แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 80 หลิวหลีเข้าสู่ช่วงลมปราณก่อนกำเนิด

“บ้าเอ้ย ใครกัน ใครมันเข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิดต่อหน้าข้า“ มีคนตะโกนเสียงขรม
“เอาเถอะ เจ้าน่ะเหรอ ฝึกไปอีกสิบปีก็อาจจะเป็นไปได้นะ” มีคนตะโกนโวยวาย
“ดูท่าทางหยิ่งยโส อย่างน้อยคนผู้นี้ต้องมีพรสวรรค์ เสียงอัสนีบาตถึงได้เสียงดังขนาดนี้”
“เหวินเซวียน เจ้าว่าคนที่เข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิดเป็นคนของห้าสกุลเราหรือไม่?” หนานกงชางฉยงถามหลงเหวินเซวียนที่อยู่ทางซ้าย
“แน่นอนอยู่แล้ว แต่เป็นใครนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักหรอก อย่างไรเสียในห้าสกุลเราก็มีศิษย์ใกล้บรรลุช่วงปราณก่อนกำเนิด” หลงเหวินเซวียนกล่าว
“พวกเรามาทายกันดีหรือไม่?” การรอคอยถึงหนึ่งเดือนนั้นแสนจะน่าเหนื่อยหน่าย หลินต้าหมิงจึงเสนอความคิดเห็น
“ได้สิ ข้าพนันด้วยหินวิญญาณคุณภาพชั้นเลิศ 1,000 ชิ้น คนที่กำลังรวบรวมปราณก่อนกำเนิดคนนี้ต้องเป็นคนสกุลจ้านของข้า” จ้านเฟิงอวี้วางเดิมพันเป็นคนแรก
“ข้าก็พนันด้วยหินวิญญาณคุณภาพชั้นเลิศ 1,000 ก้อน พนันข้างสกุลหลิน” หลินต้าหมิงกล่าว
“ข้าขอพนันด้วยภูตอาวุธ ดาบทองคู่ พนันข้างคนสกุลฮัว” ฮัวเชียนเหนียนตามมาติดๆ
“ดูเหมือนว่าจะไม่ร่วมก็คงไม่ได้แล้วสิ ข้าพนันด้วยยันต์อัสนีพันปี 1 แผ่น เดิมพันข้างสกุลหนานกง” หนานกงชางฉยงมองสถานการณ์ จะไม่พนันก็คงไม่ได้ จึงวางเดิมพันลงตามไปด้วย
“นี่หมายความว่าข้าต้องเอาด้วยใช่ไหม เอาเถอะ ข้าลงข้างสกุลหลง ด้วยยาฟื้นวิญญาณระดับ 6 คุณภาพชั้นเลิศจำนวน 1 เม็ด” หลงเหวินเซวียนเหนื่อยหน่าย
“โถ เหวินเซวียนเอ้ย หลานเจ้าเป็นนักปรุงยาระดับ 6 ว่ากันว่านางมอบยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 6 จำนวนนับร้อยให้เจ้าเป็นของขวัญยามพบหน้ากัน เจ้าเอาออกมาแค่เม็ดเดียว เกินไปหน่อยกระมัง” จ้านเฟิงอวี้พูดอย่างเจ้าเล่ห์
“ใช่แล้ว แค่ขอขมาหลานเจ้าก็ให้ยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 6 คุณภาพชั้นเลิศให้พวกเราคนละ 10 เม็ด ชักจะใจแคบเกินไปแล้ว เหวินเซวียน” ฮัวเชียนเหนียนซ้ำเติมด้วยรอยยิ้ม
“พวกเจ้ากล้าพูดได้ว่าราคายาศักดิ์สิทธิ์ของข้าถูกกว่าของพวกเจ้า เช่นนั้นข้าขอแค่ร่วมดูก็พอ” หลงเหวินเซวียนเพิกเฉยต่อพวกคนที่ไม่กินองุ่นแต่บอกว่าองุ่นเปรี้ยวพวกนั้น
