“นังหนู ได้ป้ายหยกมากี่ชิ้นแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องนี้
“7 ชิ้น” หลิวหลีทำมือ
“เยอะกว่าข้าอีก ข้า 6 ชิ้นเอง”
“นังหนู คนที่บรรลุช่วงปราณก่อนกำเนิดก่อนหน้านี้คือเจ้าใช่ไหม” หนานกงเวิ่นเทียนมองพลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีไม่ออก ก็รู้สึกประหลาดใจ พรสวรรค์ของนังหนูเกินคนจริง ๆ เขาจะต้องพยายามมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นก็จะตามนังหนูไม่ทัน
“ใช่ ข้าเอง”
“พูดไปแล้ว นังหนูเจ้าหาเพลิงอัคคีชนิดที่ 4 เจอแล้วเหรอ” ครั้งนี้อย่าว่าจะสู้กันเลย แค่ลองดูก็คงไม่ได้
“อ้อ จริงด้วย” หลิวหลียื่นมือออกมา ปรากฏเพลิงสีทองเต้นระเร่าบนมือ
“เพลิงสุวรรณพราง” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกประหลาดใจ ไม่เคยได้ยินว่าที่นี่มีเพลิงอัคคีชนิดนี้ด้วย
“ท่านอาเอ๋าเลี่ย คิดไม่ถึงจริงๆว่าท่านก็จะตามเข้ามาด้วย” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูด นางคิดว่าเอ๋าเลี่ยไม่สนใจการแข่งขันพวกนี้เสียอีก
“เอ่อ รู้สึกไม่ค่อยวางใจนังหนู” ในฐานะที่เป็นคู่พันธสัญญาของทั้งสองคน นายทั้งสองไปแสดงความรักต่อกันอยู่ พวกเขาที่เป็นเพื่อนเก่ากันมานานก็เลยมานั่งพูดคุยกัน
“โถ่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ท่านอาเอ๋าเลี่ยจะใจอ่อน” ใครจะไปคิดว่าคนที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกอย่างเทพแห่งสงครามจะมีวันที่ใจอ่อนล่ะ ถ้าไม่ใช่ในแววตาสะท้อนความเอ็นดูต่อหลิวหลี เป็นแบบผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก เฟิ่งอิงเสวี่ยก็คงจะคิดว่านายท่านของนางมีมารหัวใจเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วสิ
“เอิ่ม ก็เป็นเด็กที่เห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ก็จะใจอ่อนด้วยมากเป็นพิเศษน่ะสิ” เอ๋าเลี่ยเห็นหลิวหลีตั้งแต่เป็นซาลาเปาน้อยอายุ 6 ขวบจนตอนนี้กลายสาวน้อยผู้เลอโฉมแล้ว
เฟิ่งอิงเสวี่ยเห็นด้วยในจุดนี้ สำหรับนางแล้ว หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน ถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจเลยก็คือ นางอยู่กับหนานกงเวิ่นเทียนนานกว่าพ่อแม่ของเขาเสียอีก
เอ๋าเลี่ยก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ทันใดนั้นก็มองไปที่เฟิ่งอิงเสวี่ยที่อยู่ข้าง ๆ ผมสีขาวพลิ้วไสว บวกกับท่าทีที่เยือกเย็น เอ๋าเลี่ยก็นึกถึงคำพูดหยอกล้อของหลิวหลีขึ้นมาในทันที อย่ามัวแต่มองดูหญ้าข้างบ้าน ไม่แน่ว่าข้างนอกอาจจะมีคนที่เหมาะสมอยู่ก็ได้ เขาอาจจะลองดูหน่อยก็ได้ไม่แน่ อย่างไรเสียตอนนี้ในสายตาของหลิวหลีก็มีแต่เด็กหนานกงเวิ่นเทียนคนนั้น
