ตอนที่ 13 ความสามารถ
ช่วงนี้บ้านตระกูลหม่าเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข คุณนายหม่าใช้ลูกสาวให้ทำความสะอาดทั้งในบ้านและนอกบ้าน ส่วนนางก็ไปค้นเอาเครื่องนอนเก่า ๆ ในบ้านออกมาฉีกที่ลานบ้าน ในวันที่มีแสงแดดเช่นนี้ นางเอาใยฝ้ายข้างในออกมาตากแดดบนเสื่อกกที่อยู่ในลานบ้าน
อาจาง คนบ้านข้าง ๆ ออกมาให้อาหารไก่เห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้า นางก็สบถออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็คุยเล่นกับคุณนายหม่า “โอ๊ะ! คุณนายหม่าทำความสะอาดครั้งใหญ่ ทั้งยังฉีกผ้าห่มแบบนี้ ในบ้านมีเรื่องดีอะไรแน่ ๆ เลย”
คุณนายหม่าหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นและทุบเอวแรง ๆ “ไม่ใช่ว่าลูกชายคนโตบ้านข้าจะแต่งเมียแล้วรึ ?!”
ในคำพูดนี้ผสมไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจเล็กน้อย
ลูกชายบ้านนางเก่งมาก เขาได้ลูกสะใภ้โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ในท้องของเมียคนนั้นยังมีเด็กพ่วงมาด้วยอีกหนึ่งคน กำไรเห็น ๆ
เมื่อนึกว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะมีหลานตัวน้อยคลานออกมาแล้ว สีหน้าของคุณนายหม่าก็บานแฉ่งเหมือนดอกไม้
อาจางเห็นคุณนายหม่าดีใจเช่นนี้ ในใจนางรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ลูกชายคนเล็กบ้านนางอายุมากกว่าลูกชายคนโตของคุณนายหม่าตั้งสองปี ทว่าจนถึงตอนนี้เมียอยู่ไหนก็ยังไม่เคยเห็นเลย อาจางไม่คิดเลยว่าลูกชายบ้านตระกูลหม่าจะแต่งเมียได้เร็วแบบนี้
อาจางแสร้งทำเป็นยิ้มประหลาดใจ “ไอ้หยา…! นี่มันเรื่องดีมาก ๆ เลยนี่นา แต่มันกะทันหันไปหน่อย ปกติก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะพูดอะไรกับเฉิงหยวนสักเท่าไหร่… เมียลูกเจ้าเป็นลูกสาวบ้านไหนหรือ ?” พูดมาถึงท้ายประโยค อาจางก็นึกถึงเรื่องแต่งงานของลูกชายตัวเอง ในใจนางก็มีความอิจฉาเล็กน้อยผุดขึ้นมา
ลูกชายคนเล็กของนางดีทุกอย่าง แต่เรื่องการแต่งงานค่อนข้างมีอุปสรรคมากไปสักหน่อย ไม่รู้ว่าผู้หญิงพวกนั้นมีปัญหาอะไร ลูกชายของนางดีเด่นถึงเพียงนี้แต่กลับไม่มีผู้หญิงมาชอบเลยสักคน ไม่พอเท่านั้น ลูกชายนาง… เขาเลือกเยอะ รังเกียจนั่นไม่ชอบนี่ ปัญหามากจริง ๆ
หม่าเฉิงหยวนลูกชายคนโตของบ้านตระกูลหม่าสู้ลูกชายคนเล็กบ้านเราได้ที่ไหนกัน ?! ทำไมถึงได้เมียก่อน ?
เมื่อเห็นคุณนายหม่าพูดถึงเรื่องแต่งงานของลูกชายด้วยท่าทางหลงระเริง อาจางก็แสนหมั่นไส้
‘ถุย! ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ตาบอดไปหมดแล้วจริง ๆ!’
คุณนายหม่าเบะปากเล็กน้อย จากนั้นก็เหล่ตามองอาจางและยิ้มมุมปาก “ไอ้หยา! ไม่ใช่ว่าข้าเป็นแม่แล้วเห็นลูกชายบ้านตัวเองดีหรอกนะ เฉิงหยวนของเราเขามีความสามารถ ไม่เหมือนบางคน แม้ว่าจะเป็นที่พึ่งพาให้คนเต็มหมู่บ้าน แต่กลับหาผู้หญิงที่เหมาะสมมาแต่งด้วยไม่ได้ ลูกชายของข้าน่ะ หญิงคนนั้นนางมาชอบเขาเอง บอกว่าจะแต่งงานกับเฉิงหยวนของพวกข้าให้ได้ แม้แต่สินสอดก็ไม่ต้องการให้พวกข้าออกสักสลึง ฝั่งนั้นพกสินสมรสเป็นเงินห้าตำลึงมาอีกต่างหาก ข้าเลี้ยงลูกชายข้ามาดีจริง ๆ มันเป็นเรื่องที่เลือกไม่ได้ เจ้าว่าใช่ไหมเล่าคุณนายจาง ?”
