“น้องพี่ ทำไมเจ้าหนีมาอยู่ที่วังเซียนแล้วล่ะ” หนานกงเวิ่นเทียนสัมผัสได้ว่าหลิวหลีอยู่ในวังเซียน พวกคนข้างนอกเหล่านั้นต่างพากันตามหาฮูหยินของเขากันให้จ้าละหวั่น
“ช่วยไม่ได้ ข้าทำอะไรไม่ได้เลยเลือกมาซ่อนตัวดีกว่า” หลิวหลีเบะปาก แบมืออกทั้งสองข้าง ตั้งแต่ที่เล่อถงบอกว่าตนเองจำเป็นต้องใช้เพลิงเซียน แต่นางยังขาดอยู่อีกหนึ่งชนิด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อพบหน้ากันทุกคนก็จะถามนาง ‘หลิวหลีเจอเพลิงเซียนแล้วหรือยัง?’ นางรู้ว่าทุกคนร้อนใจ แต่อย่าบีบนางจะได้หรือไม่ มันทำให้นางรู้สึกกดดันไม่น้อย
“น้องหญิง เจ้าไม่จำเป็นต้องกดดัน ตัวเจ้าก็เคยบอกเอง เมื่อถึงเวลาจะมาเอง” หนานกงเวิ่นเทียนพูดปลอบ คนพวกนั้นทำให้ภรรยาของเขารู้สึกกดดันมากจริงๆ
“ใช่ ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องระบายความกดดัน” หลิวหลีมองไปที่หนานกงเวิ่นเทียนด้วยใบหน้าที่บอกว่าข้าต้องการคนปลอบ ไ่ม่ช่นนั้น หลิวหลีกลัวว่าตัวเองจะอดบุกไปฆ่าเยี่ยชิงขวงไม่ได้ บุกไปประลองกับเขาสักตั้ง โทษฐานที่ทำให้นางลำบากเช่นนี้ ส่วนจะทำแผนล่มหรือไม่นั้น นางไม่สนใจแล้ว
“น้องหญิง เจ้าต้องการคู่ฝึกซ้อมหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนออกตัวว่าสามารถเป็นคู่ฝึกซ้อมให้นางทันที
“มีวิธีที่ดีกว่านั้นไม่ใช่หรือ” หลิวหลียิ้มเจ้าเล่ห์ หนานกงเวิ่นเทียนงุนงง แต่เมื่อเห็นท่าทางยุกยิกของอีกฝ่าย ใบหน้าก็แดงระเรื่อ นังหนูคนนี้ซุกซนเสียจริง เพียงแต่เมื่อเห็นเรือนผมและดวงตาของนางเปลี่ยนจากสีดำเป็นรุ้งแล้ว หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในห้วงสะกด
“เจอหลิวหลีหรือไม่?” จักรพรรดินีนภาพฤกษาถาม
“ยังขอรับ” จื่อฉีส่ายหัว แต่เขาก็พอจะรู้ว่าท่านพี่อยู่ไหน แต่เขาไม่บอก ผลักแรงกดดันทั้งหมดให้นาง คนพวกนี้ทำเกินไป
“เฮ้อ พวกเรารีบร้อนกันเกินไป หลิวหลีคงรู้สึกไม่สบายใจก็เลยหลบไปซ่อนตัว” จักรพรรดินีนภาพฤกษาถอนหายใจแล้วพูดขึ้น ช่วงนี้พอพวกเขาเจอหลิวหลีก็จะถามว่าเจอเพลิงเซียนชนิดสุดท้ายแล้วหรือยังอย่างไม่รู้ตัว ตอนแรกนังหนูก็ยังพอจะตอบแล้วส่งยิ้มน้อยๆ จนมาถึงสุดท้ายเริ่มชักสีหน้าใส่พวกเขา
จื่อฉีไม่ได้พูดไม่จา ท่านพี่เป็นคนอย่างไร คนพวกนี้ไม่ใช่ไม่รู้ หากบีบบังคับนางมากเกินไป ท่านพี่ต้องอยากไปจัดการกับเยี่ยชิงขวงแน่ แต่พอถึงตอนนั้น เมื่อแผนการรั่วไหล ไม่แน่ใจว่าอาจจะมีลูกหลานของเผ่ามารรัตติกาลหลบหนีไปได้อีก ตอนนี้นางน่าจะกำลังหาวิธีระบายความกดดันอยู่
“ท่านพ่อ ท่านทำเกินไป ท่านน้าเป็นคนเช่นไร ท่านไม่รู้หรือ ยังจะเป็นไปกับเขาด้วย” ปิงเซียวทำหน้าบึ้งตึง ตำหนิติเตียนบิดาตนเอง คิดไม่ถึงว่าจะเออออไปกับคนนอก ท่านพ่อถูกขังจนเลอะเลือนไปจริงๆ ก็ได้ออกไปรับลมชมวิวแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงยังเป็นเช่นนี้อยู่อีก
“นั่นสิ ท่านพ่อ ท่านไม่เหรือว่าสายตาที่ท่านน้ามองท่านนั้นเปลี่ยนไป” เหลยรุ่ยพูดต่อ ความตกตะลึงและความผิดหวังฉายชัดในแววตานาง ทำไมท่านพ่อของเขาถึงได้ทำเช่นนี้ คนอื่นพูดยังไม่เท่าไหร่ ท่านน้าคงไม่ติดใจ แต่กระทั้งท่านพ่อก็ยังพูดเหมือนคนอื่นๆ ทำให้ออกจะเกินไปทีเดียว
“ท่านพี่ ทำเกินไปแล้ว” อิงเสวี่ยก็ตำหนิเอ๋าเลี่ยด้วยเช่นกัน
เอ๋าเลี่ยรู้สึกแย่มากทีเดียว ถูกขังนานจนเลอะเลือนไปจริงๆ ปากถึงได้พล่อยจนพูดเช่นนั้นออกไป คราวนี้ดีใหญ่ ทำเอาไม่รู้ว่านังหนูคนนั้นไปหลบอยู่ที่ไหน ถ้านางไม่อยากออกมา ก็ไม่มีใครหานางเจอ ในคนพวกนี้ใครมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่านาง เขาคงจะถูกพวกท่านปรมาจารย์เป่าหูจนเสียสติไป ถึงได้กล้าพูดเช่นนั้นออกมา ดีจริงๆ แต่ลูกยันภรรยา ต่างก็ตำหนิติเตียนเขา โดยเฉพาะลูกชายทั้งสองคน หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นพ่อ คงจะไม่แต่พูดอย่างเดียว คงต้องลงไม้ลงมือแน่ สมแล้วที่ได้นังหนูสั่งสอน นิสัยหัวร้อนแบบนี้ได้มาจากหลิวหลีแน่
“ท่านพี่ ที่จริงแล้ว ท่านพี่รู้ใช่หรือไม่ว่านางอยู่ที่ไหน” มู่มู่อุ้มลูกชายเดินมา จื่อฉีเอื้อมรับ แล้วเจ้าตัวก็อดจะถามสามีตนเองไ่ม่ได้ มู่มู่ฟื้นฟูได้ดีทีเดียวถึงกับบรรลุขั้นจักรพรรดิเทพเซียน หลังจากได้ผ่านการทำศึกสงคราม จึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อย และมีความกล้ามากขึ้นกว่าเดิมด้วย
จื่อฉีแหย่เหมียวเหมี่ยวน้อยไม่ตอบอะไร เหมียวเหมี่ยวหัวเราะออกมาเสียงดัง จื่อฉีมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของลูกชาย ก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าก็แค่ถามเองเท่านั้น ไม่ได้ถามแทนเสด็จแม่” มู่มู่เห็นว่าสามีของตัวเองอารมณ์ดีขึ้น จึงถามต่อ
“ใช่ ข้ารู้ว่านางอยู่ไหน แต่ไม่จำเป็นต้องบอก หากแค่ว่าโลกเซียนที่แสนจะเก่าแก่นี้ยังต้องลำบากท่านพี่ข้ามาคุ้มครองรักษาล่ะก็ ไม่สู้ปล่อยให้เผ่ามารรัตติกาลครอบครองเลยยังดีกว่า” จื่อฉีพูดตรงๆ จักรพรรดินีนภาพฤกษาที่จะมาหาหลานบังเอิญได้ยินเข้า สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ท่านพี่ ทุกคนแค่ร้อนใจเท่านั้น” มู่มู่อธิบาย แต่รู้สึกเหมือนสามีตัวเองจะไม่ได้ยิน ก็รู้สึกโมโหน้อยๆ นี่เป็นครั้งแรกที่สามีของนางพูดกับนางเช่นนี้
“จักรพรรดิเทพเซียนก็บอกแล้วว่าในหนึ่งร้อยปี ท่านพี่จะต้องหาเพลิงเซียนชนิดสุดท้ายได้แน่นอน จากนั้นค่อยทำลายเผ่ามารรัตติกาล แต่คนกลุ่มนี้ ทำอะไรไม่ได้เลยหรือ คนคิดวิธีรับมือก็ท่านพี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยาเซียนศักดิสิทธิ์ก็ท่านพี่ทำ โลกเซียนใบนี้เป็นของนางหรือ ไม่ว่าจะอะไรก็ให้นางทำ โลกเซียนที่ไม่มีหลิวหลี จะไม่เหลืออะไรสักอย่างแล้วหรือ” จื่อฉีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง คนได้ยินราวโดนน้ำเย็นสาดเข้าหน้า ได้สติขึ้นมา โดยเฉพาะจักรพรรดินีที่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ได้สติขึ้นมาในทันที พวกเขากำลังเดินทางผิด
