“พวกเราจะเชื่อฟังเจ้า” ทุกคนพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน รวมไปถึงจ้านอวิ๋นจิ่งที่โดนไปรอบที่แล้ว ครั้งนี้เขาตัดสินใจแล้วไม่ว่าหลิวหลีจะว่าอย่างไรเขาก็จะว่าตามนั้น หลิวหลีบอกไปทางตะวันออก เขาก็จะไม่มีทางไปทางตะวันตกเด็ดขาด หลิวหลีบอกให้ฆ่าคน เขาก็จะไม่มีทางไปวางเพลิง เดี๋ยวนะ…ทำไมถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้อง
“ดีมาก ตอนนี้ทุกคนฟื้นฟูร่างกายกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” หลิวหลีถาม
“อืม เรียบร้อยแล้ว” อาศัยบารมีของหลิวหลี ถ้าหากพวกเขายังไม่สามารถแยกแยะได้อีกล่ะก็ สมควรโดนตีแล้วจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราควรมาคิดกันว่าควรเดินไปทางไหน อาเลี่ย เจ้ามีตำแหน่งคร่าวๆไหม” หลิวหลีครุ่นคิดแล้วจึงถามเอ๋าเลี่ยเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง
“อืม ไม่มีเลยจริง ๆ แต่ว่าไข่มุกดวงจิตผสมของเจ้าน่าจะช่วยได้” เอ๋าเลี่ยพูด
“อย่างนั้นหรือ” หลิวหลีพูดขึ้นพลางนำไข่มุกดวงจิตผสมออกมา
“อืม ที่แห่งนี้มีของปลอมกับของลวงตาค่อนข้างเยอะ ไข่มุกดวงจิตผสมของเจ้ามีประโยชน์อย่างมาก” เอ๋าเลี่ยวิเคราะห์
“ได้ ครั้งนี้ข้ากับเสี่ยวเทียนจะเดินอยู่หน้าสุด พี่น้องบ้านสกุลฮัวเดินอยู่หลังสุด พี่น้องบ้านสกุลจ้านเดินตรงกลาง คนอื่นก็หาตำแหน่งเองละกัน” หลิวหลีออกคำสั่ง
หลิวหลีพูดจบก็ลองหยิบไข่มุกดวงจิตผสมโยนขึ้นกลางอากาศดู ป่าผืนนี้เต็มไปด้วยพลังเซียนชั่วร้ายทั่วทุกหนทาง มีเพียงจุดที่หลิวหลีหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเท่านั้น
“มองเห็นแล้ว ทั่วทุกทิศทางเต็มไปด้วยพลังเซียนชั่วร้าย มีเพียงแต่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือเท่านั้นที่ไม่มี” หลิวหลีบอกเล่าคร่าวๆ
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ควรเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ไข่มุกดวงจิตผสมปรากฏภาพเช่นนั้น” หลิวหลีกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นเราตามไข่มุกดวงจิตผสมไปกันเถอะ เราไม่มีวิธีอื่นกันแล้ว” หลินเสี่ยวเจียงพูดขึ้น
ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆอีก หลิวหลีถือไข่มุกดวงจิตผสมไว้หน้าสุด ในระหว่างทางก็เห็นพลังเซียนชั่วร้ายสีเทาอยู่เป็นระยะ ทุกคนต่างก็รู้สึกขนลุกซู่ ช่างเป็นอดีตที่ทุกคนไม่อยากจะรำลึกถึง
เมื่อเดินซอกแซกตามหลิวหลี ในที่สุดนางก็เห็นสถานที่แห่งหนึ่งที่มีพลังเซียนหนาแน่น ไข่มุกดวงจิตผสมก็ไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นของปลอม และที่สำคัญเลยคือมีรูป
