ตอนที่ 128 ให้ปลา
ไม่รู้ว่าเรื่องที่มีคนมาเป็นแม่สื่อให้เจียงป่าวชิงถูกเผยแพร่ออกไปได้อย่างไร และมันถูกแพร่กระจายจนข่าวลอยไปถึงหูของซุนต้าหูเรียบร้อยแล้ว
ซุนต้าหูนั่งไม่ติดที่ทันที ข่าวลือไม่ใด้บอกว่าเจียงป่าวชิงตอบตกลงหรือไม่ตกลง เขาอดกลั้นอารมณ์อยู่ที่บ้านเป็นเวลาเกือบสองก้านธูป สุดท้าย เขาก็ไปที่บ้านของเจียงป่าวชิงด้วยจิตใจที่ร้อนรน
ตอนที่ซุนต้าหูกำลังมา เจียงป่าวชิงกำลังผูกโครงต้นอ่อนมะเขือเทศอยู่ในลานบ้านโดยเจียงหยุนชานเป็นคนเก็บกิ่งไม้มาจากในป่า และเขาที่เป็น ‘ผู้พิการ’ ก็ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอยู่ด้านข้าง ช่วยพยุงหรือไม่ก็ส่งของให้เจียงป่าวชิง
ประตูบ้านเปิดออก ซุนต้าหูวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาวิ่งจนเหนื่อยหอบทำให้ทั้งเจียงหยุนชานและเจียงป่าวชิงพากันตกใจไปตาม ๆ กัน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ พี่ต้าหู ?” เจียงหยุนชานลุกขึ้นถามอย่างเป็นห่วง
ซุนต้าหูเห็นเจียงป่าวชิงก็มองเขาอย่างเป็นห่วงอยู่ด้านข้างเช่นกัน ในที่สุดสติของเขาก็กลับมาสักที ทว่าจากนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี เขาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ที่เดิมและไม่รู้ว่าควรจัดวางมือไปไว้ตรงไหน
เจียงป่าวชิงไปล้างมือข้าง ๆ จากนั้นก็ถือน้ำมาให้ซุนต้าหู “พี่ต้าหูเจ้าคะ พี่เหงื่อท่วมทั้งตัวเลย ดื่มน้ำก่อนนะ”
ซุนต้าหูรับถ้วยน้ำไปอย่างระมัดระวัง เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอย่างไร จึงทำได้เพียงดื่มน้ำในถ้วยจนหมดเกลี้ยง
เมื่อวางถ้วยน้ำลง ในที่สุดซุนต้าหูก็พบความสามารถในการจัดระเบียบภาษานิดหน่อยแล้ว เขาจึงพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “น้องป่าวชิง ช่วงนี้… เอ่อ… ช่วงนี้เจ้าสบายดีไหม ?”
เจียงป่าวชิงกะพริบตาปริบ ๆ นางค่อนข้างไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ ๆ ซุนต้าหูถึงถามมาแบบนี้
“ก็… สบายดีเจ้าค่ะ” เจียงป่าวชิงตอบไปตามความจริง
“อ้อ” ซุนต้าหูขานรับอย่างคับแค้นใจ “ข้าก็… ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้นแหละ”
ซุนต้าหูพูดไม่ออกจริง ๆ ว่าทำไมเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถึงได้ทำตัวห่างเหินกับเขาในช่วงนี้
เจียงหยุนชานเห็นว่าบรรยากาศดูแปลกไป เขาจึงค่อนข้างประหม่าอยู่เล็กน้อย “พี่ต้าหู ข้างนอกมีข่าวลือที่ไม่ดีต่อเจียงป่าวชิงหรือเปล่าขอรับ ?” เขาคิดไปคิดมาก็คิดได้เพียงเท่านี้ ที่ทำให้ซุนต้าหูถึงกับต้องวิ่งมาอย่างร้อนรนเพื่อถามเจียงป่าวชิงว่าช่วงนี้นางสบายดีไหม
“อะไร…” ซุนต้าหูตกตะลึงไปทันที “ข้าเพียงแค่ได้ยินว่ามีคนมาเป็นแม่สื่อให้เจียงป่าวชิงเท่านั้น ไม่ได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีอะไร” พูดเสร็จ ในใจของซุนต้าหูก็เหมือนมีอะไรมากระทบกันอยู่ในนั้น
ปากไม่มีประตูแท้ ๆ… เหตุใดเขาถึงได้พลั้งปากเรื่องที่อยากถามจริง ๆ ที่ติดค้างอยู่ในใจออกมาได้กันนะ!
โชคดีที่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานไม่ได้คิดอะไรมาก พูดกันมาถึงเรื่องนี้ เจียงหยุนชานก็ไม่พอใจอยู่เล็กน้อย เขาจึงระบายความคับแค้นใจกับซุนต้าหูเสียเลย “ฮาย พี่ต้าหู อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย เจียงป่าวชิงอายุเท่านี้เอง ไม่รู้ว่าใครหาหญิงชราคนนั้นมา และบอกว่าจะเป็นแม่สื่อให้ป่าวชิง เอาซะข้าตกใจหมด โชคดีที่มีคุณชายบ้านข้าง ๆ ที่ช่วยเราขับไล่หญิงชราคนนั้นไป”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
ซุนต้าหูรู้สึกโล่งใจ เขาเหมือนรู้สึกว่าเขามีชีวิตกลับมาอีกครั้งทำนองนั้น จากนั้นเขาก็พูดอย่างระมัดระวัง “โอ้! ต้องขอบคุณคุณชายคนนั้นมากเลยจริง ๆ”
“ใช่” เจียงหยุนชานเอ่ยชมอย่างจริงใจ “คุณชายคนนั้นเป็นคนดีจริง ๆ” พูดเสร็จ เขาก็หัวเราะอย่างมีความสุข
เจียงป่าวชิงเองก็หัวเราะตามด้วยเช่นกัน “แต่ว่านะ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย ข้าอายุเท่านี้ยังมีคนมาพูดเรื่องแต่งงานกับข้าได้ อันที่จริงก็น่าสนใจดีนะเจ้าคะ”
ซุนต้าหูเองก็จับศีรษะและหัวเราะตามสองพี่น้องเช่นกัน เขากลัวว่าเจียงป่าวชิงจะหมั้นกับคนอื่นไปแล้วเสียอีก ไม่หมั้นก็ดี ไม่หมั้นก็ดีแล้วจริง ๆ
ซุนต้าหูอยู่พูดคุยกับสองพี่น้องต่ออีกสักพักก็ขอตัวกลับ แต่เขาไม่คิดว่าจะเจอกับป๋ายรุ่ยฮัวที่หน้าบ้านของเขาพอดี
ป๋ายรุ่ยฮัวถือเนื้อปลามาหนึ่งกะละมัง นางกำลังมองแม่กุญแจขนาดใหญ่ตรงประตูบ้านซุนต้าหูด้วยความกลัดกลุ้ม ก็ได้ยินซุนต้าหูเรียกนางจากทางด้านหลังเสียก่อน “สะใภ้ตระกูลป๋าย มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ ?”
ป๋ายรุ่ยฮัวตาเป็นประกายทันที นางหันไปมองซุนต้าหู “ต้าหู เจ้าไปไหนมาตอนเที่ยงวันงั้นหรือ ?”
ซุนต้าหูลูบศีรษะตัวเองเบา ๆ “ข้าไปที่บ้านน้องป่าวชิงมา” พูดเสร็จ เขาก็หัวเราะแก้เก้อเล็กน้อย
สีหน้าของป๋ายรุ่ยฮัวเปลี่ยนไปทันที มือของนางที่ถือกะละมังก็สั่นไหว แต่ซุนต้าหูกลับไม่สังเกตเห็นอาการเหล่านี้ เขาไขแม่กุญแจตรงประตูออกด้วยลูกกุญแจและเรียกป๋ายรุ่ยฮัว “สะใภ้ตระกูลป๋าย มีเรื่องอะไรก็เข้ามาคุยกันข้างในเถอะ”
ป๋ายรุ่ยฮัวแค่นยิ้มแล้วยื่นกะละมังไปข้างหน้า “อืม… ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแค่ทำปลาไว้สองตัว ข้ากับเฟิ่งเอ๋อร์กินไม่ไหวเลยเอามาให้เจ้าตัวหนึ่ง”
ซุนต้าหูรู้ว่าสะใภ้ตระกูลป๋ายมีชีวิตที่ไม่ง่ายเลย เขาจึงรีบบ่ายเบี่ยง “ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร เจ้าเก็บไว้ให้เจ้ากับเฟิ่งเอ๋อร์กินเถอะ เฟิ่งเอ๋อร์กำลังโต นางควรได้รับอาการดี ๆ”
ป๋ายรุ่ยฮัวพูดยิ้ม ๆ “เราสองคนกินไม่ไหวแล้วจริง ๆ ถ้าหากวางไว้จนถึงตอนเย็น อากาศร้อนแบบนี้ก็ปลาคงจะเน่ากันพอดี ปกติแล้วเจ้าดูแลเราสองแม่ลูกเป็นอย่างดี แค่ปลาตัวเดียวเอง เหตุใดถึงต้องเกรงใจด้วยล่ะ ?”