“ในเมื่อพวกเขาไม่ได้เห็นโลกเซียนเป็นบ้านของตัวเอง อะไรก็หวังจะพึ่งพานาง เช่นนั้นโลกเซียนแบบนี้จะให้ใครปกครองก็ไม่ต่างอะไร” จื่อฉีกล่าวต่อ สายตาจับจ้องที่บุตรชาย ไม่เหลือบแลผู้เป็นชายา คำพูดเมื่อครู่นั่นหมายความว่าฮูหยินของเขาก็คิดเช่นเดียวกัน เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่พอนึกถึงสถานการณ์ของนาง ไม่ว่าจะอ่อนแอขนาดไหนก็คงต้องเรียนรู้อะไรได้บ้าง เพียงแต่เมื่อมาปฏิบัติกับท่านพี่แล้ว ก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก
ไม่รู้ว่าจักรพรรดินีลอบถ่ายภาพตั้งแต่เมื่อไหร่ ในขณะที่จักรพรรดิคนอื่นๆกำลังหัวหมุน จู่ๆก็ได้รับภาพจากจักรพรรดินีนภาพฤกษา พวกเขาย่อมต้องได้ยินคำพูดจื่อฉี จึงยืนตัวนิ่ง พวกเขาเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ เป็นเพราะคำพูดนั้นของเทพหยั่งรู้ดวงชะตา คิดไม่ถึงว่าจะผลักภาระไปให้พวกเขาสองคน ไม่สมควรเลยจริงๆ
“แค่กๆ ในที่สุดคนพวกนี้ก็ได้สติ หากยังไม่ได้สติอีก สวรรค์ก็จะเก็บสัญญาณแห่งจักรพรรดิของพวกเขาแล้ว” เล่อถงมองฟ้า มีดาว 2 ดวงส่องแสง ประกายแสงสีแดงและสีฟ้าโดดเด่นสะดุดตา ดาวหลายดวงที่ล้อมรอบอับแสง แต่ตอนนี้ทุกดวงเปล่งประกาย กันดวงดาวสีดำไว้ด้านนอก ราวเป็นเกราะเหล็กแนบประสานไร้รอยโหว่
“พวกข้าหลงผิดไป น่าขันสิ้นดี ไม่รู้ว่าตอนนี้นังหนูอยู่ไหน” จักรพรรดินภาพสุธากล่าว
หลิวหลีอยู่ที่ไหนน่ะหรือ ใบหน้านางแดงก่ำ ท่าทางมีชีวิตชีวา ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าทนทุกข์ นังหนูคนนี้ ใช้วิธีนี้คลายเครียดมีประโยชน์หรือ แต่พวกเขาต่างก็เก็บเกี่ยวอะไรมาได้ แล้วปราณก่อนกำเนิดมังกรของนังหนูก็แสนจะเผด็จการ ทำเอาหงส์น้อยของเขาตอนนี้ยังอิดโรยอ่อนล้า
“ท่านพี่ จะต่อกันหรือไม่” หลิวหลีตอนนี้ได้ใจเป็นอย่างมาก เหมือนตัวจะลอยเลยก็ว่าได้
“ออกไปกันเถอะ ทุกคนกำลังหาเจ้าอยู่แน่” หนานกงเวิ่นเทียนรีบบอกนางว่าจะออกไปด้านนอก นังหนูคนนี้ร้ายกาจเหลือเกิน เขาอย่าเข้าถ้ำเสือจะดีกว่า
ทั้ง 2 คนออกมาจากวังเซียนของตัวเอง ก็เจอครอบครัวของจื่อฉีและจักรพรรดินีนภาพฤกษา เมื่อเห็นสีหน้าเปล่งประกายของหลิวหลี และใบหูแดงก่ำที่ซ่อนไว้ไม่มิดของหนานกงเวิ่นเทียน จักรพรรดินีนภาพฤกษาก็พูดอะไรไม่ออก พวกเขารู้สึกผิดจะแย่ กำลังพะวงว่าหากหลิวหลีออกมาแล้วจะพูดอะไรกับนาง ผลกลายเป็นนังหนูคนนี้ใบหน้าเปล่งประกาย มีน้ำมีนวล จักรพรรดินีนภาพฤกษามองฟ้า นางรู้สึกผิดจนไม่มีอะไรเหลือ เมื่อครู่ทำไมนางถึงรู้สึกผิด ในขณะที่พวกเขารู้สึกผิด สองคนนั้นก็กำลังสานสัมพันธ์ไม่ควรจะทำร้ายคนโสดเช่นนี้!