แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 61 กลับบ้านต้องมีของขวัญติดไม้ติดมือมาด้วย

“ซ่งหนิง ยาระดับ 6 ยากลายเป็นไอระดับล่าง” ถึงแม้จูเม่าจะไม่ชอบนิสัยของคนผู้นี้เท่าไหร่นัก แต่อัตราความสำเร็จในการปรุงยาของเขาก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ใช้ได้ ใช้ไฟธรรมดาก็สามารถปรุงยาศักดิ์สิทธิ์คุณภาพระดับล่างออกมา
“หลิวหลี ยาระดับ 6 ยาฝึกโคจรลมปราณคุณภาพชั้นเลิศ ข้าขอประกาศ หลิวหลีจากสำนักเมฆาคล้อยเป็นผู้ชนะ”
หลิวหลีมองซ่งหนิงอย่างได้ใจ ท่าทางได้ใจของนางทำให้คนมองรู้สึกเอ็นดู
“ข้ายอมแพ้ ขอบคุณเจ้ามาก ผู้อาวุโสหลิวหลีแห่งสำนักเมฆาคล้อย การแข่งขันในครั้งนี้ทำให้ข้าเข้าใจว่าเตาปรุงยาไม่สำคัญ จะใช่เพลิงอัคคีหรือไม่ก็ไม่สำคัญเช่นกัน มีเพียงแต่พื้นฐานที่มั่นคงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นยาอะไรก็จะสามารถปรุงออกมาได้ ผู้อาวุโสหลิวหลี ข้าแพ้แล้ว ขออภัยด้วย” ซ่งหนิงทำสีหน้าไม่ถูก จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดคำพวกนี้ออกมา
“ข้าน้อมรับคำขอโทษ” หลิวหลีน้อมรับอย่างใจกว้าง ในระหว่างการแข่งขันเขาไม่ได้มารบกวนการปรุงยาของนาง อีกทั้งยังขอโทษจากใจจริง นางต้องยอมรับคำขอโทษอยู่แล้ว
งานชุมนุมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ได้รับการเล่าลือไปมาก โดยเฉพาะการแข่งขันรอบสุดท้าย ทุกคนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรต่อยาระดับ 6 คุณภาพชั้นเลิศที่หลิวหลีทำขึ้น แต่ทุกคนกลับสนใจรสชาติของยาอย่างยิ่ง หลิวหลีก็ไม่ได้ใจแคบ นำยาออกมาให้จำนวนมาก มีครบทุกรสชาติ
“นังหนู ยาของเจ้าตอนนี้มีชื่อเสียงมากเลยนะ” เพราะงานชุมนุมยาศักดิ์สิทธิ์ทำให้ยาของหลิวหลีขายดีจนชวนใจสั่น ที่สำคัญคือเสวียนหั่วพบว่าอัตราสำเร็จในการปรุงยาของนังหนูสูงมาก อีกทั้งยาระดับล่างกับยาระดับกลางก็มีจำนวนน้อยมาก
“จริงหรือเจ้าคะ ข้าขาดหินวิญญาณพอดีเลย หาได้มากหน่อยก็ดีเหมือนกัน” หลิวหลีมีความรักต่อหินวิญญาณ อย่างงเลยเพราะนางเลี้ยงตัวล้างผลาญที่กินหินวิญญาณแบบเอาเป็นเอาตายอยู่
“นังหนู เจ้าจะกลับสำนักหรือไม่ หรือว่าจะไปที่ดินแดนอสูรเทพเลย” เสวียนหั่วถาม ลูกศิษย์เป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่น้อย ศิษย์น้องเจ้าสำนักก็มานั่งหัวเราะในตำหนักของเขาอยู่นาน
“ไปเลยแล้วกันเจ้าค่ะ เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด” หลิวหลีลองคำนวนเวลาดูและเอ่ย
“ก็ดีเหมือนกัน ใช่แล้ว ศิษย์เอ๋ย อาจารย์มีเรื่องอยากจะปรึกษาเจ้า” เสวียนหั่วมีท่าทีเกรงใจ
“อาจารย์จะเอาวิธีปรุงยาที่มีรสชาติใช่ไหมเจ้าคะ นี่เจ้าค่ะ มีแต่ยาระดับ 6 ลงไป อาจารย์ก็ถูไถไปก่อนแล้วกัน” หลิวหลีย่อมเข้าใจว่าอาจารย์จะพูดอะไร จึงมอบป้ายหยกให้กับเสวียนหั่ว
“นังหนู อาจารย์รู้สึกเกรงใจเจ้าจริงๆ” เสวียนหั่วรู้สึกว่าหน้าตนเองร้อนผ่าว เฮ้อ มีลูกศิษย์ที่มีความสามารถ ทั้งยังไม่เห็นแก่ตัวแบบนี้โชคดีจริงๆ เขาตัดสินใจจะไม่ให้ลูกศิษย์ต้องเสียแรงเปล่า ที่ทำเพื่อสำนักมาก็มากพอแล้ว