ปั้นของ
ห้าเผ่าอสูรเทพ
อยู่
“ข้ารู้สึกว่าครั้งนี้พวกเรามาถูกทางแล้ว เพราะข้าเห็นรูปปั้นที่เป็นตัวแทนด้วย” หลิวหลีพูดขึ้น
ห้าเผ่าอสูรเทพ
“รูปปั้นของดูท่าแล้วน่าจะเป็นของจริง” ฮัวจิงหงกล่าว
ห้าเผ่าอสูรเทพหรือ
“ไม่แน่ใจนัก เพียงแต่พอเจอของปลอมไปครั้งหนึ่ง ก็เลยไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่านี่คือของจริง” จ้านอวิ๋นจุนกล่าวขึ้น อย่างไรเสียเขากับอวิ๋นจิ่งก็ตัดสินใจว่าหลิวหลีไปไหนพวกเขาก็จะตามไปด้วย ไม่ผิดพลาดแน่นอน หลังจากผ่านเรื่องราวครั้งที่แล้วมา จ้านอวิ๋นจิ่งก็ถ่อมตัวขึ้นมาก
“หลิวหลี พวกเราเชื่อเจ้า เจ้าบอกให้ไปพวกเราก็จะไป” หนานกงเวิ่นเทียนพูดขึ้น คนอื่นต่างก็เห็นด้วยเช่นกัน อย่างไรเสียหลิวหลีก็มักจะพูดถูกเสมอ
หลิวหลีทำท่าคิดหนัก ที่จู่ๆนางก็กลายเป็นความหวังของคนจำนวนมาก มีความรู้สึกเหมือนกับสวรรค์ได้มอบภารกิจอันหนักอึ้งลงมาให้
“ไปดูหน่อยแล้วกัน รู้สึกว่าน่าจะเป็นของจริง” หลิวหลีตัดสินใจครั้งสุดท้ายแล้วพูดขึ้น
ทุกคนไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เลือกเดินตามนางต่อ ไม่นานนักก็เจอวังที่มีรูปปั้นของอยู่ อันนี้ดูแล้วเหมือนของจริงจริง ๆด้วย
ห้าเผ่าอสูรเทพ
พวกหลิวหลีเดินก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็พบว่าบนมือของทุกคนมีสัญลักษณ์แปลก ๆ ปรากฏขึ้นมา
หลิวหลีมองดูจุดสีแดงที่อยู่บนมือ นี่คืออะไร ของหนานกงเวิ่นเทียนเป็นสีส้ม จ้านอวิ๋นจวินกับฮัวจิงหงเป็นสีเหลือง ฮัวจิงเฟย หลินเสี่ยวเจียงแล้วก็หลงเทียนอี้เป็นสีเขียว หนานกงเหลยเทียนกับหลินเสียวเสี่ยวเป็นสีน้ำเงิน จ้านอวิ๋นจิ่งกลับเป็นสีดำ
“นี่มันอะไรกัน” ฮัวจิงเฟยมองจุดสีเขียวแล้วพูดขึ้น
“ไม่รู้เหมือนกัน พอเข้าใกล้วังแห่งนี้ก็ปรากฏขึ้นมาแล้ว แต่ข้าไม่ได้รู้สึกร่างกายแปลกไปหรืออย่างไร หรือว่ามันซ่อนไว้อยู่ลึกมากจนข้าสัมผัสไม่ได้นะ” หลินเสี่ยวเจียงพูดขึ้น
“ว่าแต่ทำไมสีของพวกเราทุกคนไม่เหมือนกันล่ะ” จ้านอวิ๋นจิ่งถามขึ้น
หลิวหลีมองดูจุดสีต่างๆบนมือของทุกคนด้วยท่าทีครุ่นคิด ทำไมเหมือนการเรียงสีของสายรุ้งเลย ไม่รู้ว่าโลกนี้มีสายรุ้งไหม หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับการเรียงสีของสายรุ้ง
เอ๋าเลี่ยก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน จุดพวกนี้ดูแปลกมากจริง ๆ
“พวกเราไปกันเถอะ” หลิวหลีลองโคจรพลังเซียนภายในร่างกาย แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาไม่ดีใดๆกับร่างกาย ไม่สู้เข้าไปสำรวจดูหน่อยจะดีกว่า