ทันใดนั้น สีหน้าของอาจางก็ดำคร่ำครึเสียยิ่งกว่าก้นหม้อ แรงกำมือของนางแทบจะกำกระด้งที่นำมาให้อาหารไก่จนพัง นางเบะปากหัวเราะ จากนั้นก็พูดเสียงสูง “ไอ้หยา! ที่แท้เมียที่ลูกชายของเจ้าหามาได้นั้นเป็นคนมีปัญหาหรือนี่ คุณนายหม่าข้าว่านะ…” อาจางแสร้งทำทีเป็นห่วง “คำพูดของบ้านข้าบอกไว้ว่าคนมีปัญหาก็เหมือนหญ้าราคาถูก เดี๋ยวนี้เขาเลี้ยงลูกสาวไว้ใช้เอาเงินตอนแต่งงานกันทั้งนั้น บ้านเมียของลูกชายเจ้าไม่ต้องการเงินสักสลึง ทั้งยังให้สินสมรสอีกต่างหาก หรือว่านางจะเป็นคนปัญญาอ่อน ?”
อาจางถือกระด้งมือหนึ่ง อีกมือยกขึ้นมาปิดปากหัวเราะ เมื่อนางเห็นสีหน้าของคุณนายหม่าแย่ลงเรื่อย ๆ นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
“คุณนายหม่าข้าว่านะ เมียของลูกชายเจ้าคนนั้นจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน ที่บ้านของเขาไม่เอาสินสอดจากบ้านเจ้าสักสลึง ก็เพราะอยากไล่นางออกจากบ้านเร็ว ๆ อย่างไรเล่า… แต่เจ้าดันทำความสะอาดและฉีกผ้าห่มแบบนี้ และยังเห็นนางเป็นคนปกติอีก โถ โถ โถ…”
คำว่า ‘โถ โถ โถ’ สามคำสุดท้าย ประกอบกับสีหน้าของอาจางที่ทำเหมือนเป็นห่วง แต่ความเป็นจริงกลับเห็นความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นนั้น ทำให้คุณนายหม่าทนไม่ไหวโดยสิ้นเชิง นางโยนกรรไกรที่ใช้ตัดด้ายลงพื้น จากนั้นก็ดึงหน้าตึง “คุณนายจางเจ้าพูดอะไร เจ้าบอกว่าใครมีปัญหา ? ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง ในท้องของผู้หญิงคนนั้นมีเชื้อพันธุ์ของลูกชายข้าอยู่ในนั้น ไม่แต่งกับลูกชายข้าแล้วจะแต่งกับใครได้อีก ?!”
อาจางสบถคำว่า ‘ไอ้หยา’ ออกมาอย่างเกินจริง จากนั้นนางก็วางกระด้งที่นำมาให้อาหารไก่ลงพื้น และรีบเดินมาเกาะรั้วที่กั้นระหว่างทั้งสองบ้าน ขณะนี้นางไม่สามารถระงับความดีใจที่อยู่ในน้ำเสียงได้เลย “ตายแล้ว คุณนายหม่าเจ้ายังกล้าให้ลูกชายแต่งกับหญิงที่ปล่อยให้ผู้ชายทำให้ท้องก่อนแต่งแบบนี้เข้ามาในบ้านอีกหรือ ?! ข้าไม่ได้ว่านะ แต่ผู้หญิงหน้าด้านแบบนี้ อย่าว่าแต่เงินห้าตำลึงเลย ต่อให้เป็นเงินห้าสิบตำลึง สวนเอ๋อร์ของเราก็ไม่ยอมแต่งด้วยหรอก! มีแต่เฉิงหยวนบ้านเจ้านั่นแหละที่กินไม่เลือก มีอะไรก็เอาเข้ามาในบ้านหมด! อีกอย่าง ในเมื่อนางพากันออกไปเที่ยวเล่นกับลูกชายของเจ้าได้ ทำไมนางจะไปกับคนอื่นไม่ได้ ?! ทำไมเจ้าถึงมั่นใจว่าเชื้อพันธุ์ในท้องของนางเป็นของลูกเจ้า ? ตาของเจ้าผูกติดกับเข็มขัดกางเกงของลูกเจ้าหรืออย่างไร ?”
