เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่อยู่ใน 10 อันดับแรกการประลอง ต่างพากันตามผู้นำสกุลของตัวเองมายังประตูทางเข้าแดนลี้ลับอสูรเทพ แดนลี้ลับแห่งนี้จำเป็นต้องอาศัยห้าสกุล กับลูกหลานของอสูรเทพทั้งห้า ผนึกกำลังกันจึงจะสามารถเปิดแดนนี้ได้ อีกทั้งต้องรออีกปีหนึ่งถึงจะกลับออกมาได้ ต้องใช้พลังมหาศาลห้าสกุลและอสูรเทพทั้งห้าเผ่าได้ตกลงกันว่าจะเปิดแดนแห่งนี้ในทุกร้อยปี
“ที่นี่ก็คือที่ตั้งของแดนลี้ลับอสูรเทพ พวกเจ้าจะพัฒนาไปได้แค่ไหนก็อยู่ที่ตัวของพวกเจ้าเองแล้ว” หลงเหวินเซวียนพูดขึ้นในฐานะผู้นำคนใหม่ของทั้งห้าสกุล
ผู้นำของห้าสกุลหยิบป้ายหยกออกมา โบกมือไม้แล้วอสูรเทพทั้งห้าคายพลังชีวิตของตัวเองลงไป ป้ายหยก 5 ชิ้นส่องแสงเปล่งประกาย และประตูบานใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนช้าๆ
“รีบเข้าไปเถอะ มีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น” หลงเหวินเซวียนตะโกน
ทั้ง 10 คนทยอยเข้าสู่อุโมงค์ แสงสว่างค่อยๆหายไป และป้ายหยกทั้งหมดก็กลับเข้ามาอยู่ในมือของผู้นำสกุลดังเดิม หลงเหวินเซวียนเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าจ้านเฟิงอวี้ที่เหมือนมีอะไรอยากจะพูดด้วยสักนิด ทำให้จ้านเฟิงอวี้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก เมื่อสามคนที่เหลือเห็นว่าสหายที่สนิทสนมกันมานานหลายปีทะเลาะกันเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงตบไหล่ให้กำลังใจจ้านเฟิงอวี้เท่านั้น
ภายในแดนลี้ลับอสูรเทพ หลิวหลีตื่นก่อนเป็นคนแรก พลังงานภายในแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาด ทุกคนต่างก็ไม่ได้สติล้มลงไป หลิวหลีส่ายหัวเบา ๆ นี่ใคร ช่างโรคจิตจริงๆ ทำอุโมงค์เข้ามาแบบนี้ กะจะให้ลูกหลานอย่างพวกเขาไปเฝ้าเทพเจ้าก่อนวัยอันควรหรืออย่างไร
หลิวหลีนั่งทำสมาธิอยู่ข้างๆเพื่อรอคนพวกนี้ฟื้นขึ้นมา หนานกงเวิ่นเทียนกุมหน้าผากมึนๆของตัวเองตื่นขึ้นมา ที่นี่ที่ไหนกัน
“หลิวหลี”
“สมแล้วที่เป็นเสี่ยวเทียน ฟื้นขึ้นมาเป็นคนที่สองเลยนะ พลังบำเพ็ญเพียรแบบข้าเลย อยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลาง” เสียงของหลิวหลีแฝงไปด้วยความประหลาดใจ หนานกงเวิ่นเทียนยิ้มเจื่อน เขาต้องผ่านอะไรมามากมายขนาดไหนถึงจะสามารถเข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางได้ แต่ดูเหมือนนางจะบรรลุช่วงพลังได้เร็วกว่าเขา
“หลิวหลี ไม่มีใครพูดจาโจมตีคนอื่นได้เช่นเจ้า” หนานกงเวิ่นเทียนพูดปลงๆ
เดิมคิดจะพูดอะไรต่ออีกสักหน่อย แต่ทุกคนก็ทยอยฟื้นกันขึ้นมาแล้วต่างจับจ้องไปที่หลิวหลี จ้านอวิ๋นจิ่งรู้สึกหวาดกลัว จ้านอวิ๋นจุนรู้สึกสับสน คนผู้นี้มีสายเลือดสกุลจ้านอยู่ครึ่งหนึ่ง เมื่อนึกถึงท่านอาที่เสียสติ จ้านอวิ๋นจุนอ้าปากพะงาบๆอยู่หลายทีแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
“จะเดินทางกันอย่างไร จะไปด้วยกันหรือจะแยกกันไป” หลิวหลีซึ่งเป็นลำดับแรก มีสิทธิ์มีเสียงในการพูด นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมา
“ไปด้วยกันเถอะ” หลินเสี่ยวเสี่ยวในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้หญิงสองคนเอ่ยขึ้น
“ไปด้วยกัน ข้าอยากจะทำความรู้จักนางฟ้าของข้าให้มากขึ้น นางฟ้าจะได้รู้จักข้าให้มากขึ้นด้วย” ฮัวจิงเฟยตัดสินใจยืนกรานจะเดินทางไปกับนางฟ้าของเขาไป