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อาจารย์ ตัวข้าเองชอบรสชาติ คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะชอบเหมือนกัน ได้รับการยอมรับจากทุกคน ข้าก็รู้สึกดีใจ” หลิวหลีไม่ได้รู้สึกอะไรเลยจริง ๆ ในยุคนี้ไม่มีเรื่องลิขสิทธิ์ ทำประโยชน์เพื่อคนหมู่มากจะดีกว่า หลิวหลีไม่รู้ตัวเลยว่าความคิดของตัวนางเองทำให้แสงแห่งบารมีของนางเข้มขึ้นมาไม่น้อย
“นังหนู ตามข้ามา” เอ๋าเลี่ยกล่าว
“ได้ อาเลี่ย เจ้าแน่ใจนะว่าสามารถไปดินแดนอสูรเทพจากตรงนี้ได้” หลิวหลีเดินอยู่ในป่าที่นางเจอเอ๋าเลี่ยครั้งแรก
“นังหนู ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้ามาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร” ถ้าไม่ใช่เพราะปรากฏตัวไม่ถูกที่ เขาจะเกือบถูกเหยีบบตายได้อย่างไรกัน
“ไม่รู้ ข้าฝากข้อความไปให้เสี่ยวเทียนแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ขั้วโลกเหนือจะเป็นอย่างไรบ้าง” หลิวหลีรู้สึกเป็นห่วงหนานกงเวิ่นเทียนเล็กน้อย
“ไม่ต้องเป็นห่วง เด็กนั่นไม่เป็นไร ไม่แน่ว่าอาจจะเจอโอกาสครั้งใหญ่เลยก็ได้” เอ๋าเลี่ยกล่าว ไม่แน่ว่าสองคนนี้กลับมาเจอกันอีกที เด็กนั่นอาจจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญช่วงปราณก่อนกำเนิดไปแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี เจ้าเป็นเผ่ามังกรจริงหรอ” หลิวหลีถามคำถามที่นางรู้สึกไม่เชื่อมาตลอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“นังหนู เชื่อข้าสิ ไม่ใช่อสูรภูตทุกตัวจะพูดภาษาคนได้ มีแต่อสูรเทพเท่านั้นที่จะทำได้” เอ๋าเลี่ยมองท่าทีเหลือเชื่อของนังหนูก็เสียใจเล็กน้อย แต่รอเขากลับสู่ร่างเดิมก่อนเถอะ ความน่าเกรงขามของตนจะต้องทำให้หลิวหลีเกิดเคารพนับถือได้อย่างแน่นอน
“นังหนู ถึงแล้ว เจ้าหลับตาลงก่อน” เอ๋าเลี่ยไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งพลางเอ่ย
หลิวหลีหลับตาลง จื่อฉีอยู่ในมิติเทพเจ้ามังกร นางเอาหงหลินเข้าไปไว้ด้วยเหมือนกัน หลิวหลีกลัวว่าจื่อฉีจะเบื่อ ให้ทั้งสองคนอยู่เป็นเพื่อนกันก็ไม่เลว ร่างกายของเอ๋าเลี่ยขยายใหญ่ขึ้นในทันที มังกรตัวใหญ่ปรากฏตัวขึ้น โอบล้อมหลิวหลีไว้ สายทางสีฟ้าปรากฏขึ้น เอ๋าเลี่ยรีบพาหลิวหลีเข้าไปด้านใน
“นังหนู เจ้าลืมตาได้แล้ว” เอ๋าเลี่ยพูดด้วยความอ่อนโยน
“ปวดหัวเสียจริง” หลิวหลีนวดหน้าผากตนเองเบา ๆ
“ภายในมิติมีแรงดึงดูดค่อนข้างมาก พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้ายังต่ำเกินไป น่าจะทนไม่ได้” เอ๋าเลี่ยพูดอธิบาย
“เจ้าเป็นใครกัน” พอหลิวหลีเริ่มได้สติ ก็เห็นชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ข้างๆ ถือเป็นความหล่อเหลาของคนมีอายุ นางไปรู้จักชายหนุ่มรูปงามที่มีความเป็นผู้ชายมากขนาดนี้ตอนไหน? จริงด้วยอาเลี่ยล่ะ
“เป็นอย่างไรบ้าง นังหนู ข้าในสภาพนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่าเด็กนั่นเลยใช่ไหม” เอ๋าเลี่ยรีบนำเสนอตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ
“เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้าทำอะไรอาเลี่ย จะบอกให้นะ ถ้าเจ้ากล้ารังแกอาเลี่ย ข้าจะจัดการเจ้าให้ไม่เหลือซากเลย” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีจริงจัง จากนั้นก็ออกแรงผลักชายรูปงามผู้นั้น