ทั้งสี่คนตกอยู่ในความเงียบ เอาเถอะ ใครใช้ให้พวกเขาไม่มีหลานเป็นนักปรุงยาล่ะ
บนเขาจิ่วหัว หลิวหลียังไม่ดื่มด่ำกับความสุขในการดูดซึมเพลิงสุวรรณพรางเสร็จ ก็ถูกมิติเตะออกมาด้านนอกแล้ว หลิวหลีรีบข่มความเจ็บปวดของเส้นลมปราณรีบร้อนย้ายออกไปไกลไปหลายสิบลี้ เพื่อหาที่ลับตาคน
“ทำไมจู่ๆโม่หรานก็เตะข้าออกมา” จะบอกกันหน่อยก็ไม่ได้
“นังหนู เดิมทีการดูดซึมเพลิงสุวรรณพลางใช้พลังเซียนของมิติไปไม่น้อย ตอนนี้เจ้ารวบรวมปราณก่อนกำเนิด ยิ่งต้องการพลังเซียน มิติจึงแบกรับไม่ไหว เตะเจ้าออกมาก็ถือเป็นปกติ จู่ๆมิติก็ปริร้าว เจ้าอย่ากังวลเรื่องนี้นักเลย พลังเซียนที่เขาจิ่วหัวหนาแน่น เจ้ารีบดูดซึมเร็วๆ แล้วรีบรวบรวมปราณก่อนกำเนิดเร็วเข้า” เอ๋าเลี่ยอธิบายพลางกางค่ายกลให้หลิวหลี วิบากอัสนีบาตในการรวบรวมปราณก่อนกำเนิดของนางรุนแรงอย่างยิ่ง
หลิวหลีตระหนักถึงความสำคัญเช่นกัน จึงรีบประคองสติ โคจรเคล็ดวิชา และโคจรอัคคีเซียนของเพลิงอัคคีทั้ง 4 สีตามลำดับในเคล็ดวิชา จนจุดปราณในจุดตันเถียนของนางก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับหนึ่งแล้ว หลิวหลีรู้สึกว่ากดไปไม่ไหวแต่ก็ยังกัดฟันทำต่อ จนสุดท้ายแล้วจุดปราณของนางก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หลิวหลีอดทนต่อความเจ็บปวด ฝืนโคจรเคล็ดวิชาต่อ จนค่อยๆมีมังกรสีน้ำเงิน เขียว ม่วงและทองปรากฏกายขึ้นในจุดตันเถียนของนาง หลิวหลีมองมังกรสีรุ้งตัวจิ๋วในจุดตันเถียนของนาง เหมือนมีบางอย่างผิดปกติ มังกรตัวน้อยในจุดตันเถียนลืมตาขึ้น คายพลังเซียนสีรุ้งออกมา หลิวหลีดูดซึมจนเข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิดอย่างสมบูรณ์
ยังไม่ทันได้โล่งอก เมฆอัสนีบนท้องฟ้าเห็นเจ้าตัวรวบรวมปราณก่อกำเนิดแล้ว ก็เริ่มทำงานของตัวเอง
“บ้าจริง ทำไมเกิดวิบากอัสนีบาตอีก” อัสนีบาตสายแรกฟาดลงมา หลิวหลีกระอักควันสีดำออกมา ประมาทไปแล้ว พอถึงอัสนีบาตสายที่สอง หลิวหลีจึงรีบใช้วิชาฝ่าเท้าที่ช่วงนี้ได้เรียนรู้มาหลบหนีไป ผลคือวิบากอัสนีเลี้ยวฟาดลงเอวของหลิวหลี นี่เกลียดชังกันขนาดไหนเชียว ถึงได้ฟาดเลี้ยวลงมา ในตอนอัสนีบาตสายที่สามกำลังก่อตัว หลิวหลีก็รีบวิ่ง แต่ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน ท่าแบบไหน วิบากอัสนีก็ฟาดโดนนางอย่างแม่นยำอยู่ร่ำไป