“ไปด้วยกัน” หนานกงเหลยเทียนพูดขึ้น เขาจะไม่มีทางพลาดเป็นอันขาดเพราะสายตาของเวิ่นเทียนแทบจะงอกอยู่บนตัวเด็กปีศาจบ้านสกุลหลงนั่นอยู่แล้ว
“ไปด้วยกัน” แน่นอนว่าหลงเทียนอี้ย่อมรู้สึกว่าไปด้วยกันจะดีกว่า
“ไปด้วยกันเถอะ” จ้านอวิ๋นจุนกล่าว
“ได้ แต่อาจจะต้องขอให้คนสกุลจ้านเดินเป็นรั้งท้าย จะให้ดีช่วยห่างจากข้าสัก 5 เมตร” ความไม่อยากจะสุงสิงด้วยอย่างเปิดเผยของหลิวหลี ทำให้จ้านอวิ๋นจิ่งกับจ้านอวิ๋นจุนถึงกับชะงักไป คิดไม่ถึงเลยว่าหลิวหลีจะไม่ไว้หน้ากันขนาดนี้ หลิวหลีไม่สนใจหรอก เกียรติยศต้องไขว่คว้ามาไม่ใช่รอให้คนอื่นยื่นให้
ผลการตัดสินใจครั้งสุดท้ายคือหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนเดินอยู่ด้านหน้า ด้านหลังคือพี่น้องบ้านสกุลฮัว ถัดมาคือหนานกงเหลยเทียนกับหลงเทียนอี้ที่ต้องจับกลุ่มกันชั่วคราว ส่วนสองพี่น้องสกุลหลินเดินตามมาและรั้งท้ายด้วยพี่น้องสกุลจ้าน
รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้สูงเสียดฟ้า สัตว์ปีกสัตว์บกที่ไม่รู้จักผ่านมาให้เห็นเป็นระยะ สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือสถานที่ที่พวกเขาสลบไปตรงนั้น พอเดินเข้ามาให้ความรู้สึกเหมือนมาเยือนยุคดึกดำบรรพ์
สิ่งของที่เคยคุ้นก็ไม่มีใครกล้าไปแตะต้องอีก แค่ดูจากหน้าบวมๆของหลินเสี่ยวเจียงก็รู้แล้ว
หลินเสี่ยวเจียงเห็นพืชศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองคุ้นเคยก็คิดไปว่าน่าจะมีอายุกว่าหมื่นปี จึงเดินออกจากกลุ่มไปเด็ดซี้ซั้ว สรุปคือโดนน้ำผลไม้พ่นใส่เต็มหน้า หลังจากนั้นหน้าก็บวมเป่งเป็นหัวหมูเลย
“หลิวหลี ไม่มีวิธีช่วยลดบวมให้เสี่ยวเจียงเลยหรือ” หลินเสี่ยวเสี่ยวถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่ว่าพวกเจ้าแตกกลุ่ม ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องจับกลุ่มกัน” หลิวหลีจับคางที่บวมเป่งของหลินเสี่ยวเจียงแล้วพูดขึ้น
“ทีหลังจะไม่ทำแล้ว หลิวหลีเจ้าช่วยรักษาใบหน้าของเสี่ยวเจียงหน่อยเถอะนะ” เสี่ยวเสี่ยวรู้สึกอึดอัดใจ ที่นี่น่ากลัวมากจริงๆ
“ก็ได้ หวังว่าพวกเจ้าจะจำบทเรียนในครั้งนี้ให้ดี หากออกจากกลุ่มไปโดยพลการ อย่าหาว่าข้าไม่ช่วยอีกก็แล้วกัน” ประโยคสุดท้ายหลิวหลีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากนั้นก็โยนยาให้หลินเสี่ยวเสี่ยวหนึ่งเม็ด
“ทั้งๆที่อายุน้อยกว่าพวกเราตั้งครึ่งหนึ่ง แต่กลับน่ากลัวจริงๆ” ฮัวจิงหงบ่นพึมพำ
คนอื่นพยักหน้าตามอย่างอดไม่ได้ และในทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าอายุไม่ได้มีประโยชน์อะไร
หลังจากนั้นทุกคนก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เพียงแต่ว่าเดินมานานเท่าไรก็ยังคงอยู่ในป่าผืนเดิม หลิวหลีจึงให้ทุกคนพักผ่อน แต่ตัวนางกลับคิดอะไรบางอย่างอยู่
“หลิวหลี เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นหลิวหลีไม่ไปพัก จึงอดถามนางไม่ไ่ด้
“กำลังคิดถึงความหมายของแดนลี้ลับแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเรามาไม่ถูกทาง” หลิวหลีมองดูรอบ ๆ แล้วพูดขึ้น
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร หรือมีวิธีอะไรหรือไม่” หลงเทียนอี้ถาม บทสนทนาของทั้งสองทำให้ทุกคนหยุดการนั่งสมาธิ หันมาฟังว่าน้องสาวผู้มากความคิดคนนี้จะพูดว่าอย่างไร
