แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่285 เรื่องในอดีต

หนานกงเวิ่นเทียนและหลิวหลีเดินทางเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่กว่าจะหยุดฝีเท้าลง เขามองตรงตำแหน่งที่ยืนอยู่ก็ทอดถอนใจ นังหนูเดินลัดเลาะเก่งจริงๆ เดาว่าพวกบรรพชนคงไม่รู้จักที่นี่

“ข้างในนี้แหละ” หลิวหลีชี้ไปข้างในถ้ำ ในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

“ผู้อาวุโส ข้าพาสามีของข้ามาหาท่านแล้ว” หลิวหลีตะโกนออกไปด้วยความตื่นเต้น แต่กลับมีแรงโจมตีจากด้านในพุ่งใส่หนานกงเวิ่นเทียน

“ผู้อาวุโสปู้หุ่ย หยุดเจ้าค่ะ นั่นสามีของข้า” หลิวหลีรีบห้ามทัพ นี่มันอะไรกันเนี่ย

ทั้งสามต่อสู้กันอยู่นาน กว่าปู้หุ่ยจะยอมรามือ สีหน้าหนานกงเวิ่นเทียนเย็นชา ผู้อาวุโสท่านนี้เคียดแค้นเขาขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งที่ไม่เคยพบกันมาก่อนด้วยซ้ำ

“พวกเจ้าเข้ามาได้” อารมณ์ของปู้หุ่ยไม่มั่นคงนัก

“ผู้อาวุโสปู้หุ่ย นี่คือสามีของข้า เหตุใดท่านต้องโกรธเคืองด้วย พวกท่านไม่เคยพบกันมาก่อนกระมัง” หลิวหลีงุนงง ทำไมถึงรู้สึกราวพวกเขาอาฆาตแค้นกัน

“ข้าขอถามเจ้า กลิ่นอายของสุ่ยจวินบนตัวเจ้ามาจากไหนกัน” ดวงตาทั้งสองข้างของปู้หุ่ยแดงก่ำกว่าเดิม

พอพูดถึงสุ่ยจวิน สีหน้าของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไป รู้สึกไม่เป็นมิตรกับปู้หุ่ยทันที หลิวหลีปรับอารมณ์ของตนให้อ่อนลง

“ผู้อาวุโสรู้จักสุ่ยจวิน ท่านเป็นอะไรกับสุ่ยจวิน?” หลิวหลีชักสีหน้าพลางถามต่อ

“เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนรู่นหลังอย่างพวกเจ้าต้องรู้ ข้าถามว่ากลิ่นอายของสุ่ยจวินบนตัวเจ้ามาได้อย่างไร” ปู้หุ่ยจ้องหนานกงเวิ่นเทียนไม่วางตา

“ไม่จำเป็นหรือ เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่จำเป็นต้องบอกผู้อาวุโสเช่นกัน ผู้อาวุโส ข้าผิดหวังในตัวท่านมาก” สายตาของหลิวหลีเต็มไปด้วยความผิดหวัง จะพาหนานกงเวิ่นเทียนออกจากถ้ำ แต่ถูกจ้านปู้หุ่ยขวางทาง

“เด็กน้อย หากวันนี้ไม่อธิบายให้รู้เรื่อง ใครก็ห้ามออกไปทั้งนั้น” ดวงตาคู่นั้นของปู้หุ่ยเต็มไปด้วยเลือด จนเกือบไร้สติ

“ผู้อาวุโสต้องการสู้กับพวกข้า ท่านสู้พวกเราได้หรือ ตอนนี้ข้าสองคนมีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นจักรพรรดิเซียน  ต่อให้ผู้อาวุโสเป็นราชาเซียนแล้วอย่างไร เพราะสิ่งที่ท่านสะกดมันเอาไว้นั้นเกี่ยวพันกับดวงจิตส่วนใหญ่ของท่าน ท่านจะรับมือเราสองคนไหวหรือ” หลิวหลีจ้องดวงตาสีโลหิตคู่นั้น ภายในนั้นมีเสียงหัวเราะอย่างพอใจของหญิงสาว

“พวกเจ้าบอกข้ามา กลิ่นอายของสุ่ยจวินบนตัวเจ้ามาจากไหน ข้าอยากรู้” จ้านปู้หุ่ยได้สติปัด เก็บพลังโจมตี แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“ได้มาได้อย่างไร เพราะข้าฆ่าอสูรนั่นถึงได้มาอย่างไรล่ะ ปราณอสูรก่อนกำเนิดถูกสามีของข้าดูดซับไป ส่วนปราณอมตะอสูรข้าให้คนอื่นไปแล้ว” หลิวหลีพูด

“หลิวหลี เจ้าฆ่ามันหรือ” ไม่ว่าอย่างไรจ้านปู้หุ่ยก็ไม่เชื่อ

“ใช่ ข้าฆ่าเอง ข้ามีเพลิงเซียนอยู่ด้วย จึงไม่กลัวเขา ยิ่งไปกว่านั้น มันโดนขังอยู่ที่นั่นไม่ใช่ทั้งเซียนหรือมาร อยู่ไปอย่างไร้ความหมายมาพอแล้ว ข้าฆ่ามัน มันก็รู้สึกหลุดพ้น” หลิวหลีมีสิ่งที่คาดเดาอยู่ในใจ ต้องการคำยืนยัน

“ฮ่าๆ ไม่เป็นทั้งเซียนและมาร ใช่ อยู่ไปจะมีประโยชน์อะไรล่ะ” เมื่อจ้านปู้หุ่ยได้ยินคำนี้ก็ยิ้มเศร้าๆ

“ข้าขอถามบ้าง ผู้อาวุโส ท่านคือเจ้านายคนเก่าที่ดูคนไม่ออก ไม่แยกแยะดีชั่วที่สุ่ยจวินพูดถึงหรือไม่” หลิวหลีจ้องจ้านปู้หุ่ยและถาม

“ไม่แยกแยะดีชั่ว มองคนไม่ออก พูดได้ถูกต้อง อสูรที่ข้าสร้างขึ้นด้วยตัวเอง ฮ่าๆ” จ้านปู้หุ่ยรู้สึกเสียใจภายหลัง ตนเองทำผิดพลาดแล้วจริงๆ ผิดพลาดไปมากทีเดียว

“เช่นนั้นผู้อาวุโสสะกดใครไว้” หลิวหลีสงสัยเรื่องนี้มากกว่า

“ใครน่ะหรือ เชื้อพระวงศ์หนึ่งเดียวของเผ่ามารรัตติกาล เยี่ยหนีฉาง” จ้านปู้หุ่ยกล่าว

“เผ่ามารรัตติกาล ที่แท้ยังมีเชื้อพระวงศ์อยู่” หลิวหลีสีหน้ามึนงง คิดไม่ถึงว่าจะยังมีภัยพิบัติเหลืออยู่บนโลก

“เฮ้อ เชื้อพระวงศ์ของเผ่ามารรัตติกาลก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นยังซ่อนตัวลึกลับอย่างมาก เผ่าประหลาดเช่นนี้กลับมีวิชาล่อลวงจิตใจผู้คน ตอนนั้นข้าถูกล่อลวง ไม่ฟังคำแนะนำของสุ่ยจวิน แถมยังถูกควบคุมจนทำร้ายสุ่ยจวิน สุ่ยจวินถึงกลายเป็นมารและถูกสะกดไว้ เมื่อข้ารู้สึกตัวก็ทำได้เพียงผนึกเยี่ยหนีฉางไว้ในดวงตาทั้งสองข้างของข้า จึงถูกคิดว่าเป็นกาลกิณี จึงถูกขับไล่มาที่นี่ เรื่องนี้ข้าผิดเองทั้งหมด” จ้านปู้หุ่ยร้องไห้ออกมาน้ำตาเป็นสายเลือด

“ผู้อาวุโส ตอนที่สุ่ยจวินตาย เขายิ้มด้วย เขาไม่ได้เกลียดท่าน เพียงแต่เหนื่อยแล้วก็เท่านั้น” หลิวหลีไม่รู้ต้องพูดอย่างไร สุดท้ายแล้วก็เป็นโศกนาฏกรรมเรื่องหนึ่ง

“ฮ่าๆ จ้านปู้หุ่ย เจ้าคงเสียใจ เสียใจแล้วสินะ โทษข้าที่ให้ใจจริงกับเจ้าไป” เสียงของเยี่ยหนีฉางดังออกมา

“เจ้าคือเยี่ยหนีฉาง” หลิวหลีพูดออกมา

“เด็กน้อย ได้เจอข้านับเป็นเกียรติของเจ้านัก” เยี่ยหนีฉางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าปฏิบัติต่อผู้อาวุโสปู้หุ่ยด้วยใจจริง หากเจ้าจริงใจต่อผู้อาวุโส เจ้าไม่มีทางที่จะควบคุมเขา ให้เขาทำในเรื่องที่เขาไม่อยากทำ เจ้าก็แค่อยากครอบครองเขาเท่านั้นเอง” หลิวหลีดูถูก อย่างนี้จะเรียกว่ารักได้อย่างไรกัน นี่มันเรียกว่าโรคจิตแล้ว

“นังหนู เจ้าจะเข้าใจอะไร เจ้าก็เป็นแค่เด็กน้อยที่อายุยังไม่ถึงหมื่นปี” น้ำเสียงเยี่ยหนีฉางติดเย้ยหยันน้อยๆ

“ข้าแค่รู้ว่าเจ้ากำลังรอใครอยู่ บังเอิญว่าข้ามีพรสวรรค์ในการหยั่งรู้” หลิวหลียิ้มยิงฟันขณะกล่าวพร้อมมองเยี่ยหนีฉาง

“อ้อ ไหนลองพูดมาหน่อย” เยี่ยหนีฉางสงสัย นางอยากรู้ว่าเด็กน้อยนี้จะพูดอะไรออกมา

“เจ้ากำลังรอคนรุ่นหลังที่หลงเหลืออยู่ของเผ่ามารรัตติกาลเลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิเซียน ใช่ไหม รอให้เขาหาเจ้าเจอ เพื่อจะมอบสายเลือดในตัวเจ้าให้เขา น่าเสียดาย ไม่อยากบอกเจ้าหรอกว่าเขาคงหาที่นี่ไม่เจอ” หลิวหลีหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“เจ้าเด็กบ้า เหลวไหล” เยี่ยหนีฉางเกรี้ยวกราด

“นังหนูไม่ได้พูดเหลวไหล อสูรแซ่เยี่ยของเผ่าเจ้าไม่มีทางหาเจ้าเจอ” ไม่รู้ว่าจ้านปู้หุ่ยกลับมาเป็นปกติตอนไหน เขาผนึกเยี่ยหนีฉางไว้ในดวงตาอีกครั้ง

“ผู้อาวุโส ท่านกลับมาเป็นปกติแล้ว” ตอนนี้หลิวหลีไม่รู้ว่าต้องรู้สึกกับปู้หุ่ยอย่างไร

“จำเป็นต้องได้สติ เจ้าบอกว่าคนเผ่ามารรัตติกาลที่หลงเหลืออยู่กำลังเลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิเซียน แล้วจะตามหาเยี่ยหนีฉางหรือ?” จ้านปู้หุ่ยถาม

“อืม คราวนี้ซ่อนตัวไว้อย่างลึกลับกว่าเดิม เป็นหนึ่งในเจ้าตำหนักของวังนภาสุวรรณ ตัวตนถูกเปิดเผยแล้ว รับมือยากยิ่ง” หลิวหลีบอกว่าเมื่อครู่แค่ขู่เยี่ยหนีฉาง จริงๆแล้วเรื่องนี้ออกจะซับซ้อนอยู่หน่อยๆ

“อสูรที่หลงเหลือปลอมตัวมาถึงขั้นนี้แล้ว จัดการได้ยากจริงๆ จักรพรรดินภาสุวรรณใช้ชีวิตไปวันๆหรืออย่างไร” จ้านปู้หุ่ยไม่พอใจจักรพรรดินภาสุวรรณ เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้

“เจ้าค่ะ แล้วก็ยังยุ่งยากมากด้วย ข้ายังไม่ได้บอกเท่านั้น อสูรที่หลงเหลือของเผ่ามารรัตติกาลกับเยี่ยซิงหวงผู้สร้างภัยพิบัติในโลกเบื้องล่างหน้าตาเหมือนกันมาก อีกทั้งความทรงจำยังกลับมาแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรอีก แต่ว่าครั้งนี้เขามั่นใจในตัวเองมาก” หลิวหลีไม่รู้จะพูดอย่างไร

“มั่นใจหรือ? ไม่ว่าอย่างไรหากเขาหาเยี่ยหนีฉางไม่เจอสายเลือดราชวงศ์เผ่ามารรัตติกาลก็ไร้ประโยชน์” จ้านปู้หุ่ยบอกว่าไม่มีเรื่องใหญ่อะไร

“รู้ทั้งรู้ว่าเพลิงอัคคีของข้าจำเป็นต้องใช้เพลิงเซียน ไม่คิดเลยว่าความทรงจำกลับมาแล้วจะยังยกเพลิงเซียนให้ข้า ข้าไม่รู้จะพูดอะไรดี ต้องขอบคุณเขา เพลิงอัคคีของข้าถึงได้บรรลุเป็นเพลิงเซียนอีก” หลิวหลีพูดตามอำเภอใจ จ้านปู้หุ่ยตั้งอกตั้งใจฟัง ดูเหมือนจะมีอะไร

“นังหนู เจ้ามีเพลิงอัคคีอีกกี่ชนิดที่ยังไม่บรรลุขั้น?” จ้านปู้หุ่ยถาม

“สามชนิด” เฮ้อ มีสองชนิดที่แสนจะยากเย็น จะให้ไปหาของวิเศษได้จากที่ไหนกันล่ะ

บ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยาง

“ดูเหมือนว่าสามชนิดนี้ไม่ธรรมดาหรือ?” เหมือนจ้านปู้หุ่ยจะได้ยินน้ำเสียงจนปัญญาของหลิวหลี

“ใช่แล้ว เป็นเพลิงอัคคีที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง คาดว่าคงต้องดูดซึมเพลิงอัคคีเซียนอันดับต้นๆในโลกเซียนเป็นจำนวนมากถึงจะบรรลุขั้นได้” หลิวหลีทุกข์ใจ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตาแล้วกัน นางมีลางสังหรณ์ว่าตนเองจะสามารถทำได้

“ถือว่ายุ่งยากจริงๆ โลกมารมีเขตต้องห้ามอยู่แห่งหนึ่ง ในนั้นมีเพลิงพายุสลาตัน อยู่ชนิดหนึ่ง ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ไม่แน่นะนังหนู เจ้าอาจจะได้ใช้มัน” จ้านปู้หุ่ยชี้ทาง

“ต้องได้ใช้แน่” ดวงตาหลิวหลีเป็นประกาย เหมาะจะใช้กับเพลิงลมสลาตันพอดี

…………….

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

Status: Ongoing
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset