ผ่านไปไม่นาน เจียงป่าวชิงก็เก็บของออกมาอย่างคล่องแคล่วพร้อมกับถือตะกร้าสานออกมาด้วย จากนั้นก็เดินไปในหมู่บ้านกับฝูฉู
อาจเป็นเพราะช่วงนี้อาการที่ขาของกงจี้ดีขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าฝูฉูจึงมีมากขึ้นเป็นพิเศษ นางเดินกับเจียงป่าวชิงและพูดกับเจียงป่าวชิงไปด้วย “รอให้ขาของท่านชายหายดีแล้ว พวกข้าก็คงจะต้องไปจากที่นี่แล้วล่ะ ข้าจึงอยากใช้เวลาจากช่วงเวลานี้เพื่อลองชิมผักผลไม้สดในภูเขาแห่งนี้ดูนะ”
เจียงป่าวชิงชะงักไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็พยักหน้า “อื้ม ผลไม้บางอย่างอร่อยมากจริง ๆ พี่ฝูฉู”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องแนะนำข้าให้มาก ๆ ลูกท้อที่ข้าซื้อมาเมื่อวานหวานอร่อยมากเลย ท่านชายกับไป๋จีกินกันเสียจนไม่เหลือเลยล่ะ” ฝูฉูมองสีหน้าของเจียงป่าวชิง แล้วนางก็ควงแขนเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงไม่ค่อยชินกับการถูกคนอื่นแตะเนื้อต้องตัวสักเท่าไหร่ จึงยิ้มและเดินให้เร็วยิ่งขึ้น “เรารีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ หากไปช้า ของดีก็อาจจะถูกคนแย่งไปหมดแล้วก็ได้” นางฉวยโอกาสหลบหลีกมือของฝูฉู
ฝูฉูเห็นดังนั้นก็ไม่พูดอะไร นางเก็บมือกลับมาด้วยใบหน้าที่ยังคงมีรอยยิ้ม และรีบเดินตามเจียงป่าวชิงไป
…
ทั้งสองคนมาถึงที่ซานหลี่โว ตอนนี้เป็นช่วงฤดูกาลเพาะปลูก ข้าวสาลีในที่ดินหลายครัวเรือนก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังเช้าอยู่ แต่คนทั้งหมู่บ้านก็แทบจะตื่นกันหมดแล้ว แรงงานที่แข็งแรงก็แทบจะลงนาหมดแล้ว ส่วนพวกที่ไม่มีแรงก็ตั้งแผงขายของอยู่ตรงหน้าบ้านตัวเอง จัดวางผักหรือผลไม้ของบ้านตัวเองไว้บนแผงขายของก็ถือว่าเป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้กับที่บ้านเช่นกัน
เหล่าคนที่วิ่งวุ่นอยู่ในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร รวมถึงคนเสเพลและนักเลงที่ว่างการว่างงาน
เนื่องจากฝูฉูต้องการผักกับผลไม้สด เจียงป่าวชิงจึงพานางไปหาครอบครัวที่มีสวนผลไม้ในบ้านก่อน
ลูกชิง*สีเหลืองออกผลอยู่เต็มกิ่งและกำลังถ่วงอยู่ปลายกิ่ง ดู ๆ แล้วก็ทำให้คนอยากอาหารอยู่พอสมควร ฝูฉูตาเป็นประกายทันที จากนั้นนางก็ชี้ไปที่ลูกชิงเหล่านั้นและพูดกับหญิงชราที่เดินออกมาต้อนรับ “ท่านยาย เลือกลูกใหญ่ ๆ ให้ข้าหน่อยเจ้าค่ะ”
*ลูกชิง = ผลแอปปริคอต
แรงงานของครอบครัวนี้ออกไปเก็บข้าวสาลีในนา จึงเหลือเพียงหญิงชราหลังค่อมเฝ้าสวนคนเดียว นางถือไม้ราวยาวที่มีถุงและเดินมาเคาะลูกชิงด้วยท่าทางสั่น ๆ
เจียงป่าวชิงทนดูไม่ไหว นางจึงหยิบไม้ราวอันนั้นมาจากในมือหญิงชราและเคาะลูกชิงตามคำขอของฝูฉู
ฝูฉูชมเจียงป่าวชิง “แม่นางเจียงยอดเยี่ยมจริง ๆ เจ้าเก็บผลไม้เป็นด้วย”
เจียงป่าวชิงยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
ในตอนจ่ายเงินช่วงสุดท้าย ฝูฉูก็ทำการซื้อลูกชิงส่วนใหญ่ในสวนบ้านนี้ นางให้ทองแดงหญิงชราเป็นจำนวนมาก หญิงชราเบิกตากว้างทันที จากนั้นนางก็พูดด้วยเสียงที่สั่นเทา “ยะ… เยอะเกินไป… ไม่ต้องเยอะขนาดนี้ก็ได้”
ฝูฉูพูดขึ้นเสียงเบา “ท่านยายอายุมากแล้วและชีวิตก็ไม่ง่ายเลย เอาไปเถอะเจ้าค่ะ”
หญิงชราเก็บทองแดงทั้งน้ำตา
ฝูฉูมองเจียงป่าวชิงที่กำลังเก็บไม้ราวให้หญิงชรา “แม่นางเจียง เจ้าไม่ซื้อรึ ?”
