นประลองฝีมือกันหรือ
“นังหนู วิธีนี้ของเจ้าใช้ได้ทีเดียว” เอ๋าเลี่ยตามหลังหลิวหลี เขาพออกพอใจกับวิธีนี้ทีเดียว คราวนี้เขาจะได้ออกไปข้างนอกได้บ้าง แต่มีเพียง 5 คนเท่านั้นที่จะได้ออกไป เอ๋าเลี่ย หยวนเทียน หนานกงเฉิน อิงเสวี่ย ปิงเซียว เป็น 5 คนที่จะได้ออกไปด้านนอก ตอนแรกมู่มู่จับฉลากได้ แต่พอคิดๆไปแล้วจึงตัดสินใจอยู่กับจื่อฉี และให้อิงเสวี่ยไปแทน นี่เป็นครั้งแรกที่ฝาแฝดถูกแยกออกจากกัน เหลยรุ่ยไม่พอใจอย่างยิ่ง ทั้งที่พวกเขาสองพี่น้องใจเดียวกัน แต่แค่เพราะเชื่องช้าจึงแย่งมาไม่ได้ หลิวหลีปลอบเหลยรุ่ยอยู่สักพัก จึงสงบลงได้
“พอเถอะ อย่าได้ใจเกินไป พวกเราเริ่มจากดินแดนนภาพฤกษาก่อน ทางตะวันออก” หลิวหลีออกตัวว่าให้ทำตามที่นางบอก ไม่เช่นนั้นก็เงียบไป
ฝั่งตะวันออกของดินแดนนภาพฤกษา จักรพรรดิเทพเซียนเร่งด่วนกลุ่มหนึ่งกำลังวางแผนสร้างความวุ่นวายครั้งต่อไป แต่ก็ถูกพวกหลิวหลีจัดการจนทำอะไรไม่ถูก และยังพบว่าคนพวกนี้ต่างก็เป็นจักรพรรดิเทพเซียน
จักรพรรดิเทพเซียนเร่งรัดพวกนี้ตั้งใจจะใช้วิธีพิเศษแจ้งข่าวกับเยี่ยชิงขวง แต่ไม่รู้ว่าหลิวหลีใช้วิธีอะไร ร่างกายสลายไปทันที หลิวหลียื่นมือรับหยดเลือดที่ลอยมา และใช้วิธีพิเศษรักษาเอาไว้
“นังหนู นั่นคืออะไร?” เอ๋าเลี่ยมองเลือดหยดนั้นอย่างสงสัย การต่อสู้ในครั้งนี้เอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างราบคาบ ไม่มีอะไรน่าสนใจ เอ๋าเลี่ยออกตัวว่ายังไม่ทันได้ลงไม้ลงมือ การต่อสู้ก็สิ้นสุดลงแล้ว
“ท่านน้าหลิวหลี นี่คืออะไร?” ปิงเซียวก็มารุมดูเลือดหยดนั้น การต่อสู้ทำให้เขาคึกคะนอง แน่นอนว่าเหลยรุ่ยก็สามารถสัมผัสความรู้สึกของเขาได้เช่นกัน
“เลือดบริสุทธิ์ของเยี่ยชิงขวง พวกจักรพรรดิเทพเซียนเร่งรัดพวกนี้อาศัยเลือดของเยี่ยชิงขวง แต่ไม่ควรทำลายมัน ไม่เช่นนั้นเยี่ยชิงขวงจะสัมผัสได้ ต้องเก็บมันเอาไว้ก่อนชั่วคราว” หลิวหลีกล่าว
“เหมือนเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมจักรพรรดิเทพเซียนเร่งรัด หรือไม่ที่จริงแล้วคนพวกนี้อาจจะเป็นร่างแยกของเยี่ยชิงขวงก็ได้” หนานกงเฉินเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้น
“บรรพชนหนานกงพูดถูก จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เอาล่ะ ที่นี่เรียบร้อยแล้ว พวกเราไปกันต่อเถอะ” หลิวหลีเก็บเลือดบริสุทธิ์ แล้วตัดสินใจจะไปที่อีกฟากหนึ่ง จนเผ่ามารรัตติกาลในดินแดนนภาพฤกษาถูกเก็บกวาดจนเรียบ จึงตัดสินใจออกเดินทางไปดินแดนต่อไป