ทุกคนเดินตามหลิวหลีต่อโดยดุษฎี พอเดินไปยังจุดที่ห่างจากประตูใหญ่ประมาณ 50 เมตร หลิวหลีก็บอกให้หยุด
“หลิวหลี มีอะไรหรือเปล่า” หลินเสียวเสี่ยวถามขึ้น
“รู้สึกว่าข้างหน้ามีอะไรแปลกไป ดูเหมือนว่าจะมีแนวเขตต้องห้าม” หลิวหลีกล่าว
“แนวเขตต้องห้าม พวกเจ้าสามารถทำลายมันได้หรือไม่” หนานกงเหลยเทียนถามขึ้น
ทุกคนต่างก็พากันส่ายหัว ของแปลกขนาดนี้พวกเขาเพียงแค่เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ข้ารู้แค่เพียงผิวเผิน ไม่รู้ว่าจะสามารถเปิดแนวเขตต้องห้ามนี้ได้หรือเปล่า” จ้านอวิ๋นจิ่งพูด
“โอ้ เจ้าศึกษาเรื่องนี้ด้วยหรือ” ฮัวจิงเฟยพูดด้วยความประหลาดใจ
“ข้าจะศึกษาเรื่องอื่นหน่อยไม่ได้เลยหรือ” จ้านอวิ๋นจิ่งพูดขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย
“เหอะ ๆ…จ้านอวิ๋นจิ่ง เจ้าจะต้องใช้เวลานานเท่าไรในการทำลายมัน” หลิวหลีถาม
“อย่างน้อยหนึ่งเดือน” จ้านอวิ๋นจิ่งดูแล้วพูดขึ้น
“หนึ่งเดือนเลยหรือ พวกเราอยู่ที่นี่มาก็เดือนนึงแล้ว ถ้าเจ้าต้องใช้เวลาศึกษาอีกหนึ่งเดือน เราก็จะเสียเวลา 1 ใน 6 ของเราไป” หลินเสี่ยวเจียงพูดขึ้น
“ใช่แล้ว น้องหลิวหลี เจ้ารู้ใช่ไหมว่าจะต้องจัดการกับแนวเขตต้องห้ามนี้อย่างไร ไม่เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าที่นี่มีแนวเขตต้องห้าม” หลงเทียนอี้กล่าว
“ไม่รู้เลย” หลิวหลีกล่าว ความสามารถเพียงอย่างเดียวของนางคือการปรุงยา มีเพียงความสามารถนี้อย่างเดียวเท่านั้น ที่เหลือหลิวหลีแค่รู้จักชื่อเท่านั้น แต่ไม่รู้เรื่องอื่นเลย
“ถ้าอย่างนั้นจะต้องรออีกหนึ่งเดือนเลยหรือ” หนานกงเหลยเทียนโอดครวญ
“หลิวหลี อย่าแกล้งคนอื่น” หนานกงเวิ่นเทียนจะไม่เห็นสายตาขบขันของหลิวหลีได้อย่างไร
“นางฟ้า ท่านรู้เรื่องแนวเขตต้องห้าม แต่เจ้าจงใจแกล้งพวกเราหรือ” ฮัวจิงเฟยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆแล้วก็ปลดมันออกไม่เป็นด้วย” หลิวหลีพูดอธิบาย แต่ทุกคนกลับมีท่าทีที่ไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด
“ก็ได้ ถึงแม้จะปลดมันไม่ได้ แต่ว่าสามารถทำลายมันได้” หลิวหลีพูดอย่างช้าๆ
“ทำลาย” ทุกคนพูดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
“เพียงแต่ว่าไม่ใช่ข้า คือเขา” หลิวหลีโบกมือแล้วปล่อยจื่อฉีออกมา
“กิเลนหรือ” แน่นอนว่าพวกเขาจำกิเลนที่ก่อความวุ่นวายไปทั่วในตอนนั้นได้
“คือแบบนี้นะจื่อฉี ข้าเจอปัญหา เจ้าช่วยกัดแนวเขตต้องห้ามนี้ให้เป็นรูสูงประมาณสองเมตรได้ไหม” หลิวหลีพูดขึ้น
จื่อฉีคร้านจะสนใจคนพวกนี้ โดยเฉพาะสองคนจากสกุลจ้าน หลังจากได้ยินคำพูดของหลิวหลีแล้ว ก็ตรงไปกัดแนวเขตต้องห้ามตามที่หลิวหลีร้องขอภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
