บนใบหน้าของอาซานไท่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น สีหน้าของเขาในตอนนี้ บอกได้เลยว่าโกรธแค้นสุดขีด
“ตระกูลเจียงของเราอาศัยและสืบเชื้อสายในชีหลี่โวแห่งนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ข้าไม่ได้บอกว่าเราเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยอะไร แต่ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวชาวนาที่ขยัน หนักแน่น และอดทน เวลาคนข้างนอกพูดถึงตระกูลเจียง แม้ว่าพวกเขาจะพูดเกี่ยวกับสิ่งที่ดีอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ดูถูกอะไร ทว่าครั้งนี้พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มีหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานไปมั่วโลกีย์กับผู้ชายกลางวันแสก ๆ ช่างขัดต่อประเพณีและศีลธรรมจริง ๆ ขายหน้าตระกูลเจียงของเราไปจนหมดสิ้น และถือว่าได้ทำลายศักดิ์ศรีของตระกูลเจียงของเราไปจนหมดสิ้นเช่นกัน!”
น้ำเสียงของอาซานไท่หนักแน่นอย่างมาก ประกอบกับกับคำพูดเหล่านี้ยิ่งปลุกให้คนในตระกูลเจียงจำนวนมากรู้สึกทั้งอับอายทั้งโกรธเคืองขึ้นมา และแน่นอนว่าเจียงต้ายาเป็นคนนำพาความรู้สึกอับอายและโกรธเคืองนี้มาให้พวกเขา
มีหลายคนหยิบผักที่มีกลิ่นเหม็นเน่าออกมาจากในอ้อมแขนและโยนใส่เจียงต้ายา ปากก็ด่าทอต่อว่านาง “นางบ้า ทั้งหมดมันเป็นเพราะเจ้า! เจ้าทำให้เราอับอายขายขี้หน้า”
“เจ้ามันเป็นหญิงสารเลวหน้าไม่อาย!”
พวกเขาทยอยสาปแช่งเจียงต้ายา
ผ่านไปไม่นาน ใบหน้าของเจียงต้ายาที่ถูกมัดอยู่บนพื้นก็เต็มไปด้วยผักที่มีกลิ่นเหม็นมากมาย
เจียงจือ น้องสี่ของเจียงเฟยเห็นคนรอบ ๆ ต่างพากันโยนผักเน่า เขาก็นึกสนุก จึงหยิบผักโยนใส่เจียงต้ายาตามพวกเขาบ้าง ทว่าเจียงเฟยจับมือของเจียงจือไว้ และแสดงท่าทางของพี่ชายออกมาขณะพูดว่า “พอแล้วน้องสี่ เจ้าอย่าสิ้นเปลืองเสบียงอาหารไปกับคนแบบนางสิ แม้ว่าคนเราจะกินผักเหล่านี้ไม่ได้ แต่ยังสามารถให้หมูกินได้”
ได้ฟังพี่ชายพูดเตือน เจียงจือถึงจะหยุดมือลง
เจียงป่าวชิงมองเห็นท่านปู่เจียงได้จากในฝูงชน ท่านปู่เจียงงอตัวและก้มหน้าลง เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามลดการมีตัวตนของตัวเองลง ทว่านางไม่เห็นเจียงอีหนิวผู้เป็นพ่อของเจียงต้ายา และไม่เห็นเจียงเอ้อยาผู้เป็นน้องสาวเช่นกัน
อาซานไท่ไม่ได้ห้ามทันที ผ่านไปสักพัก เขาถึงจะตำไม้เท้าอีกครั้งเพื่อห้ามความฮึกเหิมของคนในตระกูลเจียง “พอแล้ว! ตอนนี้ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ต่อให้ทุกคนจะโกรธมากเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้สิ่งที่เราต้องการคือจัดการกับเจียงต้ายาเกี่ยวกับเรื่องนี้”
หลังจากเงียบไปชั่วคราวก็ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมา “ยังต้องพูดอีกรึ ? คนที่ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมเช่นนี้จะต้องถูกแช่ในกรงหมูเท่านั้น”
เมื่อเจียงต้ายาที่นอนอยู่บนพื้นมาตลอดและปล่อยให้ผู้คนโยนผักใส่โดยไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ ได้ยินดังนั้น นางก็ตอบสนองอย่างรุนแรงทันที นางตะเกียกตะกายอยู่บนพื้น สองมือของนางถูกมัดไว้และมีผ้าขี้ริ้วยัดปาก ไม่ว่านางจะตะเกียกตะกายอย่างไร นางก็ไม่สามารถปีนขึ้นมาได้อยู่ดี
ในเมื่อวิธีการแช่ในกรงหมูถูกเสนอขึ้นมา ก็ได้รับการสนับสนุนจากคนจำนวนมากทันที
“หญิงสารเลวที่ทำให้เราอับอายขายขี้หน้า ควรถูกแช่ในกรงหมูนั่นแหละถูกแล้ว!”
“ใช่! หลายปีมานี้ตระกูลเจียงของเราเมตตาเกินไปแล้ว ปีที่แล้วตระกูลหวังที่หมู่บ้านลั่วโถว ลูกสาวของบ้านพวกเขาถูกคนเห็นว่าไปจูบปากกับคนอื่น ตระกูลหวังจึงมัดลูกสาวของเขาเข้ากรงหมูและนำไปถ่วงน้ำ นั่นถึงจะชำระความบริสุทธิ์ของคนในบ้านได้”
“ใช่ ข้าก็ได้ยินมาว่ายังมีตระกูลเฉินที่ฉือเอ้อหลี่พูอีกด้วย…”
เจียงเฟยสั่นไปทั้งร่าง เขาลูบแขนที่ขนลุกซู่เล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “แช่กรงหมู ไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือ…?”
เจียงหยุนชานขมวดคิ้ว “ทำแบบนี้ไม่ได้ พี่ต้ายาไม่ได้ไปลักขโมยหรือฆ่าคน นางนั้นเป็นชีวิตหนึ่งชีวิต แล้วการแช่กรงหมูนั้นเป็นการขัดต่อกฎของต้าหลงอีกด้วย”
เจียงจืออายุยังน้อย เขาจึงดึงชายเสื้อของเจียงเฟยเอาไว้ “พี่สาม แช่กรงหมูหมายความว่าอย่างไรรึ ?”
เจียงเฟยแสร้งทำหน้าผีเพื่อทำให้เจียงจือตกใจ “ก็คือจับคนมัดและใส่เข้าไปในกรงหมู จากนั้นก็นำไปโยนลงในน้ำไงเล่า!”
เจียงจือกลั้นหายใจ ฟันของเขาสั่นกระทบกัน “ถ้าอย่างนั้น… ก็ต้องจมน้ำตายน่ะสิ ?”
เจียงเฟยพูด “ใช่ ดังนั้น น้องสี่ต้องเชื่อฟัง ไม่อย่างนั้น ข้าจะจับเจ้าแช่กรงหมู เข้าใจไหม ?”
เจียงจือเบะปากและใกล้จะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
พี่สองของเจียงเฟยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้ว “พวกเจ้าสองคนหุบปากเงียบหน่อยได้ไหม ?”
เจียงเฟยแลบลิ้นออกมา
ตอนนี้มีคนพูดกันให้วุ่น อาซานไท่ที่อยู่ตรงนั้นตำไม้เท้าเล็กน้อย เขาพูดขึ้นว่า “พอแล้ว ความคิดเห็นของทุกคนข้าได้เข้าใจพอประมาณแล้ว แล้วผู้อาวุโสในตระกูลพวกเจ้ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ?”
นี่ก็ถึงตาถามผู้อาวุโสในตระกูลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้ว
เจียงเหล่าหวู่ขมวดคิ้ว “เจียงต้ายาคนนี้ยังไม่ได้แต่งงานก็ไปทำเรื่องน่าอับอายกับคนอื่นแล้ว ทำให้ขายหน้าชาวเราอยู่พอสมควร แต่แช่กรงหมูก็เป็นวิธีที่เด็ดขาดเกินไปหรือเปล่า ? ข้าคิดว่าเด็ดขาดเกินไปนะ”
ผู้อาวุโสที่ลูบเคราอยู่ข้าง ๆ โต้แย้งขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “เหล่าหวู่ ข้าว่าเจ้าไม่มีลูกสาวในบ้าน จึงไม่รู้ว่าที่เจียงต้ายาทำเรื่องแบบนี้มันจะเป็นการทำให้เด็กผู้หญิงทั้งตระกูลของเราขายหน้ามากแค่ไหน ถ้าหากข้าได้ยินในภายหลังว่า โย ในตระกูลของพวกเจ้ามีหญิงเลวทรามที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยไม่ผ่านมือแม่สื่อ ถ้าอย่างนั้นลูกสาวบ้านของพวกเจ้าจะมีความประพฤติเช่นไรก็ไม่ต้องบอกกันแล้วสิ… และนี่จะส่งผลต่อการแต่งงานของเด็กผู้หญิงทั้งตระกูลของเราเจ้ารู้ไหมเล่า ?!”
เจียงเหล่าหวู่ถูกแย้งจนพูดอะไรไม่ออก
ครอบครัวเขาไม่มีลูกผู้หญิง แม้แต่เหลนที่เพิ่งให้กำเนิดโดยหลานชายและลูกสะใภ้ก็ยังเป็นเด็กเล็กอยู่
มีผู้อาวุโสในตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเจียงเหล่าหวู่ในวันธรรมดาได้พูดขึ้น “ถึงจะพูดเช่นนี้ก็เถอะ… แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่งดูน่าสงสารมาก ข้าว่าอย่าแช่กรงหมูเลย ไล่นางออกจากวงศ์ตระกูลก็ถือว่าไม่ได้เป็นคนในตระกูลเจียงแล้ว ให้ครอบครัวของชายที่ล่วงประเวณีนางจัดการตบแต่งนางกลับไปก็ได้แล้วไม่ใช่รึ ?”
เจียงเหล่าหวู่รีบพยักหน้าทันที “เหตุผลนี้แหละดี อย่างน้อยก็ชีวิตคนคนหนึ่งเลยนะ”
ผู้อาวุโสในตระกูลที่บอกว่าจะให้เจียงต้ายาแช่กรงหมูในตอนแรก เลิกคิ้วและตะโกนขึ้น “ข้าดูไม่ออกเลยว่าเหล่าหวู่จะใจอ่อนเป็นด้วย แล้วตอนที่ไปแย่งเสบียงอาหารของบ้านเหล่าชีเมื่อสองสามวันก่อน เหตุใดเจ้าถึงไม่ใจอ่อนแบบนี้บ้างเล่า ?”
เมื่อพูดถึงเสบียงอาหาร นี่ถือว่าเป็นเปลือกนอกของเจียงเหล่าหวู่เลยก็ว่าได้ เขาตบที่จับเก้าอี้ทันที จากนั้นที่จับเก้าอี้ที่ชำรุดทรุดโทรมก็แกว่งไปมาเล็กน้อยจนเกือบจะพังทลายลงมา “เหล่าซาน ที่เจ้าพูดมันหมายความว่าอย่างไร ?! พูดเป็นเรื่อง ๆ ข้ารู้ว่าเจ้าอิจฉา แต่ตอนนี้อย่าเอาเรื่องเสบียงอาหารมาพูด เดิมที ป่าวชิงก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเสบียงอาหารบนที่ดินห้าไร่กับเขาอยู่แล้ว แต่เขาเป็นคนก่อเรื่องเอง เอาแต่ใช้วิธีเลวทรามต่ำช้าถึงได้เสียเสบียงอาหารเดิมไปเช่นนั้น แล้วจะโทษใครได้ถ้าไม่โทษครอบครัวของเขาเอง”
ผู้อาวุโสอันดับที่สามของตระกูลโมโหจนเอาแต่คลำเคราทั้งอย่างนั้น และไม่ได้พูดอะไรอีก เขาก็แค่อิจฉาที่ครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่ได้เสบียงอาหารที่มากมายขนาดนั้นไปโดยไม่ต้องเสียอะไรใด ๆ ประจวบเหมาะกับช่วงนี้เป็นช่วงที่เก็บข้าวสาลีพอดี อย่าถามว่าเขาอิจฉาตาร้อนแค่ไหนเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น!
อาเจียงซานไท่ออกมาโน้มนำอีกครั้ง เขาพูดขึ้นเสียงดัง “ยังมีความคิดเห็นอื่นอีกหรือไม่ ?”
มีผู้อาวุโสในตระกูลคนหนึ่งส่งเสียงหัวเราะออกมา “ข้าเห็นปู่แท้ ๆ ของเจียงต้ายาก็อยู่หนิ ไม่อย่างนั้นให้ปู่ของนางพูดอะไรสักหน่อยไหมล่ะ ?”
ท่านปู่เจียงที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนและอยากทำให้ตัวเองไม่มีตัวตนมาตลอดถูกผลักออกมาข้างหน้า หากว่าเป็นไปได้ ท่านปู่เจียงก็ไม่อยากมาที่นี่หรอก …แต่เขาก็จำเป็นต้องมา
การประชุมของวงศ์ตระกูลโดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากคนในบ้านของเขาแล้ว ถ้าหากเขาไม่มาแล้วเสียเปรียบในภายหลัง ก็โทษคนอื่นว่าไม่ได้แจ้งไม่ได้
เพราะคนอื่นจะบอกว่า ‘ใครใช้ให้เจ้าไม่ไปกันล่ะ’
ถือได้ว่าครอบครัวของท่านปู่เจียงโงหัวไม่ขึ้นที่ชีหลี่โวอย่างสิ้นเชิง หลานชายพาคนไปจับหลานสาวที่เล่นชู้ ช่างเป็นเรื่องที่น่า… มากจริง ๆ
เขารู้สึกเพียงว่าอยากเป็นลมไปและไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย
สีหน้าของท่านปู่เจียงที่ถูกผลักออกมาเขินอายอย่างมาก เขาเป็นคนรักในศักดิ์ศรีของตัวเองมาโดยตลอด และไม่คิดว่าจะมีวันที่ต้องมาอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้
ท่านปู่เจียงมองเจียงต้ายาที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาโหดเหี้ยม เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และมีความอำมหิตปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในบ้าน น่าขายหน้ามาก ถึงแม้ว่าครอบครัวของเราจะยากจน แต่เราทุกคนล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนไอ้ตัวที่ทำให้ขายหน้า ข้าเห็นด้วยที่จะจับมันแช่กรงหมู!”
คนในตระกูลเจียงมีบางคนชมท่านปู่เจียงออกมาอย่างจริงใจว่าทำผิดก็ควรว่าไปตามผิด ไม่เห็นแก่ความเป็นญาติ ทว่าบางคนก็ดูถูกเหยียดหยามเขาว่าโหดเหี้ยม
เจียงต้ายาที่นอนอยู่บนพื้นเบิกตากว้างทันที นางมองท่านปู่เจียงอย่างตำหนิติเตียน
เมื่อท่านปู่เจียงพูดคำว่า ‘แช่กรงหมู’ ออกมา คำพูดต่อไปที่ออกมาจากปากของเขาก็ราบรื่นมากยิ่งขึ้น สีหน้าของเขาเจ็บปวดขณะพูดออกมาว่า “สองวันมานี้ข้ากับเมีย และยังมีพ่อและแม่ของต้ายาที่ใกล้จะโมโหเพราะเจ้าคนเลวทรามไม่เอาไหนคนนี้ ตระกูลเจียงของเราทำงานอย่างยากลำบากมาเกินครึ่งชีวิต ถึงอย่างไรก็ถือว่ามีหน้ามีตาในหมู่บ้าน แต่กลับต้องมาถูกทำลายเพราะหญิงที่อกตัญญูคนนี้!”
“ขายหน้า! ขายขี้หน้าจริง ๆ!”
“แช่กรงหมู ครอบครัวของข้าไม่มีความเห็นใดนอกจากนี้!”
แต่ละคำแต่ละประโยคนั้น เหมือนเป็นการเอาค้อนมาทุบหัวใจของเจียงต้ายาอย่างโหดเหี้ยม นางรู้มาตั้งนานแล้วว่าคนในตระกูลเจียงโหดร้ายไร้ความปราณี แต่นางไม่คิดว่าพวกเขาจะใจดำอำมหิตได้ขนาดนี้
เจียงต้ายารู้สึกสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง
.