เจียงป่าวชิงส่ายหน้าไปมา “ไม่ซื้อเจ้าค่ะ คือว่า… ข้าซื้อไม่ไหวน่ะ”
ราคาที่ฝูฉูจ่ายไปนั้นสูงกว่าราคาตลาดมาก เจียงป่าวชิงไม่ใช่คนที่ชอบตบหน้าตัวเองให้บวมเพื่อให้ดูอ้วน แต่นางซื้อไม่ไหวจริง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ผลไม้จำพวกลูกชิงมีเยอะในหลังเขา เพียงแต่รสมันไม่ได้หวานและลูกใหญ่เหมือนที่คนเพาะปลูก แต่มีรสหวานอมเปรี้ยวเหมือนกัน นอกจากนี้ หากว่ากินตอนช่วงฤดูร้อนก็จะช่วยคลายร้อนได้มากทีเดียว
ฝูฉูพูดกล่อม “เจ้าซื้อสักหน่อยสิ ชีวิตของท่านยายดูเหมือนจะไม่ง่ายเลยนะ นางดูน่าสงสารมากเลย”
เจียงป่าวชิงมองฝูฉู จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ชีวิตข้าก็ไม่ง่ายเหมือนกัน แล้วใครจะมาสงสารข้าล่ะพี่ฝูฉู ?”
เมื่อถูกเจียงป่าวชิงตอบกลับมาเช่นนี้ ความเก้อเขินก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของฝูฉูเล็กน้อย แต่ทว่านางสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ นางเห็นว่าเจียงป่าวชิงดื้อรั้น นางก็ส่ายหน้าและพูดอย่างให้อภัย “เจ้านี่นะ… เฮ้อ! ช่างเถอะ”
เจียงป่าวชิงหันหน้ากลับไปโดยไม่สนใจนาง
หญิงชรารู้จักเจียงป่าวชิง นางจึงแอบยัดลูกชิงใส่อ้อมแขนของเจียงป่าวชิง “ป่าวชิง เจ้าเอาไปชิมสิ หวานมากเลยนะ”
เจียงป่าวชิงคัดค้านอย่างต่อเนื่อง แต่หญิงชรากลับยัดลูกชิงใส่ในอ้อมแขนของเจียงป่าวชิงทั้งอย่างนั้น ยัดเสร็จแล้วนางยังตบไหล่เพื่อบอกให้เจียงป่าวชิงซ่อนไว้ดี ๆ อีกด้วย
ฝูฉูมองมาเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร เจียงป่าวชิงจึงต้องแอบทิ้งทองแดงไว้ก่อนที่จะจากไป
ฝูฉูถือลูกชิงออกมาครึ่งตะกร้า จากนั้นนางก็พูดกับเจียงป่าวชิงเสียงเบา “แม่นางเจียง เป็นมนุษย์ต้องหัดรู้จักมีเมตตา เจ้าดูสิ คุณยายเมื่อสักครู่ยังให้ลูกชิงเจ้ามาเลยไม่ใช่รึ ? เจ้าอย่าได้ให้ความสำคัญกับเงินมากจนเกินไป อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยผู้อื่นเถอะ”
เจียงป่าวชิงหยุดฝีเท้าลง นางมองฝูฉูและหัวเราะออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหน้าแต่ไม่ได้โต้แย้งอะไร
กับคนบางคน เงินไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาจริง ๆ แต่กับคนอีกส่วนหนึ่ง แม้แต่ทองแดงไม่กี่แผ่นก็ถือว่าเป็นฟางข้าวที่ช่วยให้มีชีวิตอยู่รอดสำหรับพวกเขาแล้ว
ต่างคนต่างความคิด เจียงป่าวชิงคร้านจะสื่อสารกับฝูฉู นางจึงครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบ ๆ ว่าครั้งนี้นางจะพาฝูฉูไปให้คุ้นชินกับหมู่บ้านก่อน แล้วต่อไปจะไม่ออกมาซื้อของกับฝูฉูอีกแล้ว
ออกมากับนางนี่ราวกับต้องโทษเลยจริง ๆ
คนที่ขายของในหมู่บ้านนี้ ครอบครัวส่วนใหญ่จะไม่สามารถลงไปทำงานในนาได้ อีกทั้งยังขาดแคลนเงินกันอย่างมาก ฝูฉูซื้อของแบบคนใช้เงินฟุ่มเฟือย รูปโฉมนางก็ไม่ธรรมดา หลังจากที่ซื้อของสองสามอย่างเสร็จแล้ว เจียงป่าวชิงก็สังเกตเห็นอย่างว่องไวว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