เอ๋าเลี่ยเกือบจะโมโห นังหนูคนนี้ผลักอะไร ฆาตกร แต่ก่อนมัวแต่หัวเราะเยาะพวกงูผู้โชคร้ายพวกนั้น ตอนนี้ตัวเองก็กำลังจะได้รับผลกรรมแล้วเหมือนกัน
“นังหนู เจ้าทำให้ข้าเกือบตายแล้วนะ เจ้าจะไปหาคู่พันธสัญญาที่ดีแบบข้าได้ที่ไหนอีก” เอ๋าเลี่ยพูดด้วยท่าทีอ่อนแอ
“เอ่อ เจ้าคืออาเลี่ยจริง ๆ หรอ ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นมนุษย์แล้วล่ะ” เมื่อหลิวหลีเห็นว่าเป็นเอ๋าเลี่ยจริงๆ ก็ถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“ก็บอกเจ้าแล้วไง ข้าเป็นเผ่ามังกร อีกทั้งยังเป็นมังกรโลหิตที่หมื่นปีก็ยากที่จะพบของเผ่ามังกร ร่างที่ทำพันธสัญญากับเจ้าเป็นร่างแยกของข้า เพราะว่าข้าอยากจะตั้งใจฝึกบำเพ็ญ ร่างแยกนี้มีเลือดบริสุทธิ์ของข้าอยู่ 1 ใน 3 แล้วก็ถูกเด็กอย่างเจ้าทำพันธสัญญาไปแล้ว” เอ๋าเลี่ยรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านึกถึงเรื่องที่ตอนแรกเกือบจะโดนหลิวหลีเหยียบตาย แล้วก็เรื่องที่โดนจับผูกพันธสัญญาไปแบบงงๆ
“ฮ่าฮ่า ตอนนั้นข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าแต่ อาเลี่ย ที่นี่คือที่ไหน” หลิวหลีถามด้วยความสงสัย
“นังหนู ยินดีต้อนรับเข้าสู่ดินแดนอสูรเทพ ที่นี่คือเผ่ามังกร” เอ๋าเลี่ยประกาศด้วยความภูมิใจ
“เผ่ามังกร ข้ามาถึงเผ่ามังกรแล้ว สุดยอดไปเลย อาเลี่ย ที่นี่มีมังกรที่มีแสงสีทองระยิบระยับไหม” หลิวหลีมองเอ๋าเลี่ยด้วยความคาดหวัง
“ทำไมต้องเป็นมังกรที่มีแสงสีทองระยิบระยับด้วยล่ะ” สีทองเป็นสีที่เอ๋าเลี่ยไม่ชอบที่สุด
“เป็นเพราะศรัทธาน่ะ” ลูกหลานชาวจีนทุกคนต่างก็เคารพนับถือมังกรมาตั้งแต่เกิด พวกเขาถือว่าตัวเองเป็นลูกหลานของมังกร แน่นอนว่านางก็ต้องอยากจะเห็น
“ศรัทธาหรือ?” เอ๋าเลี่ยวพูดพลางเลิกคิ้ว
“ใช่สิ ศรัทธา อาเลี่ย เจ้าเชื่อไหม มีชนเผ่าหนึ่งที่เคารพนับถือมังกรเป็นอย่างมาก การได้เป็นลูกหลานของมังกรเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขา” หลิวหลีพูดด้วยความดีใจ
“อย่างนี้เองหรือ” เอ๋าเลี่ยไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นของหลิวหลีว่ามันเป็นอย่างไร แต่เป็นความรู้สึกแรงกล้าอย่างมาก
“ใช่แล้ว อาเลี่ย อันนี้ถือว่าเจ้าได้กลับบ้านรึเปล่า” หลิวหลีถามขึ้น
“น่าจะใช่แหละ” เอ๋าเลี่ยลองคิดๆดู ร่างแยกของเขาออกไป ก็ถือว่าไปแดนไกล แล้วได้กลับบ้านมา
“นี่ของขวัญ” หลิวหลีนำถุงเก็บของออกมาหนึ่งใบ
“ของขวัญอะไร” เอ๋าเลี่ยเปิดถุงเก็บของออกมาดูแวบหนึ่งด้วยความอยากรู้
“นังหนู อันนี้มันดีเกินไปไหม” เอ๋าเลี่ยมองดูของที่อยู่ในถุง ยาระดับ 4 คุณภาพชั้นเลิศ 6,000 เม็ด ยาระดับ 5 คุณภาพชั้นเลิศ 3,000 เม็ด ยาระดับ 6 คุณภาพชั้นเลิศ 1,000 เม็ด
“ไม่หรอก เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่าอัตราสำเร็จในการปรุงยาของข้าสูงแค่ไหน ของพวกนี้ใช้เวลาทำแค่เดือนเดียวก็ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเรายังมีเครื่องโกงที่ดูไม่เข้าท่าเท่าไหร่ชิ้นนั้นอยู่ด้วยนะ” หลิวหลีหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ ขอบคุณเจ้ามาก”
 ……………………………

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset