เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป คิ้วโก่งสวยของจูฮัวโค้งกลับด้านทันที สีหน้าของนางก็ดูแย่มากเช่นกัน “นางคนบ้านนอก! ข้าว่าเจ้าคงจะคันเนื้อคันหนังอยากมีเรื่องเต็มทีแล้ว”
“จูฮัว!” เซยู่เสียตะคอกใส่จูฮัวอีกครั้ง
“โธ่! คุณหนูเจ้าขา นางด่าว่าข้าเป็นหมาเลยนะเจ้าคะ” จูฮัวประฌามเจียงป่าวชิงอย่างไม่ยอมเลิกรา
เซยูเสียขมวดคิ้ว นางส่ายหน้าให้จูฮัวเพื่อบอกให้นางไม่ต้องพูดอีก จูฮัวถึงจะหุบปากอย่างน้อยใจ
เซยู่เสียถอนสายบัวให้เจียงป่าวชิง “แม่นางเจียง สาวใช้ของข้าเสียมารยาทอีกแล้ว เจ้าอย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเลย หากมีอะไรที่ไม่เหมาะสม ข้าชดใช้แทนสาวใช้ของข้าก็ได้”
เจียงป่าวชิงมองเซยู่เสียยิ้ม ๆ “แม่นางเซพอเถอะ ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกเจ้าก็ไม่ต้องทำเป็นคนหนึ่งร้องหน้าแดง คนหนึ่งร้องหน้าดำแล้ว บอกตามตรงเลยนะ ข้าไม่หลงกลพวกเจ้าหรอก”
สีหน้าของเซยู่เสียเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ในที่สุดความฝืดฝืนก็ปรากฏอยู่ในดวงตาของนางเล็กน้อย “เอ๊ะ! หรือว่าแม่นางเจียงยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่อีก ? เมื่อวานข้าตกใจจริง ๆ จึงได้ไร้สติกระทำการไม่ยั้งคิดไปชั่วขณะ”
จูฮัวพูดแทรกขึ้นมาอย่างน้อยใจ “คุณหนูเจ้าขา ทำไมคุณหนูต้องพูดกับนางเรื่องนี้ด้วยท่าทางเคารพแบบนั้นด้วยล่ะเจ้าคะ ? เรื่องเมื่อวาน ข้าเองก็ได้ฟังมาแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าคุณหนูเคยถูกงูกัดมาก่อน มันก็เป็นธรรมดาที่จะหวาดกลัวจนตกตะลึงไปชั่วขณะแบบนั้นแหละเจ้าค่ะ”
เจียงป่าวชิงถอนหายใจยาว “เฮ้อ…! พูดกับพวกเจ้านี่เหนื่อยจริง ๆ พวกเจ้าพูดตรง ๆ ไม่ได้หรือไง ? ทำไมต้องพูดอ้อมไปไกลด้วย” นางถอนหายใจอีกครั้ง “นี่แม่นางเซ ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟังว่าข้าเองก็รู้เรื่องที่เจ้าเคยถูกงูกัด เพราะตอนนั้นเป็นข้าเองนี่แหละที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย”
ได้ฟังที่เจียงป่าวชิงพูด สีหน้าของเซยู่เสียกับจูฮัวพลันเปลี่ยนไป พวกนางสังเกตเจียงป่าวชิงด้วยสายตาสงสัยและไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงเด็กสาวชนบทตรงหน้าที่แต่งตัวเรียบง่ายแต่รูปโฉมที่งดงามของนางกลับไม่สามารถปกปิดได้ กับขอทานตัวน้อยในความทรงจำคนนั้นได้เลย
นั่นคือคนคนเดียวกันหรอกหรือ ?!
ไม่กระมัง!