อาจางพูดจาได้น่าเกลียดอย่างมาก ในใจของคุณนายหม่าถูกกระทบเล็กน้อย
ใช่แล้ว! นางเคยสงสัยว่าเด็กที่อยู่ในท้องของผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นลูกของคนอื่นก็ได้ แต่หม่าเฉิงหยวนคุยโม้กับนางว่าผู้หญิงคนนั้นชอบเขามาก ในใจของนางมีแต่เขาเพียงคนเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นลูกของคนอื่น
ทว่าเมื่อคุณนายจางพูดมาเช่นนี้ ความสงสัยที่เคยมีอยู่ในใจของคุณนายหม่าก็เริ่มกลับมาดุเดือดอีกครั้ง
อาจางเห็นสีหน้าของคุณนายหม่าเปลี่ยนจากซีดเป็นเขียว จากเขียวเป็นซีด นางก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ในใจก็คิดสะใจ ‘ฮ่า ๆ ๆ! แต่งเมียของลูกชายที่เป็นคนมีปัญหา ยังมีหน้าวิ่งมาอวดข้าอีก!’
‘ถ้าเจ้าอวดอีก ข้าก็จะเพิ่มความรำคาญใจให้เจ้าอีก’
อาจางยิ้มและพูดเสริมอีกประโยค “คุณนายหม่า ข้าขอเตือนเจ้าอย่างจริงจังสักประโยค ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าเลี้ยงเชื้อพันธุ์ให้คนอื่นโดยเปล่าประโยชน์ล่ะ”
คำพูดนี้ราวกับเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่กดทับคุณนายหม่าไว้
สีหน้าของคุณนายหม่าบูดบึ้งดูแทบไม่ได้ นางกลับเข้าไปในบ้านด้วยความโกรธ และกระแทกประตูอย่างรุนแรง
อาจางหัวเราะอย่างเย็นชา นางฮัมเพลงพื้นเมือง จากนั้นก็หันไปหยิบกระด้งขึ้นมาแล้วไปให้อาหารไก่ต่ออย่างสบายใจ
……
ตระกูลเจียงคืนเงินห้าตำลึงให้กับเฉจื่อเจิ้ง เจียงต้ายารู้สึกแย่แสนแย่ นางเสมือนเห็นสินสมรสปลิวไปต่อหน้าต่อตาพลันร้อนใจจนเป็นแผลที่มุมปาก และทุกวันก็จะมาร้องห่มร้องไห้ตรงหน้าโจซื่อ “ท้องนี้… ผ่านไปไม่กี่วันก็คงจะซ่อนไม่มิดแล้ว… ท่านแม่ ครอบครัวเราจะให้ข้าไปตายหรือ ?”
ในใจของโจซื่อก็เป็นกังวลมากเช่นกัน เมื่อได้ยินเจียงต้ายาร้องไห้ ในใจของนางก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นเรื่อย ๆ
เจียงเอ้อยามองสีหน้าของโจซื่อ และทำทีเป็นถอนหายใจ “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าครอบครัวเราไม่ช่วยพี่นะ พี่ดูเจียงป่าวชิงมันสิ ตั้งแต่ที่นางหายปัญญาอ่อน นางก็อยู่ไม่ไกลจากคนที่ชอบกวนประสาทคนอื่นเข้าไปทุกทีแล้ว นางพูดเสียงเบาเหมือนดอกไม้ แต่พี่ลองฟังคำพูดนั้นของนางสิ ช่างชวนให้คนอยากเย็บปากนางให้ติดกันเสียจริง ๆ หลายวันมานี้ท่านแม่ของเราก็เครียดจนผมขาวไปหย่อมหนึ่งแล้ว”
เจียงต้ายากำผ้าห่มที่ถูกปูบนเตียงอิฐอย่างแรง “เจียง ป่าว ชิง! เพราะเจ้าคนเดียว!”
ผ่านไปสักพัก ประตูก็ถูกเปิดออกจนเกิดเป็นเสียงดัง ทำให้พวกโจซื่อสามแม่ลูกตกใจ พากันมองไปที่ประตู
เมื่อเห็นเงาอ้วน ๆ ที่อยู่ตรงประตู สีหน้าของทั้งสามคนก็ผ่อนคลายลงทันที
“ท่านแม่!” เงาอ้วน ๆ นั้นเหมือนตอไม้ที่ใช้กระแทกประตูเมืองที่พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของโจซื่อ และกระแทกจนโจซื่อไม่สามารถนั่งให้นิ่งได้ นางล้มลงไปบนเตียงอิฐแล้ว
โจซื่อส่งเสียงร้องออกมาเล็กน้อย จากนั้นนางก็ค้ำเตียงอิฐและยันตนเองลุกขึ้นนั่ง นางจับเด็กอ้วนที่อยู่ในอ้อมกอดไปด้วยพลางนวดเอวตัวเองไปด้วย
นางไม่โกรธ แต่เอ่ยถามเด็กอ้วนด้วยความประหม่าแทน “เจ้าไปหกล้มที่ไหนมาอีก ?”
เด็กอ้วนนั้นบิดตัวอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ในอ้อมกอดของโจซื่อ และถามนางกลับอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน “ข้าไม่ได้หกล้ม ไหนท่านแม่บอกว่าจะตุ๋นซี่โครงให้ข้าอย่างไรล่ะ ไหนหรือซี่โครง ?!”