วันที่สามหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จหลิวหลีก็ไปที่โถงแห่งปัญญาตั้งแต่เช้าเพื่อทบทวนเนื้อหาที่เรียนในบทที่แล้ว หลิวหลีค้นพบว่าตั้งแต่นางฝึกตน ความจำนางดีขึ้นมาก จำได้แม่นยำ อ่านเพียงแค่สองรอบก็จำได้แล้ว หลิวหลีก้มหน้าอ่านต่อไป โดยทำตามที่อาจารย์จ้าวจวินสอน ลองเดาดูก่อนแล้วค่อยเขียนตาม
แต่ละวันของหลิวหลีก็มีแค่ร่ำเรียน ทำอาหาร และนั่งสมาธิ และความน่าเบื่อของโจวอีและโจวมั่วจนผ่านไปสามเดือน บัดนี้หลิวหลีคงต้องบอกลาโถงแห่งปัญญาแห่งนี้เสียแล้ว ในที่สุดก็สามารถฝึกบำเพ็ญได้สักทีและไม่สนใจท่าทีอาลัยอาวรณ์ของโจวอีและโจวมั่วเลยสักนิด
เพื่อให้รางวัลแก่ตัวเองที่สำเร็จการศึกษา หลิวหลีจึงทำหมูนึ่งข้าวคั่ว ช่วยไม่ได้ อาหารมื้อหลักนางก็มีแค่ข้าวศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เฮ้อ…นางอยากกินบะหมี่จัง หลังจากให้รางวัลตนเองเรียบร้อยแล้ว หลิวหลีก็มองแหวนเก็บของที่อาจารย์ให้มา พูดไปแล้ว ในที่สุดนางก็รู้วิธีที่จะใช้มันแล้ว ถึงแม้ขั้นตอนจะเจ็บปวดใจก็ช่าง แต่ผลลัพธ์ออกมามีความสุขก็พอแล้ว และหยิบเอาเคล็ดวิชาปราณอัคคีที่อาจารย์มอบให้ออกมา แล้ววางป้ายหยกไว้บนหน้าผาก จากนั้นอักษรจำนวนมากก็ไหลลงไปในของหลิวหลี เป็นเคล็ดวิชาที่อาจารย์เสวียนหั่วใช้บำเพ็ญเพียร หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว หลิวหลีก็เข้าใจพลังบำเพ็ญเพียรของตนเอง นางในตอนนี้เป็นผู้บำเพ็ญฝึกลมปราณขั้นที่ 3 ระดับสุดยอดกำลังจะไปแตะขั้นที่ 4 และความสำคัญของร่างวิญญาณก็แสดงออกมา ตอนนี้ร่างกายนาง ซึมซับพลังเซียนได้แม้จะไม่ได้บำเพ็ญเพียรอยู่ก็ตาม คิดอยู่ครู่หนึ่งหลิวหลีก็รู้สึกว่าตนเองนั้นเข้าใจถึงหลักปฏิบัติอย่างถ่องแท้ นางยังต้องทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆ พระเจ้าก็รู้ว่าตอนนี้นางรู้จักแค่โจวอีและโจวมั่วเพียงเท่านั้น ตั้งแต่หลิงเฟิงเข้าหอกระบี่ก็ขาดการติดต่อไปเลย เฮ้อ
ธารประสาทสัมผัส
เป็นที่สังเกตว่า โจวอีเป็น ส่วนโจวมั่วเป็นแกนวิญญาณคู่สุวรรณอัคคี ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีธาตุไฟมากกว่าเจ็ดส่วน ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าหลิวหลีที่แทรกชั้นเรียนคนนี้ดึงลมปราณเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว โจวอีโจวมั่วกลับขอเรียนรู้จากนางอย่างไม่กลัวเสียหน้า โดยต้องทนอาหารศักดิ์สิทธิ์ของหลิว พวกเขาก็เข้าใจแจ่มแจ้ง สุดท้ายโจวอีโจวมั่วก็กลายเป็นสองในห้าของเด็กที่สามารถถึงลมปราณเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว เป็นศิษย์หอโอสถเช่นเดียวกับหลิวหลี แต่พวกเขาเป็นศิษย์นอกสำนัก