ซุนต้าหูยังคงบ่ายเบี่ยง “ฮาย สะใภ้ตระกูลป๋าย เจ้าเกรงใจข้าเกินไปแล้ว แต่ข้า ข้ารู้สึกเกรงใจเจ้าจริง ๆ…”
ซุนต้าหูรู้สึกเกรงใจจริง ๆ อีกอย่าง ครั้งที่แล้วนางก็ให้รองเท้าเขาแล้วด้วย ซุนต้าหูรู้สึกว่าในวันปกติเขาก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรนางมากมาย ป๋ายรุ่ยฮัวชักจะเกรงใจเขามากเกินไปแล้วจริง ๆ
อารมณ์ของป๋ายรุ่ยฮัวดูเหมือนจะควบคุมไม่ได้ทำนองนั้น จู่ ๆ นางก็ก้มหน้าลงและพูดขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ “ต้มซี่โครงใส่ฟักเขียวที่ป่าวชิงให้เจ้า เจ้ายังกินได้เลย แต่ของที่ข้าให้ เจ้ากลับไม่ยอมรับมัน ต้าหู เจ้ารังเกียจอาหารที่ข้าให้ขนาดนั้นเลยหรือ ?”
ซุนต้าหูงงเป็นไก่ตาแตกทันที เขาล่ะสงสัยจริงว่าเหตุใดสะใภ้ตระกูลป๋ายพูดไปได้ไม่กี่คำก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้อย่างนั้นแล้ว
เขาทำอะไรไม่ถูก “ไม่ใช่… ไม่ใช่นะสะใภ้ตระกูลป๋าย ข้าไม่ได้หมายความว่ารังเกียจ เช่นนั้นข้ารับไว้ก็ได้แล้ว มาข้ารับ ข้ารับไว้เอง”
ซุนต้าหูรีบรับปลามาทันที จากนั้นเขาก็เข้าไปในครัวเพื่อหาถ้วยมาใส่ปลา
ป๋ายรุ่ยฮัวพูดอยู่ที่ด้านหลังซุนต้าหู “ต้าหู เจ้าได้ยินหรือยังว่ามีคนมาเป็นแม่สื่อให้เจียงป่าวชิงแล้ว”
การกระทำของซุนต้าหูที่กำลังเทเนื้อปลาใส่ถ้วยชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยิ้มแห้ง “ข้าได้ยินมาแล้ว”
ป๋ายรุ่ยฮัวพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “หลังจากที่ป่าวชิงหายดีแล้ว นางก็ยิ่งเป็นที่สนใจมากขึ้นจริง ๆ ล่ะนะ… ก่อนหน้านี้ที่ป่าวชิงพาข้าไปสถานที่ให้บริการรักษาโรคเพื่อพาเฟิ่งเอ๋อร์ไปตรวจโรค ป่าวชิงก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าของร้านนั้นด้วย การไปตลาดครั้งที่แล้ว ข้าก็เห็นป่าวชิงไปที่ร้านยานั้น จากนั้นนางก็พูดจายิ้มแย้มกับเจ้าของร้านยา ดูสนิทสนมกันมากเลยจริง ๆ”
ซุนต้าหูเกือบถือถ้วยไม่นิ่ง เขาหมุนตัวกลับไปแล้วรีบยัดถ้วยใส่ในมือป๋ายรุ่ยฮัวอย่างรวดเร็ว “สะใภ้ตระกูลป๋าย ข้ารับปลาไว้แล้ว เจ้ารีบกลับบ้านเถอะ เฟิ่งเอ๋อร์อยู่บ้านคนเดียวจะทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจเอาได้”
ป๋ายรุ่ยฮัวกัดริมฝีปากล่างแต่ไม่ได้พูดอะไร นางทำเพียงถือถ้วยกลับไป
ซุนต้าหูตกอยู่ในความทุกข์อีกครั้ง
……
ในลานบ้านทางนี้ เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็ผูกโครงต้นกล้ามะเขือเทศเสร็จเสียที สองพี่น้องมองดูความสำเร็จในการทำงานของตัวเอง และรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น
เจียงป่าวชิงไปล้างลูกชิงป่ามาหนึ่งกะละมัง แล้วนำมาวางบนโต๊ะหินในลานบ้าน นางหยิบขึ้นมากัดหนึ่งลูกก็พบว่ามันรสชาติเปรี้ยวปนหวานผสมไปด้วยรสฝาดเล็กน้อย แต่ยังถือว่าอร่อยอยู่
ลูกชิงป่านี้ นางไปเก็บมาจากต้นลูกชิงที่ขึ้นอยู่ในป่า สามารถกล่าวได้ว่าเป็นผลไม้ที่ขึ้นตามธรรมชาติอย่างแท้จริงและมันปราศจากมลพิษอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากมันไม่ได้ผ่านการบ่มเพาะจากมนุษย์ ลูกชิงป่านี้จึงมีรสฝาดหน่อย ๆ แต่ใช่ว่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร อย่างน้อยเจียงป่าวชิงก็กินอย่างมีความสุขอยู่ดีนั่นแหละ
นางกำลังกินลูกชิง ประตูบ้านที่เปิดอยู่ก็ถูกคนเคาะ เจียงป่าวชิงหันไปมองก็เห็นหวังอาซิ่งขยำชายเสื้อด้วยดวงตาที่แดงก่ำ และยืนทำท่าทางน่าสงสารอยู่ตรงนั้น
.
.
Related