“สุดยอด กิเลนมีความสามารถนี้ด้วยหรือ อวิ๋นจุน กิเลนหยกขาวของเจ้าทำได้ไหม” ฮัวจิงเฟยตบไหล่จ้านอวิ๋นจุนที่อยู่ด้านข้างเบาๆแล้วเอ่ยถาม
“น่าจะเป็นพรสวรรค์ของกิเลนที่หลิวหลีทำพันธสัญญาด้วย คู่พันธสัญญาของข้าไม่ได้มีพรสวรรค์นี้” จ้านอวิ๋นจุนพูดพลางส่ายหัว ถึงแม้เขาจะทำพันธสัญญากับกิเลน แต่เมื่อเทียบกันแล้วแตกต่างกันไม่น้อยเลย
จ้านอวิ๋นจิ่งก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทว่าจุดดำบนมือของเขาตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีม่วง แต่เขาไม่ได้บอกให้คนอื่นรู้ เขารู้สึกว่าสิ่ง ๆนี้น่าจะขึ้นอยู่กับอะไรบางอย่าง
หลังจากทุกคนเข้าไปแล้ว แนวเขตป้องกันก็กลับมาเป็นเช่นเดิม หลิวหลีเห็นจุดแดงบนมือสีเข้มขึ้นกว่าเดิม ราวกับจะมีแสงสีทองที่อยากจะเปล่งประกายออกมา สิ่งนี้ใช้การเรียงอันดับสีของสายรุ้งจริงด้วย เพียงแต่ว่าเกณฑ์ในการตัดสินของมันคืออะไร ใครเป็นคนตัดสิน อยากรู้เหลือเกิน
ในที่สุดก็มาถึงประตูทางเข้า รูปปั้นต่างทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง ตอนนี้พวกเขานิ่งอึ้งไปเพราะความอลังการของรูปปั้นนั้น และรูปปั้นมังกรที่อยู่ตรงกลางก็ลืมตาขึ้นมาและขยับตัว
“เข้ามาทีละคน” ทันใดนั้นก็ปรากฏประตูบานหนึ่งขึ้น
พวกเขาต่างตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เพียงไม่นาน หลิวหลีก็จัดแจงให้นางเข้าไปเป็นคนแรก คนที่สองหนานกงเวิ่นเทียน คนที่สามจ้านอวิ๋นจวิน คนที่สี่ฮัวจิงหง ให้เป็นไปตามนี้เรื่อย ๆ จ้านอวิ๋นจิ่งเป็นคนสุดท้าย เอ๋าเลี่ยได้กลับเข้าไปอยู่ในมิติก่อนหน้านั้นแล้ว จื่อฉีที่ทำตามคำขอของหลิวหลีเสร็จก็กลับเข้ามิติไปเช่นกัน มีคนที่เขาไม่ชอบอยู่จึงไม่อยากอยู่นานสักเท่าไหร่
หลิวหลีสูดลมหายใจเข้าปอดลึก แล้วเดินเข้าไป
“สายเลือดสกุลหลงและสกุลจ้าน ทำพันธสัญญากับมังกรบรรพกาลและราชากิเลนม่วง พลังบำเพ็ญเพียรช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลาง ร่างวิญญาณอัคคี อายุ 23 ปี คุณสมบัติเป็นสุดยอดผู้ถูกเลือก ระดับการประเมินสีแดงโลหิต ได้รับการดูแลระดับพิเศษ ผ่าน”
หลิวหลีฟังจบก็รู้สึกประหลาดใจ เดินเข้าไปก่อนละกัน จากนั้นจู่ๆจุดสีแดงโลหิตนั้นก็วิ่งขึ้นไปอยู่บนหน้าผาก ทำให้หลิวหลีดูโดดเด่นมากเป็นพิเศษ
“สายเลือดสกุลหนานกง ทำพันธสัญญากับหงส์เหมันต์ในตำนาน พลังบำเพ็ญเพียรช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลาง ร่างวิญญาณเหมันต์ อายุ 50 ปี คุณสมบัติเป็นผู้ถูกเลือก ระดับการประเมินสีส้ม ได้รับการดูแลระดับสูง ผ่าน”