แกนวิญญาณคู่พฤกษาอัคคี
นางนัดกับโจวอีโจวมั่วที่ป่าของหอโอสถเพื่อเปิดหูเปิดตากับพี่น้องที่พลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่า หลิวหลีทำอาหารเสร็จแล้วก็เก็บในแหวนเก็บของ ห้อยกระดิ่ง แล้วเดินออกจากที่พักอย่างพอใจ แล้วนั่งกระเรียนกระดาษไปหาเพื่อนนาง เมื่อไปถึงก็เห็นโจวอีกับโจวมั่ว และพี่สาวสองคนและชายหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกปีสองคน ส่วนพลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นไหนนั้นนางย่อมมองไม่ออก
“หลิวหลีมาแล้วหรือ ข้าขอแนะนำให้เจ้ารู้จักนะ นี่เป็นพี่ใหญ่ของข้าโจวซาน พี่รองของข้าโจวอู่ พี่สาวคนที่สี่ของข้าโจวซือ และพี่สาวคนที่ห้าของข้า โจวเอ๋อร์” โจวอีแนะนำอย่างกระตือรือร้น สอง สาม สี่ ห้า เหตุใดจึงไม่มีหกล่ะ?
“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สี่ พี่ห้า นี่คือเพื่อนที่โถงแห่งปัญญาของข้าชื่อหลิวหลี”
โจวซานพนักหน้าเบาๆ ว่ารับรู้ โจวอู่ที่ดูสีหน้าเรียบเฉย โจวซือและโจวเอ๋อร์ส่งยิ้มบางๆ ให้
หลิวหลีกล่าวทักทายเหล่าพี่ๆน้องๆอย่างเป็นมิตร ถึงแม้โจวซานจะยิ้มบางๆ แต่สับสนในใจ โดยเฉพาะเรื่องที่น้องชายสองคนสามารถดึงลมปราณได้แล้ว ตนและโจวอู่ฟังแล้วทั้งหวาดกลัวยินดีไปพร้อมกัน วิธีการดึงลมปราณแสนประหลาดแบบนี้ก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่ผลลัพธ์ไม่เลวเลยทีเดียว น้องชายสองคนบอกว่าอยากจะออกไปท่องโลกกับสหาย บวกกับตั้งแต่ที่พวกเขารู้เรื่องสถานะที่ไม่ธรรมดาของเพื่อนพวกเขา โชคดีที่โจวซานไม่อยู่ มิฉะนั้นหากรู้ว่าน้องของพวกเขาเอาลมปราณเข้าร่างด้วยวิธีเช่นนั้น คาดว่าคงจะโมโหจนทำร้ายสาวน้อยคนนี้แน่
ในเมื่อคนครบแล้วพวกเขาก็เตรียมออกเดินทาง ระหว่างทางหลิวหลีตั้งใจฟังโจวซานแนะนำ ทั้งพืชศักดิ์สิทธิ์ อสูรภูต ตั้งอกตั้งใจฟังในทุกข้อที่อนุญาต โจวอีและโจวมั่วเห็นหลิวหลีตั้งใจ จึงพลอยตั้งใจตามไปด้วย โจวซานและโจวอู่ที่เห็นเช่นนั้นก็ต่างรู้สึกปลาบปลื้ม
