ตอนที่ 100 อ่อนโยน
เจียงป่าวชิงนอนอยู่บนเตียง ไม่รู้เพราะอะไรนางถึงได้นอนไม่หลับเสียงอย่างนั้น มันทำให้นางไม่สามารถตื่นขึ้นได้ในตอนเช้า
นางนอนจนกระทั่งตะวันโด่งฟ้า
เจียงหยุนชานสงสารน้องสาวที่ต้องประคับประคองครอบครัวนี้ตั้งแต่ยังเล็ก ไม่บ่อยนักที่นางจะหลบงาน เขาจึงไม่อยากไปทำให้นางตื่น เจียงหยุนชานพยายามใช้แขนข้างเดียวในการจัดการทุกอย่างที่ต้องทำในบ้าน
สุดท้าย เจียงป่าวชิงก็ตื่นเพราะเสียงอะไรบางอย่าง นางขยี้ตาและคิดว่าตนเองง่วงเสียจนจนสติเลอะเลือนทำนองนั้น …แต่เสียงนั้นกลับดังอยู่หลายครั้ง
เจียงป่าวชิงคิดว่ามีคนกำลังเคาะหน้าต่างห้องนาง
เจียงป่าวชิงที่นอนไม่พอ สมองของนางยังไม่ค่อยตอบสนองกลับ นางเปิดหน้าต่างด้วยสติที่เลอะเลือน และปรากฏตัวในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าก็ไม่เป็นระเบียบ
ให้ตายเถอะ! นางเผชิญหน้ากับไป๋จีที่อยู่นอกหน้าต่างด้วยสภาพนี้
“ข้ากำลังฝันอยู่แน่ ๆ” เจียงป่าวชิงพูดพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็ปิดหน้าต่างดังปัง
ทว่า… ตึง! ตึง! ตึง!
หน้าต่างถูกเคาะอีกครั้ง
จิตสำนึกของเจียงป่าวชิงกระจ่างขึ้นเล็กน้อย นางตระหนักได้ว่าไม่ได้ฝันไปจึงค่อย ๆ เปิดหน้าต่างอีกครั้งและก็เห็นไป๋จียืนอยู่นอกหน้าต่างห้องนางจริง ๆ ด้วย
“ไป๋จี นี่คืองานอดิเรกใหม่ของเจ้ารึ ?” เจียงป่าวชิงจับหน้าผากที่ยังเวียนศีรษะอยู่เล็กน้อย ตอนนี้นางลืมคำว่าภาพลักษณ์ไปจนหมดสิ้น “มาเคาะหน้าต่างห้องข้าตั้งแต่เช้าตรู่ มีธุระอะไรอย่างนั้นรึ ?”
“เช้าตรู่อะไรกัน ?” ไป๋จีหมดคำจะพูดจริง ๆ “แม่นางเจียง ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้วนะ”
เจียงป่าวชิงส่งเสียงอุทานเล็กน้อยในลำคอ “ไม่เป็นไร ข้าไม่พลาดการรักษาในช่วงบ่ายของนายท่านของเจ้าอย่างแน่นอน”
ไป๋จีสังเกตสีหน้าของเจียงป่าวชิง “แม่นางเจียง เจ้าป่วยรึ ?”
เจียงป่าวชิงตอบอย่างอ่อนล้า “เปล่า ข้าแค่นอนไม่พอ เจ้าไม่รู้จักการนอนตื่นสายหรืออย่างไร ?”
ไป๋จีมีท่าทีโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขาโบกมือเล็กน้อย “เอาล่ะ ในเมื่อแม่นางเจียงไม่เป็นอะไร เช่นนั้นข้าก็สบายใจแล้ว” พูดเสร็จ ร่างของเขาก็กะพริบหายไปอย่างรวดเร็ว
เจียงป่าวชิงรู้สึกว่าไป๋จีมีความผิดปกติทางประสาทเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้สนใจอะไร รู้สึกเพียงว่าการที่ถูกไป๋จีรบกวนเช่นนี้ ทำให้ความง่วงของนางหายไปได้มากโข และไม่นาน นางก็รู้สึกตื่นเต็มที่แล้ว
นางนั่งอยู่บนเตียงอิฐสักครู่ จากนั้นเจียงป่าวชิงถึงจะตระหนักได้ในภายหลังว่าตนเองอยู่ในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าก็ไม่เป็นระเบียบ แล้วยังไปพูดคุยกับไป๋จีอยู่สักพักอีกด้วย
โชคดีที่กงจี้ไม่เห็นสภาพนี้…
เมื่อความคิดนี้แล่นเข้าไปในหัวของนาง เจียงป่าวชิงก็ชะงักไปทันที เดี๋ยว… เหตุใดนางถึงคิดว่าการที่กงจี้ไม่มาเห็นนั้นเป็นเรื่องที่โชคดีล่ะ ?
มันเป็นเพราะอะไรกัน ?