“สายเลือดสกุลจ้าน ทำพันธสัญญากับกิเลนหยกขาว พลังบำเพ็ญช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะต้น อายุ 50 ปี ระดับการประเมินสีเหลือง ได้รับการดูแลระดับกลางค่อนไปทางสูง ผ่าน”
“สายเลือดสกุลจ้าน ทำพันธสัญญากับกิเลนดำ พลังบำเพ็ญเพียรช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะต้น อายุ 48 ปี คุณสมบัติเป็นอัจฉริยะ ระดับการประเมินสีม่วง ได้รับการดูแลระดับล่าง ผ่าน”
จนกระทั่งจ้านอวิ๋นจิ่งเข้ามา ทุกคนได้รับการประเมินเป็นที่เรียบร้อย มองดูจุดสีที่แตกต่างกันบนหน้าผากของทุกคน สีแดงโลหิตของหลิวหลีค่อนข้างจะโดดเด่นเป็นพิเศษ จุดสีฟ้าของหนานกงเวิ่นเทียนก็ทำให้เขาดูไม่ธรรมดาเช่นกัน ที่ทำให้คนสงสัยมากที่สุดคือจ้านอวิ๋นจิ่ง จุดของเขาทุกคนต่างก็จำได้ว่าเป็นสีดำ ตอนนี้อยู่ดีๆกลับเปลี่ยนเป็นสีม่วงเสียอย่างนั้น น่าแปลกจริง ๆ
“โอ้โห ครั้งนี้วิธีการเข้ามาของเด็กพวกนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ” ทันใดนั้นก็มีเสียงลอยเข้ามาภายในตำหนัก ทั้งสิบคนรีบระวังตัวขึ้นมาในทันที
“ฮ่าฮ่า ช่างระวังตัวกันมากจริงๆ” เสียงหยาบโลนเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“เด็กผู้หญิงที่เป็นผู้นำนั้นไม่เลว เสียดายที่ไม่ใช่คนของสกุลหนานกง” เสียงผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนลอยดังเข้ามา
“มีสายเลือดของสองสกุล มีความบริสุทธิ์สูงนัก นานแล้วที่ไม่เห็นคนรุ่นหลังทำพันธสัญญากับอสูรเทพพร้อมกันทั้งสองเผ่า” แล้วก็มีอีกเสียงหนึ่งดังลอยเข้ามา
หลิวหลีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสิ่งของที่กำลังโดนวิจารณ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้สึกไม่ดีเลยจริงๆนอบน้อม
“หลิวหลีจากสกุลหลง ขอให้ผู้อาวุโสทุกท่านปรากฏตัวด้วย” หลิวหลีพูดอย่างนอบน้อม และเก้าคนที่เหลือก็ทำแบบเดียวกัน
“ไม่เลว พวกเจ้ากลุ่มนี้ยังถือว่ารู้จักมารยาท ถือว่าเป็นความโชคดีของพวกเราทั้งห้าสกุล”
ทันใดนั้น ด้านบนก็ปรากฏเงาทั้งห้า ตรงกลางเป็นชายวัยกลางคนรูปงาม ด้านซ้ายมือเป็นหญิงงามวัยกลางคน คนขวามือเป็นชายคล้ายนักปราชญ์ ขวามือไปอีกคือชายร่างกำยำ ด้านขวาสุดเลยเป็นชายผู้ดูซื่อตรง
“คารวะผู้อาวุโสทั้งห้า ขอบังอาจถามพวกท่านว่าพวกท่านมีความเกี่ยวข้องอันใดกับสกุลพวกข้า” หลิวหลีถามด้วยความเคารพ ถึงแม้คนเหล่านี้ดูแล้วจิตใจดีและมาอย่างสันติ แต่นางก็ไม่สามารถสัมผัสพลังบำเพ็ญของพวกเขาทั้งห้าได้เลย และแม้จะไปถามอาเลี่ย อาเลี่ยก็ไม่รู้ หนานกงเวิ่นเทียนก็ถามอิงเสวี่ยเช่นเดียวกัน อิงเสวี่ยก็มองไม่ออก การปรากฏตัวของทั้งห้าท่านนี้ช่างน่าประหลาดเสียจริง
“ฮ่าๆ เจ้าเป็นคนบ้านสกุลหลงสินะ ไม่เลว ข้าเป็นบรรพบุรุษของพวกเจ้า บรรลุเป็นเซียนมานานมากแล้ว ที่นี่เป็นที่ที่พวกข้าสร้างขึ้นไว้เพื่อให้เป็นสถานที่ฝึกฝนของคนรุ่นหลัง พวกเจ้าสามารถมาที่นี่ได้ แสดงว่าพวกเจ้าเป็นผู้ที่มีความสามารถ อ่อ ลืมบอกไป ข้าคือหลงนู่เทา และนี่คือบรรพบุรุษสกุลหนานกง หนานกงหลิงอวี่ บรรพบุรุษสกุลจ้าน จ้านเหลยถิง บรรพบุรุษบ้านสกุลฮัว ฮัวปู้เซิง บรรพบุรุษสกุลหลิน หลินเซิ่งเตี่ยน” หลงนู่เทาแนะนำทีละคน
“คารวะผู้อาวุโสทุกท่าน” หลิวหลีมีท่าทีนอบน้อมเป็นอย่างมาก คนอื่นก็ทำตามเช่นเดียวกัน
“เจ้ารู้ไหมว่าจุดกลมๆนี้มาได้อย่างไร” หนานกงหลิงอวี่ถามขึ้น
“ไม่ทราบขอรับ” ทุกคนต่างก็ส่ายหัวและตอบด้วยความซื่อตรง
“นี่คือเกณฑ์การประเมินที่พวกข้าเป็นคนสร้างขึ้น จะพูดอย่างไรดี เป็นเกณฑ์บอกว่าพวกเจ้าจะได้อะไรไปจากที่นี่” ทั้งสิบคนต่างตกใจ รางวัลยังมีเกณฑ์ประเมินด้วยหรือ ว่าแต่ใช้เกณฑ์อะไรมาตัดสิน
“ทันทีที่พวกเจ้าย่างกรายมาที่นี่ พวกข้าก็รู้กันแล้ว แต่ว่าไม่รู้เหตุใดผู้นำสกุลของพวกเจ้าไม่ได้บอกวิธีเข้ามากับพวกเจ้า ถึงขนาดต้องทำลายแนวเขตต้องห้าม บรรพบุรุษหลิวอวี่ก็อุตส่าห์ไปจัดการซ่อมมันกลับมาให้เหมือนเดิม” นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหลงนู่เทาถึงบอกว่าวิธีการเข้ามาของพวกเขาไม่ปกติ
“เรียนบรรพชน ท่านผู้นำสกุลไม่ได้แจ้งมาให้ทราบ” หลิวหลีตอบตามสัตย์จริง
“มิน่า พวกเจ้าถึงวิ่งกันอลหม่านอยู่ในแดนลี้ลับ” หลงนู่เทากับอีกสี่คนที่เหลือก็เข้าใจขึ้นมาในทันที มิน่าคนพวกนี้ถึงเดินเลี้ยวอ้อมไปถึงตรงนั้นได้ อย่างนี้ค่อยเข้าใจหน่อย
“ผู้อาวุโส ท่านยังไม่ได้บอกว่าจุดกลมพวกนี้มาได้อย่างไรเลยนะเจ้าคะ” หลิวหลีถามขึ้นอย่างกล้าหาญ
“ฮ่า ๆ…เด็กคนนี้ช่างกล้าเสียจริง จุดกลมพวกนี้เป็นคะแนนที่พวกเจ้าได้รับจากการแสดงออกของพวกเจ้าตั้งแต่เดินเข้ามาในนี้ เรียงลำดับจากสีรุ้ง สีทอง แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ฟ้า ม่วงและดำเรียงตามลำดับลงไป สีรุ้งคือดีที่สุด สีดำคือแย่ที่สุด” พอหลงนู่เทาพูดจบลง สายตาของทั้งเก้าคนต่างก็จับจ้องไปที่จ้านอวิ๋นจิ่ง พวกเขาจำได้ว่าคนผู้นี้ตอนอยู่นอกแนวเขตป้องกันเป็นจุดสีดำ พอเข้ามาถึงเปลี่ยนเป็นสีม่วง
……………………………………………
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 94 จุดกลมหลากสีที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏขึ้น
Posted by ? Views, Released on October 6, 2021
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!