“นี่คือหญ้าขี้ม้อนม่วง” โจวซานแนะนำ หลิวหลีก็จดจำอย่างตั้งใจ แล้วค้นพบว่าเหมือนเป็นวัตถุดิบที่นางเคยใช้ทำอาหารในชาติก่อน นางจึงใส่เก็บแหวนเก็บของ ทำเอาโจวซานดวงตาเป็นประกาย แหวนเก็บของนั้น หากไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรช่วงอมตะขึ้นไปจะไม่สามารถใช้ได้ ที่มาที่ไปของเด็กสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาทีเดียว
“เอาล่ะ พวกเราพักที่นี่กันก่อนเถอะ” โจวซานในฐานะพี่ชายที่แสนดี ทำภารกิจของตนไปพลางให้ความรู้แก่น้องๆ ไปพลาง การพักผ่อนถือเป็นเรื่องจำเป็น เมื่อเห็นโจวซานหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมา แล้วเทยาจำนวนหนึ่งออกมา จากนั้นก็แจกจ่ายให้น้องๆ กำลังจะให้หลิวหลีอีกเม็ด
เขาก็พลันเห็นนางหยิบห่อของเล็กๆออกมาจากแหวนเก็บของ ภายในห่อผ้ามีห่อข้าวเรียงอยู่
ส่งกลิ่นหอมโชยออกมา เม็ดยาในมือจึงค้างเติ่งอยู่เช่นนั้น
“ทุกคนมากินข้าวกันเถอะ ข้าทำมาเยอะแยะเลย” หลิวหลีพูดขึ้น บรรยากาศข้างนอกในฤดูใบไม้ผลินี่ช่างดีเหลือเกิน
“หลิวหลี เจ้าเป็นลูกหลานของสกุลใหญ่คนโตหรือ” โจวอู่ถาม
“ไม่ใช่ บิดาของข้าเป็นเพียงพ่อค้าค้าผ้าบนโลกมนุษย์” หลิวหลีพูดอย่างไม่แยแส
“แล้วเจ้าเป็นศิษย์ในสำนักหรือ” โจวอู่ยังคงถามต่อ
“เอ่อ ก็คงใช่แหละมั้ง” หลิวหลีคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบอย่างคลุมเครือ
ได้ฟังคำคอบแล้ว โจวซานและโจวอู่ก็มองตากัน ดูแล้วสถานะของนางถือว่าไม่ได้ต่ำต้อย
“หลิวหลีเจ้ามีแกนวิญญาณใดหรือ” โจวซานถาม
“แกนวิญญาณอัคคี” หลิวหลีตอบหมดเปลือก
โจวซานตกตะลึง แกนวิญญาณอัคคี แกนวิญญาณเดี่ยวธาตุอัคคี จะต้องเป็นศิษย์ในสำนักแน่ๆ หรืออาจถึงขั้นเป็นศิษย์คนสำคัญด้วย เพียงแต่นางอายุยังน้อย ต้องเรียนรู้จากโลกภายนอกด้วย อาจารย์ของนางจะต้องเป็นเจ้าหอสักคนแน่
“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านถามแปลกจริง ราวกับจะถามเรื่องบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของหลิวหลีเสียอย่างนั้น” โจวอีคิดสักครู่แล้วพูดคำนี้ขึ้นมา
แต่คำพูดที่ใช้นั้นทำให้โจวซานกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ โจวอู่เขกหัวเขาไปที โจวซือ โจวเอ๋อร์เอามือปิดหน้า โจวมั่วเอียงศีรษะมองคนสกุลโจวที่ต้องขายหน้าเพราะคำพูดที่น่าตกใจเช่นนี้ของน้องชาย
หลิวหลีกระตุกมุมปากเล็กน้อย ถ้านางไม่ได้รู้จักนิสัยของเด็กคนนี้ นางคงอยากจะถามว่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของสกุลโจวเลี้ยงเด็กแสบที่พูดจาน่าตกใจเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
“พี่รอง ท่านตีข้าทำไม” โจวอีตัวน้อยรู้สึกเสียใจ พลางเอามือลูบจุดที่โดนพี่รองตีป้อยๆ
“น้องหก พี่เคยบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าอย่าพูดจาส่งเดช” โจวซานด้วยน้ำเสียงข่มขู่ที่ไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไรนัก
เนื่องด้วยกังวลใจว่าทั้งสามคนนี้คงเด็กเกินไป พวกเขาจึงตัดสินใจส่งเด็กๆกลับไปก่อน แล้วจึงไปทำภารกิจของตนเองต่อ ขณะที่พวกเขากำลังเก็บของก็เกิดเรื่องขึ้น หลิวหลีที่กินข้าวเสร็จแล้วกำลังจะเก็บของอยู่นั้น ขณะที่นางกำลังลุกขึ้นเท้าข้างหนึ่งก็เหยียบใส่อสรพิษสีแดงตัวหนึ่ง โชคดีที่เหยียบโดนเข้าจุดตายของมันเข้า หลิวหลีตกใจกระโดดโหยง แล้วหยิบมันขึ้นมา สัมผัสที่มันเลื่อมนี้ เป็นงูจริงๆด้วย หลิวหลีกดความรู้สึกหวาดกลัวไว้ ตัดสินใจจะเอากลับไปทำซุปงูเพื่อปลอบประโลมจิตใจที่หวาดกลัวของนาง ถ้าแค่งูยังกลัว นางจะบำเพ็ญเพียรอย่างมีความสุขได้อย่างไร
เพียงแต่ใส่งูตัวนี้ลงแหวนเก็บของไม่ได้ นางจึงนำงูใส่ลงไปในกระบอกไม้ไผ่อันเล็ก จากนั้นก็กลับที่พักของตนพร้อมสหายอย่างมีความสุข และเริ่มคัดตัวอักษรก่อน จากนั้นก็เริ่มบำเพ็ญเพียร
จนบรรลุเป็นผู้ฝึกตนขั้นที่ 4 อย่างมีความสุข จากนั้นก็นำสิ่งที่ได้มาจากการเดินทางครั้งนี้ออกมา โป๊ยกั๊กก็มีแล้ว ต้นหอมก็มีแล้ว ขิงก็มีแล้ว ทั้งยังมีซานเย่าที่กลายพันธุ์ด้วย จะได้อาหารจานหลักเพิ่มอีกจานแล้ว
หลิวหลีเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก คิดขึ้นได้ว่ายังมีงูหนึ่งตัวที่ยังไม่ได้จัดการ คิดไปคิดมานางก็นำมีดเล่มเล็กออกมาเตรียม ปรากฏว่าทันที่ที่เปิดกระบอกไม้ไผ่อันเล็กออกก็เห็นหัวงูเงยหน้าขึ้นมาพอดี มือนางสั่นจนนิ้วนางถูกบาด เลือดสดๆไหลลงมาตามข้อนิ้วและหยดลงลิ้นงูอย่างพอดิบพอดี ทำให้เลือดของนางเข้าปากของงู
หลิวหลีรีบปิดฝาอย่างรวดเร็ว นี่มันงูอะไรกัน นางเหยียบโดนจุดตายแท้ๆเหตุใดจึงยังไม่ตาย ช่างน่ากลัวนักเช่นนั้นซุปงูจะทำเช่นไรดี หลิวหลีร้องออกมาอย่างไร้น้ำตา กลัวงูเป็นเรื่องธรรมชาติของหญิงสาวจะให้นางทำอย่างไร นางทำไม่ลงหรอก
“เจ้ามนุษย์โง่ เหตุใดจึงยังไม่ปล่อยข้าไปอีก”
ในขณะที่หลิวหลีกำลังบ่นพึมพำกับตัวเองก็มีเสียงดังลอยขึ้นมา
“เจ้าอยู่ไหน” มนุษย์โง่หมายถึงตนเองแหละมั้ง หลิวหลีออกจากความรู้สึกกลัวงู ใครกันไม่รู้หรือไงว่ามนุษย์ฉลาดที่สุดถึงพูดคำว่าโง่ออกมาได้
