เช้าวันต่อมา เจียงป่าวชิงเลือกชุดที่ดูสะดุดตาน้อยที่สุดจากในบรรดาชุดที่กงจี้มอบให้ นางครุ่นคิดอยู่สักครู่ และตัดสินใจไม่มัดมวยผม แต่เลือกที่จะทำทรงผมเด็กผู้หญิงที่ไม่เป็นที่ดึงดูดสายตาแทน
เมื่อส่องตัวเองในกระจก เด็กผู้หญิงในกระจกดูมีราศี ดวงตาที่สดใสแลดูอ่อนช้อยราวกับช่อดอกไม้ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างในยามเช้าอย่างไรอย่างนั้น
ชุดนี้เหมาะสมทำให้นางงามสง่าเป็นอย่างมาก
เจียงป่าวชิงรู้สึกพึงพอใจ นางไปที่ห้องหลักและเผชิญหน้ากับไป๋จีที่เข็นรถเข็นกงจี้ออกมาพอดี
มือที่วางอยู่บนตักของกงจี้แข็งทื่อไปเมื่อเขาเห็นเจียงป่าวชิงที่กำลังกะพริบตาปริบ ๆ พลางถอนสายบัวแบบสาวใช้ให้เขาแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ทำความเคารพคุณชายเจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็ยืดตัวตรง หมุนตัวตรงหน้าเขา สุดท้ายนางก็ถามเขายิ้ม ๆ “เป็นยังไงบ้าง ข้าแสดงเหมือนไหม ?”
กงจี้ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานจนเจียงป่าวชิงรู้สึกสงสัย นางมองกงจี้แต่กลับพบว่ากงจี้กำลังจ้องนางตาไม่กะพริบ
สายตาลุ่มลึกนั้นทำให้นางอดไม่ได้ที่จะสั่นเทิ้มในส่วนลึกของจิตวิญญาณของนาง
ทว่าตอนที่เจียงป่าวชิงใจลอย กงจี้ก็ได้เก็บสายตากลับมาเรียบร้อยแล้ว
ราวกับการเพ่งมองที่ลุ่มลึกก่อนหน้านี้เป็นภาพลวงตาอย่างไรอย่างนั้น กงจี้ก้มหน้าลงและวิจารณ์การแต่งกายของเจียงป่าวชิง “นี่มันดูเรียบเกินไป ตัวละครที่ข้าต้องการให้แสดงคือสาวใช้ติดตามที่ร่ำรวย แต่เจ้ากลับแต่งออกมาเรียบ ๆ แบบนี้น่ะหรือ ? ลดระดับให้ข้าไปหน่อยรึเปล่า ทำไมเจ้าถึงไม่ใส่เครื่องประดับที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งมาด้วย ?”
เจียงป่าวชิงไม่คิดว่ากงจี้จะแยกแยะเรื่องนี้ได้ เครื่องประดับเหล่านั้นในโต๊ะเครื่องแป้งดูมีค่ามากเกินไป ตอนนั้นนางพิจารณาดูแล้วและคิดว่ามันจะเป็นการโอ้อวดเกินไปถ้าหากว่า ‘สาวใช้’ ตัวน้อยอย่างนางใส่เครื่องประดับหรู ๆ เหล่านี้
แต่ในเมื่อกงจี้พูดมาเช่นนี้ เจียงป่าวชิงจึงพยักหน้าอย่างเสียมิได้ “อื้ม ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไปเลือกมาใส่สักหน่อยก็ได้”
ไม่นานเจียงป่าวชิงก็กลับมา นางเลือกติดเครื่องประดับผมสีเงินขนาดเล็ก ตรงส่วนหัวของเครื่องประดับชิ้นนี้ถูกทำเป็นรูปผีเสื้อ และนางนำมันมาปักระหว่างมวยผม ติดแล้วดูสดใสน่ารักมาก
สายตาของกงจี้ไปหยุดบนติ่งหูที่ขาวสะอาดของเจียงป่าวชิง จากนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดอีกครั้ง
ร่างกายของเจียงป่าวชิงนั้น ด้วยเพราะเมื่อก่อนนางปัญญาอ่อนมาตลอดจึงไม่มีใครเจาะหูให้นางเป็นธรรมดา จนถึงตอนนี้ นางจึงไม่สามารถสวมใส่สิ่งของจำพวกเครื่องประดับหูได้เลย
“ยังคงเรียบเกินไป” กงจี้กล่าว ทว่าเขาเบี่ยงสายตาไปทางอื่น
เจียงป่าวชิงเริ่มโต้เถียงด้วยเหตุผล “หากว่าข้าใส่อย่างอื่นอีก เสื้อและกระโปรงของข้าก็คงจะเอาไม่อยู่แล้ว เครื่องประดับชิ้นนี้เข้ากับชุดนี้ พอแล้วล่ะ ข้าว่ามันจะดูเป็นการไม่ดีถ้าหากคนเป็นสาวใช้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจนเกินไป”
กงจี้พูดเสียงเย็น “ถ้างั้นเจ้าก็เปลี่ยนเป็นชุดที่สามารถเอาอยู่สิ”
“คุณชายกง!” เจียงป่าวชิงทนไม่ไหวอีกต่อไป การที่ผู้หญิงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าสักชุดไม่ได้ง่ายอย่างที่ปากว่า มวยผมอะไรก็ต้องหวีใหม่หมด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก “ไม่ใช่ว่าเรารีบทำเวลาหรอกรึ ? จัดการให้เสร็จแล้วรีบกลับกันดีกว่า”
ไป๋จีปรบมือให้เจียงป่าวชิงในใจ นางเป็นผู้กล้า ช่างเป็นผู้กล้าจริง ๆ
และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ สายตาของกงจี้อึมครึมขึ้นทันที เขากวาดตามองเจียงป่าวชิงอย่างน่ากลัวเสียจนเจียงป่าวชิงต้องก้าวถอยหลังและยกมือไปคลำตรงเอวอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นนางก็แข็งทื่อไปเล็กน้อยราวกับนึกอะไรได้ สุดท้ายถึงปล่อยมือลงตามเดิม
แขนเสื้อกว้างปกปิดการกระทำของเจียงป่าวชิง แต่กงจี้ยังคงเดาปฏิกิริยาของเจียงป่าวชิงได้จากจุดที่เล็ก ๆ น้อย ๆ
กงจี้รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ นั่น… นางกำลังเตรียมป้องกันตัวจากเขา
กงจี้พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว เขาไม่มองเจียงป่าวชิงอีก แต่เลือกที่จะพูดสั่งไป๋จีอย่างเย็นชาแทน “ไป”
เวลานี้ไป๋จีเองก็ไม่กล้าพูดอะไรเช่นกัน เขาทำเพียงเข็นรถเข็นตามคำสั่งเท่านั้น
เจียงป่าวชิงเม้มริมฝีปาก เดินตามหลังพวกเขาเพื่อออกเดินทาง นางขึ้นบนรถม้าเงียบ ๆ และเห็นว่ากงจี้ได้นั่งลงประจำที่แล้ว
เจียงป่าวชิงสังเกตเห็นว่ารถม้าของวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ตกแต่งภายในห้องโดยสารเท่านั้น แม้แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็ยังดูมีสง่าราศีสุด ๆ ไม่เหมือนกับรถม้าที่พวกเขานั่งตอนขามา
บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนทั้งเงียบและแปลกประหลาดอยู่พอสมควร กงจี้มองเจียงป่าวชิงเล็กน้อย เมื่อจิตใต้สำนึกของเขานึกถึงท่าทางการเตรียมป้องกันตัวของเจียงป่าวชิง ก็เหมือนกับมีใครบางคนกำลังเจาะเขาด้วยสว่านทำนองนั้น
มันไม่เจ็บเท่าตอนที่เจียงป่าวชิงรักษาขาให้เขาเมื่อก่อน แต่เขากลับรู้สึกว่ามันทรมานมากกว่าความเจ็บปวดนั้นหลายเท่า …เขาหลับตาลง ไม่มองเจียงป่าวชิงอีก
เดิมทีเจียงป่าวชิงก็เป็นคนที่ไม่ได้เอะอะโวยวายอะไรอยู่แล้ว ในเมื่อเขาไม่สนใจนาง นางก็จะไม่สนใจเขา กลับกันนางมีความสุขดีเสียอีกที่ได้นั่งอย่างเงียบสงบ แต่อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่ง่ายเลยที่จะเลิกม่านรถเพื่อดูทิวทัศน์โดยรอบในตอนนี้
นางเองก็นั่งและคิดเรื่องต่าง ๆ ในใจอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน
ความเงียบที่แปลกประหลาดนี้คงอยู่จนกระทั่งรถม้าหยุดลง ด้านนอกคึกคักมาก คล้ายกับมีผู้คนจำนวนมากมาออกันอย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงนั่งเงียบ ๆ เหมือนพระเข้าฌาน นางรู้ว่าตอนนี้นางคือ ‘ชิงยู่’ สาวใช้ข้างกายของ ‘ช่างฉีกวาง’ คุณชายผู้ร่ำรวยลึกลับที่แสดงโดยกงจี้
ทุกย่างก้าวของนางจะมีคนคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
ไป๋จีลงจากรถแล้วส่งบัตรประจำตัวให้พ่อบ้าน จากนั้นไม่นานนัก รถม้าก็เคลื่อนเข้าไปในจวน ที่ประตูพระจันทร์ตรงปลายทางเดิน ไป๋จีให้คนจัดเตรียมรถเข็นที่ทำขึ้นเป็นพิเศษแล้ว
เจียงป่าวชิงเข้าสู่บทบาทสาวใช้ที่กำลังพยายามอย่างเต็มที่กับเจ้านายของตนอย่างรวดเร็ว นางยืนข้างกายกงจี้พลางหยิบพัดมาพัดให้เขาและเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “ร้อนไหมเจ้าคะคุณชาย ?”
กงจี้แทบจะแสดงเป็นคุณชายผู้เย่อหยิ่งและร่ำรวยได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งแล้วส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา ดังนั้น ชิงยู่ผู้เป็นสาวใช้จึงต้องพัดให้เขาอย่างเอาใจใส่
พ่อบ้านที่รับหน้าที่เป็นผู้นำทางได้รับคำสั่งพิเศษจากซุนจงอี้แล้วว่าหากพบคุณชายช่างหรือช่างฉีกวางจะต้องเกรงใจเป็นพิเศษ และปฏิบัติกับเขาในฐานะแขกผู้มีเกียรติ
ดังนั้น พ่อบ้านจึงนำทางไปข้างหน้าด้วยความเคารพ ล้อรถเข็นหมุนไปบนทางเดินหินในสวน จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เดินไปข้างหน้า
ครั้งนี้เป็นวันเกิดครบห้าสิบปีของซุนจงอี้ ถึงแม้เขาจะบอกว่าไม่ต้องการมากพิธีรีตองและฟุ่มเฟือยอะไร แต่เขากลับไม่สามารถทน ‘การเอาตัวเองเป็นหลัก’ ของผู้เป็นลูกน้องที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดให้เขาได้ ซุนจงอี้จึงต้องทำเป็นปฏิเสธทั้ง ๆ ที่ใจอยาก
เกือบทั่วทั้งสวนล้วนถูกตกแต่งอย่างดี คนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านทางเดินที่มีต้นไม้หนาแน่น ด้านหน้าเป็นที่โล่งและมีทะเลสาบขนาดใหญ่ ทางเดินทอดยาวจากทะเลสาบ และบนผืนน้ำมีการเพิ่มไอน้ำกินพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นกัน
มีเรือดอกไม้จอดเทียบท่าอยู่บนผิวน้ำ ที่จวนของซุนจงอี้เชิญให้คณะบรรเลงเพลงทำการบรรเลงบทเพลงบนเรือดอกไม้ …เสียงเพลงไพเราะกับเสียงน้ำจาง ๆ ช่างเคล้าคลอได้บรรยากาศงานเลี้ยง
เวลานี้มีแขกมากันเป็นจำนวนมากแล้ว ถึงอย่างไรขุนนางที่ใหญ่ที่สุดก็คือซุนจงอี้ เขาอายุครบห้าสิบปีเต็ม มีหรือที่ลูกน้องเบื้องล่างที่มีชื่อเสียงจะไม่กล้ามา และไม่ใช่แค่มาอย่างเดียว ยังต้องนำของขวัญที่เตรียมมาอย่างดีโดยนำมาให้ก่อนเวลาอีกด้วย
ริมทะเลสาบมีทางเดินตากอากาศมากมาย และมีการจัดเตรียมผลไม้กับชาไว้ข้างใน แม้ในขณะนี้งานยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ ขุนนางต่าง ๆ ก็นั่งลงตามอำเภอใจและคุยกันอย่างสบายใจแล้ว
ทว่าแม้จะบอกว่า ตามอำเภอใจ แต่ความเป็นจริงคือขึ้นอยู่กับระดับของตำแหน่งขุนนาง ซึ่งพวกเขาแบ่งพรรคแบ่งพวกนั่งกันเป็นกลุ่ม
กงจี้สังเกตสถานที่อย่างเอ้อระเหย เขาหลับตาลงอย่างเกียจคร้านด้วยท่าทางไร้ความสนุกสนาน
พ่อบ้านพากงจี้และพรรคพวกมาที่ในศาลา เสร็จแล้วเขาก็ขอตัวลาเพราะยังมีเรื่องอื่นให้ต้องไปทำต่อ
กงจี้รู้ว่านี่เป็นเพียงการขอตัวลาของคนภายนอกเท่านั้น แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังคงแอบสังเกตพวกเขาอยู่
เจียงป่าวชิงพัดให้กงจี้มาตลอดทาง นางจึงรู้สึกล้าสองมือมาก พัดไปพัดมาก็เริ่มค่อนข้างไร้เรี่ยวแรงอย่างที่เห็น กงจี้ชำเลืองมองนางเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า “ไปรินชาให้ข้า”
สาวใช้ในจวนของซุนจงอี้ที่ปรนนิบัติอยู่ในศาลารีบเดินไปรินชาใส่ถ้วยทันที ทว่ากงจี้พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ไม่ต้อง ข้าไม่ดื่มชาที่คนนอกรินให้”
สาวใช้ในจวนของข้าหลวงซุนจึงต้องขอตัวลาไปอย่างเก้อเขิน
เจียงป่าวชิงถือโอกาสวางพัดลงแล้วไปรินชาให้กงจี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเต็มใจ ‘เมื่อยแขนจะตายอยู่แล้ว’ นางคิด จากนั้นนางก็ส่งถ้วยชาให้กงจี้ด้วยสองมือ
“คุณชาย เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”
.
Related