“จริงสิ” อยู่ๆหลิวหลีก็คิดอะไรออก นางนำชุดกระโปรงออกมาจากถุงเก็บของ พอร่ายมนตร์ ชุดนั้นก็มาอยู่บนตัวนาง หลิวหลีจึงหมุนตัวเป็นวงกลม
“สวยไหม”
“สวยมาก” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกตกตะลึง ที่อยู่ๆนางก็เปลี่ยนชุด แล้วก็รู้สึกประหลาดใจกับความงามตรงหน้า สาวน้อยหน้าตาสะสวย รอยยิ้มสดใส ราวกับมีลมเย็นๆพัดผ่านหัวใจของเขา รูปร่างสมส่วน ผมยาวพลิ้วปลิวไสว ราวกับสาวงามที่อยู่ในภาพวาด
“จริงหรือ?” หลิวหลีมองหนานกงเวิ่นเทียนด้วยสายตาเป็นประกาย เมื่อเห็นหนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า
“ดีจังเลย นี่เป็นของแทนคำขอบคุณจากฮัวจิงเฟย เข้ากับทรงผมที่เสี่ยวเทียนทำให้พอดีเลย” หลิวหลีพูดอย่างลิงโลด ไม่ทันได้สังเกตคำว่า ฮัวจิงเฟยทำให้หนานกงเวิ่นเทียนหน้าเปลี่ยนสี
“นังหนู ไม่ว่าตรงไหนเจ้าก็ดูดี เพียงแต่กระโปรงนี้ไม่ค่อยเหมาะ รอออกไปก่อน ข้าจะซื้อให้เจ้า อีกหน่อยอย่าไปรับเสื้อผ้ามามั่วๆ ใครจะรู้ว่าเคยมีคนใส่มาก่อนรึเปล่าก็ไม่รู้” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“จริงหรือ ข้าก็รู้สึกว่ากระโปรงอันนี้ดูระเกะระกะไปนิด ถ้าต่อสู้ขึ้นมาคงจะไม่สะดวกแน่” หลิวหลีรีบเปลี่ยนกลับไปใส่ชุดผู้ชายอย่างว่าง่าย
หนานกงเวิ่นเทียนกัดฟันสายตาจับจ้องไปที่ชุดกระโปรง ถึงขนาดกล้าเข้ามายุ่งกับผู้หญิงของเขา ภายหลังทั้งสองต่อสู้กันบนสังเวียน ใบหน้าของฮัวจิงเฟยถูกหนานกงเวิ่นเทียนตีจนฟกช้ำดำเขียวไปหมด เขายังไม่เข้าใจว่าตัวเองไปทำให้หนานกงเวิ่นเทียนผู้ที่ไม่เคยคุยกันเลยสักครั้งโกรธตอนไหน จนกระทั่งถึงวันที่ได้คำเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานของหนานกงเวิ่นเทียนกับหลิวหลี อีกทั้งยังรู้ว่าชุดผู้หญิงชุดแรกที่หลิวหลีใส่คือชุดที่เขามอบให้ ก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาลางๆ
วันเวลาที่เหลืออยู่ หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนก็ไม่ได้ไปหาป้ายหยก ในช่วงนี้ หนานกงเวิ่นเทียนอยู่เป็นคู่ซ้อมให้กับหลิวหลี แล้วพบว่าพรสวรรค์ของนางช่างน่ากลัวจริงๆ เมื่อมองดูหลิวหลีที่ฝีมือพอกัน หนานกงเวิ่นเทียนก็ยิ้มเศร้า นี่ไม่ต้องให้ถึงมือท่านเอ๋าเลี่ย เขาก็ยังลำบากแล้ว นางยังไม่ได้ใช้เพลิงอัคคีเลยด้วยซ้ำ หนานกงเวิ่นเทียนก็ยังรู้สึกกดดันอย่างมาก
ว่าที่ฮูหยินของเขาช่างโหดร้ายจริงๆ เขาจะไม่พยายามไม่ได้แล้ว
พอถึงวันที่ครบกำหนด ทุกคนถูกเรียกออกมาจากเขาจิ่วหัว หลิวหลีรู้สึกได้ว่าทุกคนต่างมองมาที่นาง ทำไมนางมีอะไรน่ามองนักหรือ
“ซินเยว่” หลงเหวินเซวียนเห็นทรงผมของหลิวหลี ก็มักจะน้ำตาคลอเบ้า เหมือนมากกว่าเดิมเสียอีก
“สุดยอด ช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะต้น” จ้านเฟิงอวี้อดที่จะพูดออกมาไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าจู่ๆบ้านสกุลหลงก็จะมีนักปรุงยาโผล่ออกมา
“เสียเปรียบสุดๆ” หลินต้าหมิงมองหลิวหลีแล้วพูดขึ้น
“ใช่ ม้ามืดที่อยู่ดีๆก็โผล่มา” ในใจของฮัวเชียวหนิวกลับพูดว่า สมกับเป็นไพ่ใบสุดท้ายของบ้านสกุลหลง อายุเพียงแค่ 20 ปี ก็อยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดแล้ว
“เอ่อ นังหนูคนนี้ยิ่งเหมือนซินเยว่ไปทุกที” หนานกงชางฉยงพูดพลางทอดถอนใจ
หลิวหลีไม่รู้เรื่องอะไรเลย นางไม่ใช่สัตว์ประดับ กรรมการอยู่ไหน ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี
“แค่ก แค่ก เอาล่ะ เอาป้ายหยกใส่ในถุงเก็บของแล้วส่งมา”
“เอาล่ะ ประกาศผลการแข่งขัน”
“ที่หนึ่ง จ้านอวิ๋นจุนจากสกุลจ้าน 9 ชิ้น”
“ที่สอง มีสองคน ฮัวจิงเฟยจากสกุลฮัว และหลงหลิวหลีจากสกุลหลง 8 ชิ้น”
“สุดยอด นักปรุงยาโหดกันอย่างนี้ทุกคนเลยหรือ หรือใช้ยาศักดิ์สิทธิ์ติดสินบนมาใช่ไหม”
“ไม่ได้หรอก จำกัดจำนวนยาศักดิ์สิทธิ์ที่จะนำเข้าไปได้”
คนด้านล่างถกเถียงกันไม่หยุด สีหน้าของคนทั้งห้าสกุลไม่สู้ดีนัก เพราะหากไม่มีหลิวหลีล่ะก็ สกุลหลงคงขายหน้าไปแล้ว อีก 4 สกุลที่เหลือเห็นหลิวหลีเป็นศัตรูที่น่ากลัว
“ลำดับที่สี่ หนานกงเวิ่นเทียนจากสกุลหนานกง 6 ชิ้น”
“ลำดับที่ห้า หลินเสี่ยวเจียงจากสกุลหลิน 5 ชิ้น”
“ลำดับที่หก หลงเทียนอี้จากสกุลหลง 4 ชิ้น”
หลงเหวินเซวียนแอบปาดเหงื่อในใจเบาๆ ยังดีที่หลานสาวของเขามีความสามารถ ไม่เช่นนั้นคงจะต้องขายหน้าแน่
“ลำดับที่เจ็ด ฮัวจิงเฟยจากสกุลฮัว 2 ชิ้น”
“ลำดับที่แปด มีแปดคน จ้านอวิ๋นจิ่ง จ้านอวิ๋นเยียน ฮัวจิงซวี่ หลินเสียวเสี่ยว หลินเสี่ยวหยาง หนานกงชานเทียน หนานกงเหลยเทียน หลงเทียนเสียง”
“15 คนนี้จะเข้าสู่การแข่งขันจัดอันดับระหว่างสกุลรอบสุดท้าย มีเพียงแค่ 10 คนแรกเท่านั้นที่จะได้ไปแดนลี้ลับโลกอสูรเทพ”
“เรือเกือบจะล่มในคลองระบายน้ำแล้ว” จ้านอวิ๋นจิงหน้าดำคล้ำ
“ไม่สามารถตัดสินคนจากภายนอกได้จริงๆ” หลินเสียวเสี่ยวพูดขึ้นพลางมองหลิวหลี
“พวกข้าก็คำนวนพลาดไป” ฮัวจิงหงมองหลิวหลี แล้วก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้หักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับล่างด้วยมือเปล่าได้อย่างไร ทำให้เขาไม่กล้ามองใบหน้างดงามนี้ตรงๆ
“คิดไม่ถึงเลยว่านักปรุงยาที่ดูอ้อนแอ้นของสกุลหลงจะคมในฝักเช่นนี้” หนานกงเหลยเทียนพูดพลางถอนหายใจ
“จะว่าไปแล้ว ข้ามีหยก 7 ชิ้นไม่ใช่หรือ ทำไมถึงกลายเป็น 8 ชิ้น” หลิวหลีสงสัย นางแย่งมาแค่ 7 ชิ้นชัดๆ
“นังหนู ป้ายหยกของเจ้าไม่ใช่หยกหรืออย่างไร” สติปัญญาแบบนี้คงจะไม่มีใครอีกแล้ว
“ของตัวเองก็นับหรือ?” หลิวหลีดูเหมือนจะลืมอะไรไป
“อ้าว หยกประจำสกุลจ้านของข้าอยู่ที่สกุลฮัว เดี๋ยวรอบคัดออกข้าจะจัดการเขาให้หนักเลย”
“หยกประจำสกุลฮัวของข้าอยู่ที่สกุลหลิน ไหนบอกว่าจะเป็นพันธมิตรกันอย่างไร”
“หยกประจำสกุลหลินของข้าอยู่ที่บ้านสกุลจ้าน น่าเจ็บใจนัก”
ทั้ง 3 สกุลอยู่ๆก็ทำหยกประจำสกุลหาย แล้วพบว่ามันไปอยู่กับคนอื่น พวกเขาสาบานว่าในรอบคัดออกจะจัดการพวกนั้นหนักแน่ ในฐานะที่หลิวหลีเป็นคนเริ่มเรื่องทั้งหมดเพิ่งจะเข้าใจว่าหยกนับจากจำนวน ไม่ว่าหยกนั้นจะเป็นของตัวเองหรือไม่ก็ตาม หลิวหลีเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง นางคงจะคิดมากไป
“คิดไม่ถึงเลย พวกเราต่างก็มองผิดไป น้องหลิวหลีเป็นคนที่คมในฝักจริงๆไม่แสดงออกมาเลย” หลงเทียนหลิงพูดด้วยความเสียใจเล็กน้อย
“ใช่ ดูท่าแล้ว พวกเราคงเป็นแค่ตัวประกอบ” หลงเทียนเสียงกล่าว
“ไม่ว่าอย่างไร หลิวหลีก็เป็นคนของสกุลหลง” หลงเทียนอี้กล่าว
“ต่อไปจะเป็นการแข่งขันแบบทีม คัดออกทีเดียว 5 คน ประลองบนลานประลอง คนที่ตกลงไปก่อนก็จะหมดสิทธิ์ในการแข่งขันทันที” กรรมการกล่าว
หลิวหลีรู้สึกท่าไม่ดีแล้ว คนพวกนั้นจะต้องร่วมมือกันมาจัดการสกุลหลงแน่ น่ากลัวเหลือเกิน
“เดี๋ยวพวกเจ้าทั้งสองคนตามข้าไว้นะ” หลิวหลีกำชับ
“หลิวหลี เจ้ากลัวว่าอีก 4 สกุลที่เหลือจะร่วมมือกันจัดการเราหรือ” หลงเทียนอี้เอ่ย
“มีความเป็นไปได้สูงมาก เพียงแต่ว่า โอกาสที่พวกเขาจะมาจัดการกับข้ามีสูงกว่า เพราะอย่างไรเสียข้าก็เป็นแค่นักปรุงยาที่เป็นนักต่อสู้ขยะ” หลิวหลีพูดวิเคราะห์
“นักต่อสู้ขยะ” หลงเทียนอี้กับหลงเทียนเสียงพูดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ฮ่าฮ่า หากว่าสามารถหักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับล่างได้ด้วยมือเปล่าคือนักต่อสู้ขยะ ถ้าอย่างนั้นพวกเขาจะเป็นอะไรล่ะ นักต่อสู้ที่เป็นที่สุดของความเหลวแหลก?
“สรุปคือต้องระวัง” หลิวหลีกระพริบตา นักปรุงยาในสายตาของคนทั่วไปไร้ค่าไม่ใช่หรือ
ผลก็คือ หลิวหลีมีพรสวรรค์ในด้านการคำนวน สี่สกุลที่เหลือร่วมมือกันมาจัดการกับบ้านสกุลหลงก่อนจริงๆ หลงเทียนอี้เห็นเข้าก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
หลิวหลีคว้าหลงเทียนอี้ที่เกือบจะถูกผลักตกลงไป ดึงหลงเทียนเสียงที่เกือบจะถูกโยนลงไปเช่นกัน จากนั้นก็ใช้ขาถีบ ฮัวจิงซวี่จากสกุลฮัว เขาถูกหลิวหลีถีบตกลงไป ทุกคนยังไม่ทันตั้งสติ นี่คือนักปรุงยาที่เป็นขยะหรือนี่ ขอร้อง อย่ามาล้อเล่นเลย
เมื่อโยนทั้งสองคนอยู่รวมกันแล้ว จ้านอวิ๋นจวินฉวยโอกาสโยนหลินเสี่ยวหยางจากสกุลหลินลงจากลานประลอง เมื่อพันธมิตรแตกสลาย จึงเริ่มเกิดความวุ่นวาย ฮัวจิงซวี่ยืนอยู่ข้างๆมีท่าทีเลิ่กลั่ก บอกแล้วว่าหลงหลิวหลีไม่ใช่นักปรุงยาที่อ่อนแอ
ในความวุ่นวาย หลิวหลีก็เอามือไปจับจ้านอวิ๋นจิ่ง เมื่อเห็นจ้านอวิ๋นจิ่งกำลังจะโดนโยนลงไป จ้านอวิ๋นเยียนก็เข้ามาบังให้จ้านอวิ๋นจิ่งแล้วลงไปแทน ในตอนที่หลิวหลีลงมือกับจ้านอวิ๋นจิ่ง คนอื่นก็ลงมือกับสองพี่น้องบ้านสกุลหลงเช่นกัน หลงเทียนเสียงถูกโยนออกไป หนานกงชานเทียนถูกคนสกุลหลินกับสกุลฮัวร่วมมือกันโยนออกไป บนลานประลองก็เหลือจำนวนผู้เข้าแข่งขัน 10 คนพอดี กรรมการก็ประกาศหยุดการแข่งขัน
“ผู้เข้าแข่งขันบนลานประลองทั้ง 10 คนจะเข้าสู่การแข่งขันจัดอันดับระหว่างสกุล”
“โถ่ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวคนนั้น เจ้าตกลงไปแล้ว” หลิวหลีพูดลอดไรฟัน
“อย่าฟังคำพูดของนาง อวิ๋นจิ่ง ข้ารู้สึกมาตลอดว่าหากอวิ๋นจิ่งไปที่แดนลี้ลับจะต้องได้อะไรกลับมามากกว่าข้าแน่” จ้านอวิ๋นเยียนดึงจ้านอวิ๋นจิ่งที่กำลังจะระเบิดอารมณ์เอาไว้
หลิวหลีลูบคางตัวเอง ต้องมีอะไรแน่
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 82 หลิวหลีผู้คมในฝัก
Posted by ? Views, Released on October 6, 2021
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!