“อยู่ตรงหน้าเจ้า”
ตรงหน้า หลิวหลีมองไปทั่วก็ไม่เห็นเงาสิ่งมีชีวิตใดเลยสักนิด
“ในกระบอกไม้ไผ่ตรงหน้าเจ้า” เสียงนั้นพูดอย่างเอือมระอา
เฮ้ย กระบอกไม้ไผ่ตรงหน้า เช่นนั้นที่พูดกับข้าก็คืองูแดงตัวนั้นหรือ นี่มันไม่ตรงตามหลักวิทยาศาสตร์เลยนะ งูจะพูดได้อย่างไรกัน
“รีบเปิดกระบอกไม้ไผ่นี่ได้แล้ว” น้ำเสียงนั่นพูดอย่างร้อนรน
“ไม่เปิด ในกระบอกไม้ไผ่นั่นมีงูแดงเพียงตัวเดียวที่ข้าจะเอามาทำซุปงูนะ เจ้าอย่ามาหลอกข้า” หลิวหลีไม่เชื่อ
“เจ้ามนุษย์หน้าโง่ รีบเปิดฝาไม้ไผ่นี่ออกเสีย ไม่เช่นนั้นตัวเจ้าจะระเบิดตาย ข้าก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้นะ” น้ำเสียงฟังดูร้อนรน
ระเบิดจนตายอย่างนั้นหรือ แกล้งกันล่ะสิ หลิวหลีกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง นางก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายรุนแรงออกมาจากกระบอกไม้ไผ่นั่น พลังเซียนรอบตัวก็เริ่มก่อตัวขึ้น หลิวหลีจึงรีบเปิดฝากระบอกไม้ไผ่ออก และงูสีแดงตัวเล็กกระโดดออกมา มองเด็กสาวที่อายุน้อยตรงหน้า ข้าเกือบตายก่อนวัยอันควรเพราะโดนเด็กสาวเหยียบงั้นหรือนี่? งูแดงรู้สึกเจ็บปวดเมื่อครู่จนอยากจะฆ่าเจ้ามดตัวน้อยตรงหน้านี่ให้ตาย แต่ความจริงก็ไม่สามารถทำได้ งูแดงอดทนเค้นหยดเลือดสีแดงสดออกมา
“ดื่มเสีย”
หลิวหลีไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเหตุใดงูจึงมีเลือด นางอ้าปากดื่มมันเข้าไป จากนั้นมีกลิ่นอายลึกลับก็แผ่ยืดขยายระหว่างตัวนางและงูสีแดงตัวนั้น แล้วเกิดพันธสัญญาโบราณก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขา ถือเป็นสัญญาที่เท่าเทียมกัน
หลิวหลีเอามือลูบตราประทับเลือดบนหน้าผาก หมือนจะเป็นลายมังกร แต่เบื้องหน้าเป็นแค่งูตัวหนึ่งชัด ๆ
“เจ้าหนู เจ้ากำลังคิดอะไรไร้สาระ นับว่าเด็กอย่างเจ้ามีบุญ ตัวข้าบำเพ็ญเพียรมานับหลายหมื่นปีถือเป็นประโยชน์แก่เจ้าได้ รีบทำนั่งสมาธิเสีย ไม่เช่นนั้นพลังเซียนพวกนี้จะระเบิดเจ้าเอาได้” งูสีแดงมองเด็กสาวที่กำลังตะลึงจับหน้าผากของตน เหนื่อยใจจะพูดจริงๆ เจ้าไม่เห็นหรือว่าพลังเซียนจะหลอมละลายไปหมดแล้วยังยืนอึ้งอยู่ได้
…………………………………………………….
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 7 ไปทานอาหารกลางป่ากับสหาย
Posted by ? Views, Released on October 6, 2021
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!