“ข้าเพียงคาดเดาเท่านั้น ไม่แน่ว่าจะถูกต้องเสมอไป ทุกคนลองฟังดู ในเมื่อที่นี่เป็นแดนลี้ลับอสูรเทพถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็คงหมายถึงอสูรเทพทั้งห้าเผ่า
ข้ากำลังคิดว่าถ้าพวกเราเดินกันอย่างไร้ทิศทางแบบนี้คงไม่ใช่จะไม่ดีนัก เราควรปล่อยอสูรเทพออกมา ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะสามารถสัมผัสอะไรได้” หลิวหลีวิเคราะห์
“ลองดูได้นะ” ทั้ง 9 คนนิ่งไปเล็กน้อย หนานกงเวิ่นเทียนเห็นด้วยเป็นคนแรก
“แปลว่าทุกคนต้องปล่อยคู่พันธสัญญาออกมาหรือ” ฮัวจิงเฟยถาม
“ไม่ต้อง สกุลละตัวก็พอ” หลิวหลีคิดแล้วก็พูดขึ้น
ของสกุลหลงเป็นมังกรเขียวของหลงเทียนอี้ สกุลหนานกงเป็นหงส์เหมันต์ของเวิ่นเทียน สกุลฮัวเป็นพยัคฆ์ทมิฬของฮัวจิงเฟย สกุลหลินเป็นเต่าดำพสุธาของหลินเสี่ยวเจียง และของสกุลจ้านเป็นกิเลนดำของจ้านอวิ๋นจิ่ง เหมือนว่าอสูรเทพทั้งห้าจะสนใจทิศทางหนึ่งเป็นพิเศษ
“ตรงนั้นหรือ ดูใช้ได้ทีเดียว ลองไปดูหน่อยแล้วกัน” หลิวหลีเอ่ยขึ้นขณะมองยังทิศทางดังกล่าว
ทั้งหมดเดินไปตามทางที่เหล่าอสูรเทพบอกอย่างรวดเร็ว มองบรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ด้านนอกนั่นมีไว้แกล้งคนจริงๆ บรรยากาศตรงนี้ค่อยดูปกติขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยที่สุดก็บอกพวกเขาว่าพวกเขายังอยู่ในโลกบำเพ็ญ ไม่ได้ออกไปในโลกที่แปลกพิสดาร
“นางฟ้า ท่านคิดออกได้อย่างไร” ฮัวจิงเฟยถาม
“เรื่องนี้หรือ ข้าแค่คิดว่าการจะเปิดแดนลี้ลับนี้ได้จะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากอสูรเทพทั้งห้า ว่าแต่พวกเจ้าต่างก็เป็นยอดฝีมือของแต่ละสกุลไม่ใช่หรือ และจะเปิดในทุกร้อยปี เรื่องนี้พวกเจ้าน่าจะรู้กันใช่ไหม อย่างน้อยก็น่าจะรู้มากกว่าคนที่เพิ่งโผล่เข้ามาร่วมวงศาคณาญาติอย่างข้า” หลิวหลีมองทั้งเก้าคนที่เหลืออย่างงุนงง
เอ่อ คนที่กำลังก้มหน้าก็ก้มหน้าต่อไป ส่วนคนที่แหงนหน้ามองฟ้าก็เสสายตามองไปรอบๆ จะพูดอย่างไรดี ผู้นำสกุลของพวกเขาหันไปสนใจเรื่องสายสัมพันธ์ประหลาดระหว่างสกุลหลงและจ้าน ก็เลยลืมบอกพวกเขา
“แย่แล้ว ลืมบอกเทียนอี้กับหลิวหลีว่าจะต้องหาตำแหน่งอย่างไร” หลงเหวินเซวียนกุมหน้าผาก โดยเหตุการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับสี่สกุลที่เหลือเช่นกัน หวังว่าคนรุ่นนี้จะไม่เอาแต่สู้รบนะ อย่างน้อยก็คงจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา
“ที่นี่น่าจะเป็นที่ที่เราควรจะมา” ฮัวจิงหงกล่าว
“ไม่เลวเลยจริงๆ รู้สึกว่าพอหายใจเข้าไปแล้ว พลังเซียนภายในร่างกายก็เคลื่อนไหวไม่หยุด” หลงเทียนอี้กล่าว
“เชื่อว่าอยู่ที่หนึ่งปี ข้าจะต้องก้าวหน้ามากขึ้นแน่ๆ อย่างน้อยพอออกไปแล้วพลังบำเพ็ญจะต้องอยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางแน่” หลินเสี่ยวเจียงพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ
หลิวหลีเบะปาก ช่างไม่มีความทะเยอทะยานเลยจริง ๆ ออกไปจากที่นี่ อย่างน้อยก็ต้องบรรลุช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะปลายขั้นสุดยอด ถ้าบรรลุถึงช่วงแยกจิตคงกำลังดี แต่น่าเสียดายใครจะรู้ว่าที่นี่มีเพลิงอัคคีหรือไม่
……………………………………………………….
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 91 เข้าสู่แดนลี้ลับอสูรเทพ
Posted by ? Views, Released on October 6, 2021
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!