เจียงป่าวชิงคิดหาคำตอบไม่ออกอย่างสิ้นเชิงจึงพยายามออกแรงส่ายหน้าเพื่อให้ตัวเองไม่คิดถึงเรื่องนั้น นางตัดสินใจแล้วว่าจะรักษาระยะห่างจากกงจี้
อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในโลกเดียวกันกับนาง
……
ไป๋จีกลับมาที่บ้านก็เห็นว่าฝูฉูกำลังถือกาน้ำชาที่ว่างเปล่าออกมาจากในห้องหลักพอดี นางจึงเผชิญหน้ากับไป๋จี จากนั้นฝูฉูก็พูดตำหนิออกมานิดหน่อย “ไป๋จี เจ้าไปไหนมา ? เมื่อสักครู่ท่านชายเรียกหาเจ้า”
“ข้าไม่ได้ไปไหน เจ้าเข้าไปก่อนเถอะ” ไป๋จีพูด แล้วเขาก็หายตัวเข้าไปในห้องทันที
เห็นดังนั้น ฝูฉูก็ต่อว่าอะไรไป๋จีไม่ได้ เพราะไป๋จีแตกต่างกับนาง นางเป็นเพียงสาวใช้ที่ดูแลเรื่องปากกา หมึก และน้ำชา แต่ไป๋จีเป็นคนสนิทของท่านชายของนาง
ฝูฉูถอนหายใจเล็กน้อยและไปชงชาที่ห้องชา
เมื่อไป๋จีเข้ามาในห้อง สีหน้าของกงจี้กลับไม่แสดงถึงความโกรธใด ๆ สีหน้าของเขาติดเย็นชาผสมไปด้วยความเกียจคร้าน แม้แต่คำว่า ‘ไปไหนมา’ เขาก็ไม่เอ่ยถามไป๋จี
ไป๋จีจึงต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “นายท่าน นายท่านลองเดามาขอรับว่าเมื่อสักครู่ข้าน้อยไปไหนมา ?”
กงจี้ไม่มีความสนใจแม้แต่นิดเดียว ไป๋จีจึงต้องเปิดเผยคำตอบด้วยตัวเอง “ เมื่อสักครู่ข้าน้อยไปที่บ้านแม่นางเจียงมาขอรับ”
ถึงแม้ว่ากงจี้จะยังคงไม่ได้พูดอะไร แต่ไป๋จีก็สังเกตเห็นว่าการหายใจของนายท่านของเขาหยุดไปชั่วขณะ
“เจ้าพูดเรื่องนี้กับข้าทำไม ?” กงจี้ยังคงมีน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนักและผสมไปด้วยการเยาะหยันอยู่เล็กน้อย
ไป๋จีพูดยิ้ม ๆ “ข้าน้อย ข้า… อยากรู้อยากเห็นเองขอรับ นายท่านก็ทำเป็นฟังข้าน้อยเล่านิทานก็ได้หนี่ขอรับ ? …ไม่ใช่ว่าวันนี้แม่นางเจียงไม่โผล่หน้าออกมาตั้งแต่เช้าหรอกรึ ไม่เห็นนางออกมารำมวยท่าทางแปลก ๆ นั้นในตอนเช้าของวันนี้ และไม่เห็นนางออกมาพาเจ้าหมาไปเดินเล่นเช่นกัน…”
กงจี้ไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาเองก็รู้เรื่องพวกนี้เช่นกัน
ไป๋จีพูดต่อ “ดังนั้น ข้าน้อยจึงไปเคาะหน้าต่างห้องนาง”
“อ้อรึ ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ” น้ำเสียงของกงจี้ราบเรียบมากขณะที่พูด
ไป๋จีทำหน้าเศร้าใจ “อันที่จริง ข้าก็กลัวว่าแม่นางเจียงจะเปิดหน้าต่างออกมาแล้วแทงข้าน้อยจนกลายเป็นตัวเม่นเช่นกัน… นายท่านรู้หรือเปล่าขอรับว่าตอนที่เจอกันครั้งแรก ฝีมือของแม่นางเจียงนั้นทำให้ข้าไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย นั่นทำให้ข้าตกใจมากจริง ๆ”
กงจี้ยังคงไม่ได้พูดอะไร
ไป๋จีพูดต่อ “แต่พอแม่นางเจียงเปิดหน้าต่างออกมา นางอยู่ในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้า อะแฮ่ม…! เสื้อผ้าก็ไม่เป็นระเบียบอยู่นิดหน่อย แต่นายท่านเชื่อข้านะขอรับ ข้าเป็นคนซื่อตรง และข้าไม่ได้มองอะไรมั่วซั่ว ที่แท้แม่นางเจียงก็นอนลืมนี่เอง แต่จริง ๆ แล้วไม่มีอะไร ข้าก็คิดว่านางป่วยเสียอีก ฮ่า ๆ ๆ”
“ไป๋จี” จู่ ๆ กงจี้ก็พูดขึ้นมาขัดจังหวะการพูดคุยของไป๋จี
ไป๋จีส่งเสียงขานรับเล็กน้อย
กงจี้จึงพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า “เงินประจำเดือนของเจ้าในปีนี้ไม่มีแล้ว”
ไป๋จีพูดไม่ออกทันที
……
ช่วงบ่าย แผนการรักษาพิษที่ขาของกงจี้มีการเปลี่ยนแปลง เจียงป่าวชิงไม่นวดจุดฝังเข็มให้เขาแล้ว แต่ตอนที่กงจี้กำลังแช่เท้าอยู่ นางกลับไปอ่านหนังสือตำราแพทย์ที่โต๊ะหนังสืออย่างเอ้อระเหย
ฝูฉูที่ดูแลเรื่องน้ำชาอยู่ด้านข้างทั้งรู้สึกลังเลและรู้สึกแปลกใจ “แม่นางเจียง เจ้า…”
เจียงป่าวชิงรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือตำราแพทย์และพูดยิ้ม ๆ “ขับสารพิษออกมาได้ประมาณหนึ่งแล้ว จากนี้เป็นต้นไปเพียงแค่แช่เท้า ฝังเข็ม และกินยาก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ฝูฉูมีสีหน้าดีอกดีใจ “ขะ… ขาของท่านชายของข้า…”
เจียงป่าวชิงส่ายหน้าไปมา “การขับพิษถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างมาก ต่อไปก็ต้องดูในส่วนของการฟื้นฟู คุณชายกงไม่ได้เดินนานเกินไป ถึงแม้ว่าจะนวดอย่างต่อเนื่องและขาทั้งสองข้างไม่ได้เกิดการเหี่ยว แต่การกัดกร่อนของสารพิษในระยะยาวยังคงทำลายสองขาของเขาให้แย่ลง จึงทำได้เพียงฟื้นฟูอย่างช้า ๆ ตอนนี้ยังบอกอะไรไม่ได้มากนัก ต้องรอดูผลการกู้คืนในระยะหลังก่อนนะเจ้าคะ”
ใบหน้าของฝูฉูทั้งมีความสุขและเป็นกังวล
กงจี้ไม่ได้พูดอะไร เขาลืมตามองเจียงป่าวชิง จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง
หลังจากฝังเข็มเสร็จแล้ว เจียงป่าวชิงก็เก็บเข็มและให้ใบสั่งยาของวันนี้ ในตอนที่นางกำลังจะกลับ นางครุ่นคิดอยู่สักครู่ สุดท้ายก็พูดกับกงจี้ “คุณชายกง เพราะผลการขับพิษก่อนหน้านี้ยังไม่คงที่ ข้าจึงไม่ได้พูดถึงเงื่อนไขมากเกินไป ทว่าตอนนี้การขับพิษดำเนินไปด้วยดี เหลือเพียงแค่ดูผลการฟื้นฟูระยะหลังว่าเป็นอย่างไร ข้าจึงอยากยืนยันกับเจ้าสักเล็กน้อยว่าเมื่อการฝังเข็มของเจ้าสิ้นสุดลง ข้ากับเจ้าก็จะ ‘ไม่ติดค้างกัน’ และเจ้ารับปากว่าจะเก็บเรื่องการฝังเข็มของข้าเป็นความลับใช่หรือไม่ ?”
เส้นผมสองสามเส้นกระจัดกระจายอยู่บนแก้มของกงจี้ แก้มของเขาดูงดงามราวหยก เส้นผมสีดำราวกับย้อมด้วยน้ำหมึก ทำให้เขาดูเหมือนรูปปั้นที่สวยสดงดงาม เขามองเจียงป่าวชิงทางที่ย้อนแสงและส่งเสียงหัวเราะเยาะนาง “หึ ๆ เจ้าไม่ต้องห่วง เมื่อการรักษาสิ้นสุดลง ระหว่างเจ้ากับข้าก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
เจียงป่าวชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ ราวกับนางฟังไม่ออกถึงความรังเกียจที่อยู่ในคำพูดของเขา “อืม เป็นเช่นนี้แหละถึงจะดีที่สุด” พูดจบ นางก็พยักหน้าให้ทั้งสามคนอย่างเกรงใจและหมุนตัวจากไป
หลังจากที่เจียงป่าวชิงกลับไปแล้ว ไป๋จีก็ลังเลที่จะพูดกับกงจี้ที่กำลังหลับตาพักเหนื่อยอยู่ “นายท่านขอรับ ทักษะการฝังเข็มของแม่นางเจียงถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม และมันจะช่วยเราได้มาก…”
กงจี้ลืมตาขึ้นมาทันที ดวงตาคมกวาดไปทางไป๋จี น้ำเสียงของเขามีความอึมครึมอย่างยากที่จะเข้าใจ “ข้ายังไม่ตกอับถึงขั้นบังคับเด็กสาวผมทองคนหนึ่งให้มาช่วย!”
ไป๋จีสะดุ้ง จากนั้นเขาก็รีบคุกเข่าเพื่อสารภาพความผิดทันที “ขะ… ข้าน้อยพลั้งปากไปแล้วขอรับ”
ฝูฉูเองก็คุกเข่าลงอยู่ด้านข้างเช่นกัน นางไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
.