“แค้นอะไรกันมากมายนักหนา เลี้ยวมาฟาดใส่ข้าอีกแล้ว” หลิวหลีตะโกนพลางมองบนฟ้า เจ็บจริงๆ ร่างกายนางแข็งแกร่งเทียบเท่ากับภูตอาวุธระดับกลาง ยังทนไม่ไหว หลิวหลีคำนวณคร่าวๆ ยังเหลืออีกสามสาย ไม่รู้ว่ารแถวนี้จะมีคนมาหรือไม่ นางไม่อยากเปิดเผยไพ่ไม้ตายตนเอง
“นังหนู อย่าบ่นนักเลย วางใจเถอะ ไม่มีใครมาแถวนี้หรอก ที่นี่ข้ากางแนวเขตต้องห้าม หึหึ เพราะระดับของข้าสูงเกินไป นังหนู วิบากอัสนีบาตของเจ้าแข็งแกร่งพอๆกับพลังบำเพ็ญเพียรของคนในช่วงแยกจิต นังหนูสู้ๆล่ะ” เอ๋าเลี่ยพูดจบแล้วก็หายตัวเข้าไปในมิติอสูรภูตโดยที่ไม่ให้โอกาสหลิวหลีได้โต้ตอบอะไร
หลิวหลีเหม่อลอย นางก็ว่าแล้วทำไมวิบากอัสนีบาตถึงได้แค้นนางมากมายขนาดนี้ เหตุเพราะอาเลี่ยนี่เอง แล้วมังกรที่เกิดใหม่ในจุดตันเถียนก็กระอักพลังเซียนสีรุ้งออกมาไม่น้อย หลิวหลีจึงฟื้นพลังกลับมาไม่น้อยเช่นกัน มังกรสีรุ้งก็เชื่องช้าลงไม่น้อย
ในช่วงวิบากอัสนีบาตสายที่สาม หลิวหลีปล่อยตาข่ายอัสนีจากเพลิงอัสนีคราม แต่ก็ยังมีบางส่วนฟาดโดนนางอยู่ดี หลิวหลีจิ๊ปาก หลิวหลีย่างคงจะไม่ใช่อาหารเมนูที่น่าพิสวาสนักหรอก
วิบากอัสนีบาตระลอกรองสุดท้ายฟาดลงมา หลิวหลีโยนดาบเพลิงอัคคีที่เกิดจากเพลิงบุปผาเหมันต์และเพลิงอัสนีครามออกไป จึงฟาดโดนร่างนางเพียงครึ่งเดียว หลิวหลีกระอักเลือด แย่แล้ว ฟาดลงมาแบบนี้เห็นทีนางต้องไปพบบรรพบุรุษแน่ มองวิบากอัสนีสายสุดท้ายที่กำลังก่อตัวบนฟ้า หลิวหลีกระพริบตา ตัดสินใจเดิมพัน จนวิบากอัสนีบาตสายสุดท้ายฟาดลงเสียงดังกัมปนาท หลิวหลีใช้เพลิงอัคคีทั้ง 4 ประเภทล้อมรอบร่างกายตนเอง แต่วิบากอัสนีสายสุดท้ายก็ยังคงไหลเข้าร่างนางบางส่วน หลิวหลีที่ใจกล้าแกร่งไม่พูดพร่ำทำเพลง โคจรเคล็ดวิชาเพื่อดูดซึมสายอัสนีบาต แรงทำลายล้างของสายอัสนีบาตทำให้หลิวหลีเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว
 หลิวหลีทนเจ็บดูดซับอัสนีบาตที่ทำลายเส้นลมปราณ ใช้เพลิงวิญญาณไม้ซ่อมแซมร่างกายที่บาดเจ็บ และทำเช่นนี้วนไปมาหลายสิบรอบ ก็ทำให้เส้นลมปราณของนางแข็งแกร่งมากขึ้น พลังบำเพ็ญเพียรหยุดนิ่งอยู่ที่ช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะต้น