เวลานี้ ดูเหมือนพวกคนเสเพลกับนักเลงสองสามคนที่อยู่ไม่ไกลออกไปจะกำลังตามจ้องพวกนางอยู่ แต่หากจะพูดให้ถูกก็คือพวกเขาตามฝูฉูมา
ทว่าคนที่ขายของในหมู่บ้านกลับทำเหมือนฝูฉูเป็นคนแจกเงิน แต่ละคนต่างถือของของตัวเองมาขายอย่างบ้าคลั่งจนแทบจะล้อมพวกนางไว้อยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีพวกที่มือไม้โจรแอบยื่นมือมาขโมยของในตะกร้าของฝูฉูอีกด้วย
เจียงป่าวชิงจึงต้องอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ นางพยายามพาฝูฉูหนีออกมาและมุ่งหน้าไปในภูเขา
เสื้อผ้าของฝูฉูค่อนข้างยับยู่ยี่อยู่เล็กน้อย นางไม่เคยตกอยู่ในสภาพจนตรอกเช่นนี้มาก่อน จึงเฉื่อยชาและพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะ
ผ่านไปสักครู่ ฝูฉูถึงจะดึงสติกลับมาได้และพูดพึมพำว่า “ผู้คน… ผู้คนที่นี่… น่ากลัวมากจริง ๆ เลยนะแม่นางเจียง”
เจียงป่าวชิงถอนหายใจ “เฮ้อ… ผู้คนในหมู่บ้านบนภูเขาละแวกนี้ยากจนมาก พอพวกเขาเห็นคนรวยและ…” เจียงป่าวชิงกลืนคำว่า ‘โง่’ กลับลงไปที่เดิม และเลือกที่จะพูดว่า “…ไม่บ้าคลั่งสิถึงจะแปลกสำหรับพวกเขา”
ฝูฉูกัดริมฝีปากล่าง สีหน้าของนางยังคงขาวซีด เดิมทีเจียงป่าวชิงกำลังทุบเอวอย่างไม่เป็นท่า จู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจึงยืดตัวตรง ฉับพลันสีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
ฝูฉูยังคงงุนงงอยู่เล็กน้อย “มีอะไรรึ ?”
อีกฝั่งหนึ่งของถนนในภูเขา มีนักเลงที่เป็นประเภทพ่อพวงมาลัยสองสามคนกำลังเดินมาทางนี้ด้วยรอยยิ้มที่ดูลามกเหลือจะทน
ฝูฉูไม่ใช่คนโง่ นางเข้าใจสถานการณ์ได้ทันที นางเบิกตากว้าง สีหน้าขาวซีดมากยิ่งขึ้นและอดที่จะก้าวถอยหลังอย่างเสียไม่ได้
ด้านหลังเป็นถนนบนภูเขาที่ขรุขระและอยู่ห่างจากบ้านของพวกนางพอสมควร
เจียงป่าวชิงมีภาพความทรงจำต่อพวกเขา คนพวกนี้เป็นพวกอันธพาลที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ในหมู่บ้านใกล้เคียง ว่างการว่างงานไปวัน ๆ เอาแต่ขโมยไก่กับหมาของชาวบ้าน ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นที่รังเกียจของพวกชาวบ้านเลยก็ว่าได้
เจียงป่าวชิงไม่ได้รู้สึกดีที่เห็นพวกเขามารวมกลุ่มและปรากฏตัวกันที่นี่ นางก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อปกป้องฝูฉู
ชายผู้เป็นหัวหน้าคนนั้น เจียงป่าวชิงจำได้ว่าเขาชื่อโจซาน ภายในบ้านมีเพียงหญิงชราแม่หม้ายที่ตาบอดหนึ่งคนเท่านั้นจึงไม่มีใครสนใจเขา อายุขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่แต่งเมีย เอาแต่ทำตัวเสเพลไปวัน ๆ นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือในหมู่บ้านว่าโจซานคนนี้เป็นโจร เขาใช้เงินที่ขโมยมาเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่อย่างนั้นเขาคงจะหิวตายไปตั้งนานแล้ว
“ไอ้ปัญญาอ่อน เจ้าไสหัวไปซะ พวกข้าไม่สนใจเจ้า อย่ามาขวางทางพวกข้าโดยไม่รู้จักเวล่ำเวลา!” โจซานตะโกนขึ้นมา ขณะที่ลูกกะจ๊อกคนอื่น ๆ ส่งเสียงหัวเราะ
ฝูฉูหน้าซีด
.