สีหน้าของเซยู่เสียดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง นางถามอย่างลังเลว่า “แม่นางเจียง เป็นเจ้าจริง ๆ รึ ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า
“ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง!” จูฮัวพูดขึ้นเสียงดัง “คนที่ตีหน้าซื่อหลอกเอาเงินพวกเราคือเจ้านี่เอง”
จูฮัวพูดกับเซยู่เสียอย่างเร่งรีบ “คุณหนูเจ้าคะ เราไปบอกเรื่องนี้กับพี่ใหญ่กันเถอะเจ้าค่ะ พี่ใหญ่จะต้องรับผิดชอบให้คุณหนูอย่างแน่นอนเลย”
“พี่ใหญ่…” ที่จูฮัวพูดคงจะหมายถึงฝูฉู
สีหน้าของเซยู่เสียเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกไม่เลิกรา สุดท้ายนางก็ตัดสินใจ นางดึงจูฮัวที่กำลังตั้งท่าพร้อมบุกและส่ายหน้าให้สาวใช้ของตน
จูฮัวพูดอย่างตกตะลึง “คุณหนู”
เซยู่เสียไม่สนใจจูฮัว นางเลือกที่จะพูดกับเจียงป่าวชิงยิ้ม ๆ แทน “ที่แท้ข้ากับแม่นางเจียง เราเคยมีวาสนาต่อกันนี่เอง ถ้าอย่างนั้นก็คงจะคุยง่ายขึ้น อันที่จริงข้าอยากจะขอร้องแม่นางเจียงเรื่องหนึ่ง โปรดแม่นางเจียงช่วยตกลงโดยที่เห็นแก่วาสนาในอดีตของเราด้วยเถอะ”
เจียงป่าวชิงเกือบจะหัวเราะออกมาอยู่รอมร่อ …วาสนาในอดีตอย่างนั้นรึ ?
วาสนาที่พวกนางถูกนางฟันราคาอย่างโหดเหี้ยมอย่างนั้นน่ะหรือ ?
ไม่ใช่ว่านี่เป็นการหยิบยกเรื่องในอดีตมาข่มขู่นางหรอกหรือ ?
เจียงป่าวชิงกลั้นขำ นางเองก็อยากรู้เช่นกันว่าที่เซยู่เสียพูดอ้อมไปไกลขนาดนั้น แท้จริงแล้วนางมีจุดประสงค์อะไรกันแน่
เจียงป่าวชิงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “แม่นางเซ ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ เลยแล้วกัน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ?”
เซยู่เสียลังเลใจ นางมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าบริเวณโดยรอบนี้ไร้ซึ่งผู้คน นางถึงจะพูดขึ้นด้วยเสียงอันเบา “แม่นางเจียงเองก็รู้ว่าข้อเท้าข้าเคล็ด ถึงแม้ว่าจะเข้ากระดูกแล้ว แต่ถึงยังไงมันก็กระทบไปถึงเส้นเอ็นอยู่ดี ดังนั้น ข้าจึงต้องการพักผ่อนอย่างสงบ ข้าได้ยินพี่สาวของข้าบอกว่าแม่นางเจียงเป็นคนสำคัญคอยช่วยเหลือคุณชายกงมากพอสมควร ตอนนี้ข้าจึงตั้งใจแบกหน้ามาขอร้องแม่นางเจียงโดยเฉพาะ แม่นางเจียงช่วยพูดกับคุณชายกง ให้เขาอนุญาตให้ข้าพักอยู่ที่นี่จนกว่าข้อเท้าของข้าจะดีขึ้นแล้วข้าค่อยกลับได้หรือไม่ ?”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
เจียงป่าวชิงเข้าใจแล้ว ยายคุณหนูเอาแต่ใจคนนี้เข้าหานางก็เพราะมีอะไรจะวานให้ทำจริง ๆ ด้วย นางยังคงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “เรื่องนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทำไมเจ้าไม่ไปขอร้องพี่สาวของเจ้าล่ะ ?”