หลิวหลีรู้สึกเหมือนเกิดใหม่ เช็ดเหงื่อที่ไม่มีจริงบนหน้า อันตรายจริงๆ ใช่แล้ว ปราณก่อนกำเนิดของนาง หลิวหลีรีบร้อนสำรวจภายในร่างกาย เฮ้อ เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก หลิวหลีมองตนเองเวอร์ชั่นเล็กจิ๋ว ในชุด 4 สี ฝึกบำเพ็ญด้วยท่าทางตึงเครียด ทำไมนางถึงจำได้ว่าปราณก่อนกำเนิดของนางเป็นมังกรตัวน้อย หรือว่าจะจำผิดไป
หลังจากวิบากอัสนีบาตผ่านไป ก็มีมังกรตัวใหญ่ปรากฏกายขึ้นบนฟ้า เปล่งประกายเป็นสีระยิบระยับถึง 4 สี
“นังหนูข้าทำลายแนวเขตต้องห้ามที่ข้ากางไว้แล้ว ออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ’ เอ๋าเลี่ยบอกอย่างร้อนรน
หลิวหลีรีบหายตัวไปทันที นางในตอนนี้ทำอะไรยากลำบากไม่ไหวจริงๆ
“ใครกำลังผ่านด่านวิบากกรรมกัน วิบากอัสนีรุนแรงขนาดนี้ รุนแรงเสียยิ่งกว่าตอนของข้าเสียอีก” จ้านอวิ๋นจิ่งมองต้นไม้ที่ล้มระเนระนาด จึงอดแขวะไม่ได้
“วิ่งเร็วมากทีเดียว ไปกันเถอะ อย่าให้โดนปล้นเลย” หลินเสี่ยวเจียงดูเสร็จก็รีบออกไป
“ต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจแน่ๆ เสียดายที่หนีไปได้” ฮัวจิงเฟยพูดด้วยความเสียดาย
“วิบากอัสนีบาตนั่นดูคุ้นตาทีเดียว น่าจะเป็นหลิวหลี แต่คงไม่ใช่กระมัง ไม่เห็นเคยได้ยินว่าแถวนี้มีเพลิงอัคคี” หนานกงเวิ่นเทียนทะเลาะกับตัวเองในใจ แต่ก็เดินไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่นานขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีข่าวคราวของน้องหลิวหลี ไม่รู้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง” หลงเทียนอี้เดินมาดูแล้ว เมื่อนึกถึงหลิวหลีที่เงียบหายไปเลยก็ชวนให้ปวดหัว
หลิวหลีทำเรื่องชวนเขย่าประสาทเสร็จแล้ว ก็หาที่เงียบๆ เพื่อดูดซึมพลังเซียนที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย
บิดขี้เกียจหนักๆ สบายจริงๆ
“นังหนู ดีใจด้วย ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญช่วงปราณก่อนกำเนิดแล้ว” เอ๋าเลี่ยไม่ค่อยพอใจในตัวคู่พันธสัญญาคนนี้นัก
“เรื่องนี้มาออกจะกระทันหันเกินไป”
“นังหนู ยังเหลือเวลาอีก 5 วัน”
5 วัน! นางยังแย่งป้ายหยกมาไม่ได้สักชิ้นเลยด้วยซ้ำ
“อาเลี่ย เจ้าต้องช่วยข้านะ” หลิวหลีกุมมือเอ๋าเลี่ยพลางพูด ทำไมถึงเหลือเวลาอีกแค่ 5 วันเท่านั้นเอง แย่แล้วนางจะต้องเข้าไปในแดนลี้ลับให้ได้
………………………………………..

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset