ตอนที่ 113 โทษใคร
เจียงป่าวชิงกำหมัดแน่น นางไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับพี่ชายของนางด้วย นางนั้นรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสภาพสังคมในตอนนี้ มีหลายครั้งที่กฎหมายบ้านเมืองใช้บังคับไม่ได้
เจียงป่าวชิงถอนหายใจ จากนั้นนางก็พยุงเจ้าของแผงขายรองเท้าขึ้นมาจากบนพื้นและปลอบนาง “ท่านน้าเจ้าคะ เด็กยากจนแซ่เจียงที่ท่านน้าพูดถึง คือพี่ชายของข้าเองเจ้าค่ะ”
เจ้าของแผงขายรองเท้าเงยหน้าขึ้นมาทันที จากนั้นนางก็พลิกมือมาจับแขนของเจียงป่าวชิงไว้แน่น ริมฝีปากของนางสั่นคลอนราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
นางจะโทษเด็กยากจนแซ่เจียงที่ก็ถูกรังแกเช่นกันอย่างนั้นหรือ ?
ส่วนลึกที่สุดในใจของนางมีความแค้นเคืองอยู่เล็กน้อย โทษที่เขาลาออก… ทำให้ไม่มีที่ระบายสำหรับความโกรธแค้นของพวกลูก ๆ ของขุนนางชั้นสูง จึงทำได้เพียงมาคิดบัญชีกับลูกชายของนาง
แต่จะโทษเขาได้อย่างไร ?
คนที่ควรเกลียดที่สุดไม่ใช่ว่าเป็นพวกลูก ๆ ของขุนนางชั้นสูงที่ทำเลวอย่างไม่ยำเกรงต่อสิ่งใดหรอกหรือ ? เด็กยากจนแซ่เจียงกับลูกชายของนางทำอะไรผิดกันล่ะ ?
หากจะพูดให้ถูกต้องจริง ๆ ก็ต้องโทษคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ไม่ยอมให้ภูมิหลังที่จะไม่ถูกรังแกแก่ลูก ๆ… เมื่อคิดได้ดังนั้น เจ้าของแผงขายรองเท้าก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้สะอึกสะอื้น
เจียงป่าวชิงถอนหายใจยาว ๆ เมื่อเจ้าของแผงขายรองเท้าอารมณ์คงที่แล้ว เจียงป่าวชิงถึงจะพูดคุยกับนาง
เจ้าของแผงขายรองเท้าคนนี้แซ่กาว บ้านอยู่ในซอยเล็ก ๆ ในอำเภอ ผัวของนางตายไปใกล้จะสิบปีแล้ว ส่วนนางก็เลี้ยงลูกชายมาจนโตด้วยตัวคนเดียวอย่างลำบากยากเข็ญ และไม่จำเป็นต้องพูดถึงความลำเค็ญในช่วงเวลานั้นเลย
น้ากาวคนนี้มีฝีมือด้านการเย็บปักถักร้อยซึ่งมีหน้าร้านอยู่ที่บ้าน นางส่งกาวชุนไห่ผู้เป็นลูกชายเข้าเรียนที่โรงเรียนในอำเภอ หากว่ากันตามความจริงคือนางมีความหวังสำหรับอนาคตในภายภาคหน้าแล้ว
เนื่องจากที่บ้านอยู่ห่างจากโรงเรียนพอสมควร กาวชุนไห่จึงต้องเดินไปเรียนและจะกลับบ้านตรงเวลาเลิกเรียนของทุก ๆ วัน เมื่อวันก่อน น้ากาวรออยู่นานก็ไม่เห็นว่ากาวชุนไห่จะกลับมาสักที นางจึงร้อนใจมาก รอจนกระทั่งฟ้ามืด เพื่อนร่วมชั้นของลูกชายที่บ้านอยู่ถัดไปไม่กี่ถนนถึงจะแอบผู้คนออกมาหา และบอกกับนางว่ากาวชุนไห่ทำให้พวกลูก ๆ ของขุนนางชั้นสูงโมโห เพราะเขาไปพูดแทนคนอื่น ทำให้พวกลูกขุนนางจับตัวกาวชุนไห่ไปขังไว้
น้ากาวร้อนใจมาก นางไปที่โรงเรียนแต่กลับไม่ทราบถึงปมของเรื่อง และไม่มีใครสามารถช่วยนางได้ ต่อมาก็ได้มีขุนนางชั้นสูงคนหนึ่งยอมพูดอย่างฝืนใจว่าถ้าหากนางหาเงินยี่สิบตำลึงมาให้เขาได้ เขาก็จะยอมพูดเกลี้ยกล่อมให้กาวชุนไห่ เพื่อให้พวกเขาปล่อยกาวชุนไห่ออกมา
น้ากาวที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องไปรวบรวมเงินกลับมาไถ่ตัวกาวชุนไห่ผู้เป็นลูกชาย
หน้าร้านที่อยู่ในซอยบ้านนาง เนื่องจากทำเลไม่ค่อยดีนางจึงรีบขายมัน อีกทั้งยังถูกคนกดราคาอีกด้วย สุดท้ายจึงขายได้เพียงหกตำลึงเท่านั้นเอง
น้ากาวหยิบทรัพย์สินในบ้านออกมาจนหมดก็ยังรวบรวมได้เพียงไม่กี่ตำลึง บวกกับเงินที่ขายหน้าร้านก็เป็นเงินเพียงสิบสองตำลึงเท่านั้น
ยังเหลือเงินอีกตั้งแปดตำลึง
เพื่อเงินแปดตำลึงนี้ น้ากาวจึงจำเป็นต้องไปหยิบยืมจากที่ต่าง ๆ เพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีในอดีต ส่วนใหญ่ก็เป็นครอบครัวที่ยากจนกันทั้งนั้น เจ้าสิบกว่าตำลึง ข้าสิบกว่าตำลึง เมื่ออนำมารวมกันก็ได้เพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น และยืมใครไม่ได้อีกแล้ว
สองวันมานี้คุณกาวแทะเพียงหมั่นโถวครึ่งลูก นางอยากขายบ้านที่ชำรุดหลังนั้นให้รู้แล้วรู้รอด เพื่อจะได้นำเงินมารวบรวมให้เพียงพอ …แต่นางทำไม่ได้
นั่นคือบ้านของบรรพบุรุษของตระกูลกาว ก่อนที่ผัวของนางจะตาย เขาจับมือนางและพูดสั่งเสียนางไว้สองเรื่อง หนึ่งคือต้องเลี้ยงลูกชายให้โตมาเป็นคนดี สองคือไม่ว่าจะลำบากมากเพียงใดก็ห้ามขายบ้านของบรรพบุรุษเด็ดขาด
เมื่อน้ากาวพูดถึงตรงนี้ นางก็เช็ดน้ำตา “ลูกชายแทบจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว ข้ายังมาสนใจคำสั่งเสียของคนตายอีกทำไมกัน ?! ข้าจะขายบ้านเมื่อกลับไป อย่างน้อยก็สามารถรวบรวมเงินได้อีกสักเล็กน้อย”
เจียงป่าวชิงลูบพื้นรองเท้าป่านที่นางซื้อมาจากน้ากาว งานเย็บนี้ละเอียดและเป็นระเบียบมาก นี่มันให้ความรู้สึกเข้มแข็งกับผู้คนอยู่พอสมควร
“หากว่าขายบ้านก็จะรวบรวมเงินครบแล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะน้ากาว ?” เจียงป่าวชิงพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “แม้ว่าจะทำทุกวิถีทางจนรวบรวมเงินครบแล้ว เมื่อลูกชายของน้ากาวกลับมา พวกน้าสองแม่ลูกจะไปอยู่ที่ไหนล่ะเจ้าคะ ?”
น้ากาวยกฝ่ามือที่ค่อนข้างแห้งเหี่ยวขึ้นมาเช็ดน้ำตา “จะมัวไปสนใจอะไรมากมายได้ที่ไหนกันล่ะ ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาชุนไห่ไว้ก่อน… นี่ก็สองวันแล้ว หากว่าผ่านไปอีกเพียงแค่ไม่กี่วัน ข้ากลัวว่าชุนไห่จะ…”
น้ากาวสะอื้นจนพูดไม่ออก
เจียงป่าวชิงใส่รองเท้าป่านสองคู่นั้นลงไปในถุงผ้าเล็ก ๆ จากนั้นนางก็ลุกขึ้น “น้ากาว น้าอย่าเพิ่งคิดเรื่องบ้านก่อนเลย ข้าเคยไปที่โรงเรียนในอำเภอ ข้าจะไปดูให้ ไม่แน่อาจจะหากาวชุนไห่ของน้ากาวเจอก็ได้”
มีแสงสว่างปรากฏขึ้นในดวงตาของน้ากาวทันที แต่แสงสว่างนั้นกลับจางลงในชั่วพริบตา น้ากาวส่ายหน้า “สาวน้อย เจ้าเป็นเด็ก แต่คนที่บ้านของฝ่ายนั้นล้วนเป็นผู้มีอำนาจและมีอิทธิพลกันทั้งนั้น เจ้าสู้พวกเขาไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นพี่ชายของเจ้าก็คงจะไม่ถูกรังแกจนลาออกไปทั้งแบบนี้ หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ไม่ว่าจะพูดอย่างไรมโนธรรมของข้าก็คงจะรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง”
เจียงป่าวชิงโบกมือไปมาและพูดขึ้นยิ้ม ๆ “น้ากาวไม่ต้องห่วง หากว่ามีอันตรายจริง ๆ ข้าจะต้องปกป้องตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าอย่างนั้นข้าไปดูแล้วนะเจ้าคะ”
น้ากาวกัดริมฝีปาก นางอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายนางกลับหุบปากด้วยอาการเนื้อตัวสั่นเทาทั้งอย่างนั้น นางไม่กล้าคาดหวังอะไรจากสาวน้อยอ่อนแอที่อยู่ตรงหน้านี้เลย เพราะยิ่งคาดหวังมาก ความผิดหวังก็จะมีมากเช่นกัน
แต่นางอยากเชื่อสาวน้อยอ่อนแอคนนี้ดูสักครั้ง
ในความสิ้นหวัง นางยังต้องการแสงสว่าง ถึงแม้ว่าแสงนั้นจะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม
……
เจียงป่าวชิงจำทางได้แม่นมาก นางคลำทางไปที่โรงเรียนในอำเภอได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้ที่โรงเรียนในอำเภอเป็นวันเปิดเรียนปกติ ประตูใหญ่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาและมีเสียงอ่านหนังสือดังออกมาจากกำแพงสูงเป็นระยะ ๆ
เจียงป่าวชิงเดินอ้อมไปตรงจุดที่อยู่ห่างจากประตูใหญ่ไม่ไกล นางคิดแผนรับมือไปด้วย
นางควรเข้าไปอย่างไรดีหนอ ?
บอกว่าพี่ชายของนางลืมของไว้ที่โรงเรียนก็เลยสั่งให้นางมาเอา แต่คำพูดนี้คงจะใช้ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน
และในตอนนี้ เจียงป่าวชิงก็เห็นหมอคนหนึ่งสะพายกล่องยาไว้ข้างหลังและพาเด็กมาด้วย เขากำลังเคาะประตูโรงเรียนอยู่
คนเฝ้าประตูเปิดประตูด้านข้างเพื่อสังเกตเล็กน้อย “เจ้าคือใคร ?”
หมอคนนั้นรายงานตัวเอง “ข้าเป็นหมอจากห้องโถงสือซิน ที่โรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนสองสามคนไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้เพราะติดโรคไข้หวัดเข้า ทางโรงเรียนจึงให้ข้ามาทำการรักษาน่ะ”
คนเฝ้าประตูคนนั้นรีบแสดงความเคารพทันที “ข้าขออภัยที่เสียมารยาท ที่แท้ก็เป็นหมอจากห้องโถงสือซินนี่เอง รบกวนหมอเชิญทางนี้เลยขอรับ”
คนเฝ้าประตูเชิญหมอเข้าไปข้างใน
เจียงป่าวชิงตาเป็นประกายทันที
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ประตูโรงเรียนก็ถูกเคาะอีกครั้ง คนเฝ้าประตูเปิดประตูด้านข้างดูก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย เหตุใดถึงได้เป็นหมออีกแล้ว ?
หมอคนนี้แลดูอ่อนวัยอยู่เล็กน้อย บนริมฝีปากมีเคราเล็ก ๆ อยู่หย่อมหนึ่ง ซึ่งทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม ข้าง ๆ เขาเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่สะพายกล่องยาอยู่ด้านหลัง เด็กคนนั้นแต่งตัวแบบรู้ได้เลยว่าเป็นเด็กรับใช้และซุกผมไว้ในหมวก น่าจะอายุยังน้อย ที่น่าแปลกคือจำแนกรูปลักษณ์ไม่ได้ว่าเป็นชายหรือหญิง
คนเฝ้าประตูพูดพึมพำว่า “เหตุใดถึงได้มีหมอมาอีกหนึ่งคนล่ะ ?”
หมอผู้มาใหม่นี้ทำสีหน้าเคร่งขรึม “อันตัวข้านั้นเป็นหมอจากห้องโถงสงบสุข ทางโรงเรียนแจ้งว่ามีเด็กนักเรียนป่วยเป็นโรคไข้หวัดเข้าแล้ว จึงเชิญข้ามารักษา”
คนเฝ้าประตูงุนงงอยู่เล็กน้อย “เมื่อสักครู่ก็มีหมอจากที่อื่นมาแล้วมิใช่รึ ?”
หมอผู้มาใหม่นี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “โรคไข้หวัดมีหนักมีเบา บางทีบุคลากรในโรงเรียนอาจเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนักเรียน จึงตั้งใจเชิญหมอมาหลายคนก็ได้ เจ้าอย่าได้ขัดขวางเลย เรื่องของนักเรียนไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ หากว่าเจ้าขัดขวางแล้วทำให้การรักษาล่าช้า และนักเรียนเป็นอะไรไป เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ ?”
คนเฝ้าประตูตัวสั่นเพราะคำพูดของหมอคนนี้
ณ ตอนนี้ เด็กในโรงเรียนล้วนเป็นลูก ๆ ของขุนนางชั้นสูงกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับใคร เขาก็รับผิดชอบไม่ไหวทั้งนั้น
.
ตอนที่ 113 โทษใคร
เจียงป่าวชิงกำหมัดแน่น นางไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับพี่ชายของนางด้วย นางนั้นรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสภาพสังคมในตอนนี้ มีหลายครั้งที่กฎหมายบ้านเมืองใช้บังคับไม่ได้
เจียงป่าวชิงถอนหายใจ จากนั้นนางก็พยุงเจ้าของแผงขายรองเท้าขึ้นมาจากบนพื้นและปลอบนาง “ท่านน้าเจ้าคะ เด็กยากจนแซ่เจียงที่ท่านน้าพูดถึง คือพี่ชายของข้าเองเจ้าค่ะ”
เจ้าของแผงขายรองเท้าเงยหน้าขึ้นมาทันที จากนั้นนางก็พลิกมือมาจับแขนของเจียงป่าวชิงไว้แน่น ริมฝีปากของนางสั่นคลอนราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
นางจะโทษเด็กยากจนแซ่เจียงที่ก็ถูกรังแกเช่นกันอย่างนั้นหรือ ?
ส่วนลึกที่สุดในใจของนางมีความแค้นเคืองอยู่เล็กน้อย โทษที่เขาลาออก… ทำให้ไม่มีที่ระบายสำหรับความโกรธแค้นของพวกลูก ๆ ของขุนนางชั้นสูง จึงทำได้เพียงมาคิดบัญชีกับลูกชายของนาง
แต่จะโทษเขาได้อย่างไร ?
คนที่ควรเกลียดที่สุดไม่ใช่ว่าเป็นพวกลูก ๆ ของขุนนางชั้นสูงที่ทำเลวอย่างไม่ยำเกรงต่อสิ่งใดหรอกหรือ ? เด็กยากจนแซ่เจียงกับลูกชายของนางทำอะไรผิดกันล่ะ ?
หากจะพูดให้ถูกต้องจริง ๆ ก็ต้องโทษคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ไม่ยอมให้ภูมิหลังที่จะไม่ถูกรังแกแก่ลูก ๆ… เมื่อคิดได้ดังนั้น เจ้าของแผงขายรองเท้าก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้สะอึกสะอื้น
เจียงป่าวชิงถอนหายใจยาว ๆ เมื่อเจ้าของแผงขายรองเท้าอารมณ์คงที่แล้ว เจียงป่าวชิงถึงจะพูดคุยกับนาง
เจ้าของแผงขายรองเท้าคนนี้แซ่กาว บ้านอยู่ในซอยเล็ก ๆ ในอำเภอ ผัวของนางตายไปใกล้จะสิบปีแล้ว ส่วนนางก็เลี้ยงลูกชายมาจนโตด้วยตัวคนเดียวอย่างลำบากยากเข็ญ และไม่จำเป็นต้องพูดถึงความลำเค็ญในช่วงเวลานั้นเลย
น้ากาวคนนี้มีฝีมือด้านการเย็บปักถักร้อยซึ่งมีหน้าร้านอยู่ที่บ้าน นางส่งกาวชุนไห่ผู้เป็นลูกชายเข้าเรียนที่โรงเรียนในอำเภอ หากว่ากันตามความจริงคือนางมีความหวังสำหรับอนาคตในภายภาคหน้าแล้ว
เนื่องจากที่บ้านอยู่ห่างจากโรงเรียนพอสมควร กาวชุนไห่จึงต้องเดินไปเรียนและจะกลับบ้านตรงเวลาเลิกเรียนของทุก ๆ วัน เมื่อวันก่อน น้ากาวรออยู่นานก็ไม่เห็นว่ากาวชุนไห่จะกลับมาสักที นางจึงร้อนใจมาก รอจนกระทั่งฟ้ามืด เพื่อนร่วมชั้นของลูกชายที่บ้านอยู่ถัดไปไม่กี่ถนนถึงจะแอบผู้คนออกมาหา และบอกกับนางว่ากาวชุนไห่ทำให้พวกลูก ๆ ของขุนนางชั้นสูงโมโห เพราะเขาไปพูดแทนคนอื่น ทำให้พวกลูกขุนนางจับตัวกาวชุนไห่ไปขังไว้
น้ากาวร้อนใจมาก นางไปที่โรงเรียนแต่กลับไม่ทราบถึงปมของเรื่อง และไม่มีใครสามารถช่วยนางได้ ต่อมาก็ได้มีขุนนางชั้นสูงคนหนึ่งยอมพูดอย่างฝืนใจว่าถ้าหากนางหาเงินยี่สิบตำลึงมาให้เขาได้ เขาก็จะยอมพูดเกลี้ยกล่อมให้กาวชุนไห่ เพื่อให้พวกเขาปล่อยกาวชุนไห่ออกมา
น้ากาวที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องไปรวบรวมเงินกลับมาไถ่ตัวกาวชุนไห่ผู้เป็นลูกชาย
หน้าร้านที่อยู่ในซอยบ้านนาง เนื่องจากทำเลไม่ค่อยดีนางจึงรีบขายมัน อีกทั้งยังถูกคนกดราคาอีกด้วย สุดท้ายจึงขายได้เพียงหกตำลึงเท่านั้นเอง
น้ากาวหยิบทรัพย์สินในบ้านออกมาจนหมดก็ยังรวบรวมได้เพียงไม่กี่ตำลึง บวกกับเงินที่ขายหน้าร้านก็เป็นเงินเพียงสิบสองตำลึงเท่านั้น
ยังเหลือเงินอีกตั้งแปดตำลึง
เพื่อเงินแปดตำลึงนี้ น้ากาวจึงจำเป็นต้องไปหยิบยืมจากที่ต่าง ๆ เพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีในอดีต ส่วนใหญ่ก็เป็นครอบครัวที่ยากจนกันทั้งนั้น เจ้าสิบกว่าตำลึง ข้าสิบกว่าตำลึง เมื่ออนำมารวมกันก็ได้เพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น และยืมใครไม่ได้อีกแล้ว
สองวันมานี้คุณกาวแทะเพียงหมั่นโถวครึ่งลูก นางอยากขายบ้านที่ชำรุดหลังนั้นให้รู้แล้วรู้รอด เพื่อจะได้นำเงินมารวบรวมให้เพียงพอ …แต่นางทำไม่ได้
นั่นคือบ้านของบรรพบุรุษของตระกูลกาว ก่อนที่ผัวของนางจะตาย เขาจับมือนางและพูดสั่งเสียนางไว้สองเรื่อง หนึ่งคือต้องเลี้ยงลูกชายให้โตมาเป็นคนดี สองคือไม่ว่าจะลำบากมากเพียงใดก็ห้ามขายบ้านของบรรพบุรุษเด็ดขาด
เมื่อน้ากาวพูดถึงตรงนี้ นางก็เช็ดน้ำตา “ลูกชายแทบจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว ข้ายังมาสนใจคำสั่งเสียของคนตายอีกทำไมกัน ?! ข้าจะขายบ้านเมื่อกลับไป อย่างน้อยก็สามารถรวบรวมเงินได้อีกสักเล็กน้อย”
เจียงป่าวชิงลูบพื้นรองเท้าป่านที่นางซื้อมาจากน้ากาว งานเย็บนี้ละเอียดและเป็นระเบียบมาก นี่มันให้ความรู้สึกเข้มแข็งกับผู้คนอยู่พอสมควร
“หากว่าขายบ้านก็จะรวบรวมเงินครบแล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะน้ากาว ?” เจียงป่าวชิงพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “แม้ว่าจะทำทุกวิถีทางจนรวบรวมเงินครบแล้ว เมื่อลูกชายของน้ากาวกลับมา พวกน้าสองแม่ลูกจะไปอยู่ที่ไหนล่ะเจ้าคะ ?”
น้ากาวยกฝ่ามือที่ค่อนข้างแห้งเหี่ยวขึ้นมาเช็ดน้ำตา “จะมัวไปสนใจอะไรมากมายได้ที่ไหนกันล่ะ ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาชุนไห่ไว้ก่อน… นี่ก็สองวันแล้ว หากว่าผ่านไปอีกเพียงแค่ไม่กี่วัน ข้ากลัวว่าชุนไห่จะ…”
น้ากาวสะอื้นจนพูดไม่ออก
เจียงป่าวชิงใส่รองเท้าป่านสองคู่นั้นลงไปในถุงผ้าเล็ก ๆ จากนั้นนางก็ลุกขึ้น “น้ากาว น้าอย่าเพิ่งคิดเรื่องบ้านก่อนเลย ข้าเคยไปที่โรงเรียนในอำเภอ ข้าจะไปดูให้ ไม่แน่อาจจะหากาวชุนไห่ของน้ากาวเจอก็ได้”
มีแสงสว่างปรากฏขึ้นในดวงตาของน้ากาวทันที แต่แสงสว่างนั้นกลับจางลงในชั่วพริบตา น้ากาวส่ายหน้า “สาวน้อย เจ้าเป็นเด็ก แต่คนที่บ้านของฝ่ายนั้นล้วนเป็นผู้มีอำนาจและมีอิทธิพลกันทั้งนั้น เจ้าสู้พวกเขาไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นพี่ชายของเจ้าก็คงจะไม่ถูกรังแกจนลาออกไปทั้งแบบนี้ หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ไม่ว่าจะพูดอย่างไรมโนธรรมของข้าก็คงจะรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง”
เจียงป่าวชิงโบกมือไปมาและพูดขึ้นยิ้ม ๆ “น้ากาวไม่ต้องห่วง หากว่ามีอันตรายจริง ๆ ข้าจะต้องปกป้องตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าอย่างนั้นข้าไปดูแล้วนะเจ้าคะ”
น้ากาวกัดริมฝีปาก นางอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายนางกลับหุบปากด้วยอาการเนื้อตัวสั่นเทาทั้งอย่างนั้น นางไม่กล้าคาดหวังอะไรจากสาวน้อยอ่อนแอที่อยู่ตรงหน้านี้เลย เพราะยิ่งคาดหวังมาก ความผิดหวังก็จะมีมากเช่นกัน
แต่นางอยากเชื่อสาวน้อยอ่อนแอคนนี้ดูสักครั้ง
ในความสิ้นหวัง นางยังต้องการแสงสว่าง ถึงแม้ว่าแสงนั้นจะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม
……
เจียงป่าวชิงจำทางได้แม่นมาก นางคลำทางไปที่โรงเรียนในอำเภอได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้ที่โรงเรียนในอำเภอเป็นวันเปิดเรียนปกติ ประตูใหญ่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาและมีเสียงอ่านหนังสือดังออกมาจากกำแพงสูงเป็นระยะ ๆ
เจียงป่าวชิงเดินอ้อมไปตรงจุดที่อยู่ห่างจากประตูใหญ่ไม่ไกล นางคิดแผนรับมือไปด้วย
นางควรเข้าไปอย่างไรดีหนอ ?
บอกว่าพี่ชายของนางลืมของไว้ที่โรงเรียนก็เลยสั่งให้นางมาเอา แต่คำพูดนี้คงจะใช้ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน
และในตอนนี้ เจียงป่าวชิงก็เห็นหมอคนหนึ่งสะพายกล่องยาไว้ข้างหลังและพาเด็กมาด้วย เขากำลังเคาะประตูโรงเรียนอยู่
คนเฝ้าประตูเปิดประตูด้านข้างเพื่อสังเกตเล็กน้อย “เจ้าคือใคร ?”
หมอคนนั้นรายงานตัวเอง “ข้าเป็นหมอจากห้องโถงสือซิน ที่โรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนสองสามคนไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้เพราะติดโรคไข้หวัดเข้า ทางโรงเรียนจึงให้ข้ามาทำการรักษาน่ะ”
คนเฝ้าประตูคนนั้นรีบแสดงความเคารพทันที “ข้าขออภัยที่เสียมารยาท ที่แท้ก็เป็นหมอจากห้องโถงสือซินนี่เอง รบกวนหมอเชิญทางนี้เลยขอรับ”
คนเฝ้าประตูเชิญหมอเข้าไปข้างใน
เจียงป่าวชิงตาเป็นประกายทันที
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ประตูโรงเรียนก็ถูกเคาะอีกครั้ง คนเฝ้าประตูเปิดประตูด้านข้างดูก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย เหตุใดถึงได้เป็นหมออีกแล้ว ?
หมอคนนี้แลดูอ่อนวัยอยู่เล็กน้อย บนริมฝีปากมีเคราเล็ก ๆ อยู่หย่อมหนึ่ง ซึ่งทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม ข้าง ๆ เขาเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่สะพายกล่องยาอยู่ด้านหลัง เด็กคนนั้นแต่งตัวแบบรู้ได้เลยว่าเป็นเด็กรับใช้และซุกผมไว้ในหมวก น่าจะอายุยังน้อย ที่น่าแปลกคือจำแนกรูปลักษณ์ไม่ได้ว่าเป็นชายหรือหญิง
คนเฝ้าประตูพูดพึมพำว่า “เหตุใดถึงได้มีหมอมาอีกหนึ่งคนล่ะ ?”
หมอผู้มาใหม่นี้ทำสีหน้าเคร่งขรึม “อันตัวข้านั้นเป็นหมอจากห้องโถงสงบสุข ทางโรงเรียนแจ้งว่ามีเด็กนักเรียนป่วยเป็นโรคไข้หวัดเข้าแล้ว จึงเชิญข้ามารักษา”
คนเฝ้าประตูงุนงงอยู่เล็กน้อย “เมื่อสักครู่ก็มีหมอจากที่อื่นมาแล้วมิใช่รึ ?”
หมอผู้มาใหม่นี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “โรคไข้หวัดมีหนักมีเบา บางทีบุคลากรในโรงเรียนอาจเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนักเรียน จึงตั้งใจเชิญหมอมาหลายคนก็ได้ เจ้าอย่าได้ขัดขวางเลย เรื่องของนักเรียนไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ หากว่าเจ้าขัดขวางแล้วทำให้การรักษาล่าช้า และนักเรียนเป็นอะไรไป เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ ?”
คนเฝ้าประตูตัวสั่นเพราะคำพูดของหมอคนนี้
ณ ตอนนี้ เด็กในโรงเรียนล้วนเป็นลูก ๆ ของขุนนางชั้นสูงกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับใคร เขาก็รับผิดชอบไม่ไหวทั้งนั้น
.