“ท่านน้าหลิวหลี ข้ารู้สึกได้แล้ว น่าสนุก น่าตื่นเต้น” คราวนี้เป็นคราวของเหลยรุ่ย เพราะอิทธิพลของปิงเซียว ทำให้จนถึงตอนนี้เขายังคงตื่นเต้นไม่หยุด
“เหลยรุ่ย มีเพียงเจ้าต้องประสบพบเจอด้วยตนเอง ถึงจะเข้าใจ อย่ารู้สึกไปตามปิงเซียว” หลิวหลีกล่าว
หนานกงเวิ่นเทียนอารมณ์ดีขึ้นน้อยๆ เยี่ยซิงหวงที่ตามหลอกหลอนเขา คราวนี้จะทำให้เขาไม่เหลืออะไร จนไม่สามารถมาทำร้ายเขาได้อีก
“ท่านพี่ ไม่ต้องเป็นห่วง เยี่ยชิงขวงไม่ตายดีแน่” หลิวหลีจับมือของหนานกงเวิ่นเทียนแล้วพูดขึ้น
“ข้ารู้อยู่แล้ว แต่ตามหลอกหลอนไปทุกที่เช่นนี้ ชวนให้หงุดหงิด” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงดินแดนต่อไป ดินแดนนภาพสุธา สิ่งแรกที่เจอก็คือทรายสีเหลืองกระจายทั่วในอากาศ
“ทางใต้” หลิวหลีลองสัมผัสแล้วชี้ทิศทางออกมา ในครั้งนี้ทุกคนเป็นราวหมาป่าที่เจอเนื้อ รีบมุ่งหน้าไปทางใต้ เพียงแต่กลุ่มแรกที่เจอไม่มีจักรพรรดิเทพเซียนเร่งรัด กำจัดไปเรื่อยๆจนถึงกลุ่มสุดท้ายถึงได้สังหารจักรพรรดิเทพเซียนเร่งรัดลงไปได้ และเก็บเลือดบริสุทธิ์เอาไว้เช่นกัน บุกตะลอนทำลายทุกดินแดน เมื่อทุกคนกลับไปก็พูดคุยกันด้วยความสะใจไม่น้อย
จักรพรรดินีนภาพฤกษากำลังพูดคุยกับจักรพรรดิคนอื่นๆ พวกเขาต่างรู้สึกเหมือนได้ระบายความแค้น โดยเฉพาะจักรพรรดินภาสุวรรณที่สบายใจอย่างยิ่ง ต่อให้โดนเยี่ยชิงขวงรังควาน ก็ยังพูดเสริมขึ้นเล็กน้อย
“ทุกท่าน ในที่สุดความแค้นในใจข้าก็หายไปแล้วครึ่งหนึ่ง” จักรพรรดินภาสุวรรณตรัสด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลงไม่น้อย
“ฮ่าฮ่า พวกข้าก็เช่นเดียวกัน ความคิดนี้ของหลิวหลีไม่เลวเลยจริงๆ” จักรพรรดินภาเพลิงเต็มไปด้วยความชื่นชม เป็นฝันร้ายของเผ่ามารรัตติกาลชัดๆ นอกจากมารรัตติกาลกลุ่มนั้นในดินแดนนภาสุวรรณ เผ่ามารรัตติกาลในดินแดนอื่นๆก็หายไปแล้ว จักรพรรดินภาเพลิงตัดสินใจแล้วว่าจากนี้จะไม่ทำให้หลิวหลีต้องโมโห ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่ควรล่วงเกินหนานกงเวิ่นเทียน ผู้หญิงที่ปกป้องสามีคิดแค้นแทนสามีชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
“ตอนนี้ทุกคนสามารถร่วมมือกัน ค่อยๆส่งคนเข้าไปในดินแดนนภาสุวรรณ” จักรพรรดินีนภาพฤกษาตรัส
“ในที่สุดก็ถึงเวลาที่พวกเราจะโจมตีกลับแล้ว” จักรพรรดินภาสุวรรณตรัสกล่าว ในที่สุดช่วงเวลาที่ต้องอดทนก็กำลังจะสิ้นสุดลง
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ทุกคนนับไพร่พลของตัวเอง ค่อยมาวางแผนเรื่องเส้นทางกัน” จักรพรรดินภาพสุธาทรงกล่าว