เซยู่เสียเองก็อยากจะขอร้องฝูฉู แต่ท่าทีของฝูฉูเมื่อวาน มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าฝูฉูจะไม่อยู่ข้างนางอย่างแน่นอน นางขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์เปล่า ๆ
เซยู่เสียถอนหายใจ “เฮ้อ… นั่นก็ช่วยไม่ได้ พี่สาวข้าเห็นคุณชายกงเป็นเจ้านายของนาง แน่นอนว่านางกลัวว่าถ้าขอให้ข้าพักฟื้นอยู่ที่นี่ ข้าจะรบกวนคุณชายกง คิดไปคิดมา ข้าคงทำได้เพียงมาขอร้องแม่นางเจียงให้ช่วยพูดให้ หวังว่าแม่นางเจียงจะเห็นแก่วาสนาในอดีตของเราและยอมช่วยข้าสักครั้ง”
พูดไปพูดมา นางก็ยังไม่ลืมที่จะหยิบยกเรื่องในอดีตมากดดันเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงอยากถอนหายใจใส่หน้าเซยู่เสียจริง ๆ นางจะรู้หรือไม่นะ ว่าด้วยความสามารถในการฟังอันโดดเด่นของกงจี้กับไป๋จี ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกเขาอาจจะได้ยินเรื่องที่พวกนางคุยกันก่อนหน้านี้อย่างชัดเจนแล้วก็ได้ แต่ดูสิ เซยู่เสียยังหยิบยกเรื่องเก่า ๆ มาพูดกับนางอีก นั่นถือว่าคิดผิดแล้ว
อีกอย่าง กงจี้เคยรับรู้เรื่องในอดีตนี้แล้ว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีความรู้สึกไม่ดีต่อนางเอามาก ๆ ต่อมา เมื่อเขารู้มูลเหตุของเรื่องนี้ ก็ทำเพียงแค่หัวเราะเยาะนางเท่านั้น
เจียงป่าวชิงกลัวสิ่งนี้ที่ไหนกันล่ะ
นางถอนหายใจแล้วพูดกับเซยู่เสียอย่างอดทน “แม่นางเซ ที่เจ้าพูดอ้อมไปตั้งไกลก็เพราะอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อยอย่างนั้นสิ แต่เจ้าบอกข้าแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ สู้เจ้าไปบอกคุณชายกงด้วยตัวเองยังจะดีเสียกว่า หากว่าเจ้าอยู่ที่นี่แล้วจะเป็นการรบกวนคุณชายเขาจริง ๆ ใครไปพูดก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น แต่ถ้าเจ้ามั่นใจว่าเจ้าอยู่ต่อแล้วจะไม่เป็นการรบกวนคุณชาย เจ้าไปขอร้องเขาด้วยตัวเอง ใช่ว่าคุณชายกงจะปฏิบัติอย่างเข้มงวดเสียหน่อย เขาอาจจะอนุญาตง่าย ๆ ก็ได้นะ”
เซยู่เสียรู้สึกมึนงงทันที นางขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ “เจ้าไม่รู้จักคุณชายกงดี เขาไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนความคิดง่าย ๆ ขนาดนั้น”
“ก็ใช่ ข้าไม่รู้จักเขาดี” เจียงป่าวชิงพยักหน้าคล้อยตาม “แต่แล้วยังไงล่ะ เพราะข้าไม่ได้รู้จักเขาดี ข้าจึงพูดอะไรไม่ได้ แม่นางเซตามสบายเถอะ ข้ายังต้องไปตัดหญ้าในสวนผักอีก” พูดเสร็จ นางก็หมุนตัวเดินจากไป
เซยู่เสียเห็นเจียงป่าวชิงมีท่าทีไม่สะทกสะท้านอันใดเลย จึงอดไม่ได้ที่จะพูดอะไรบางอย่างกับเจียงป่าวชิง แต่กลับเห็นเจียงป่าวชิงหันกลับมาและยกมือขึ้นที่ปากเพื่อทำท่าจุ๊ปากเสียก่อน
เจียงป่าวชิงพูดเตือนนาง “อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไปอย่าง คุณชายกงหูไวตาไวมาก โดยเฉพาะหูของเขานี่ดีมากเลยแหละ ตอนนี้เกรงว่าเขาคงจะได้ยินหมดแล้ว ดังนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว ไปขอร้องเขาตรง ๆ เลยดีกว่า”
เซยู่เสียได้ยินคำกล่าวนี้ นางก็ตกใจพูดไม่ออกเลยทีเดียว
คุณชายกงได้ยินหมดแล้วอย่างนั้นรึ ?
เจียงป่าวชิงพึงพอใจกับท่าทางแข็งทื่อของอีกฝ่าย นางเดินจากไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
พูดเป็นเล่น ไม่ว่าเซยู่เสียหรือฝูฉู เรื่องของพวกนางมีความเกี่ยวข้องอะไรกับนางด้วย ? เหตุใดพวกนางถึงไม่ทำเรื่องประเภทที่ว่าไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน แต่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างสวยอะไรทำนองนั้นล่ะ ?
ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ สองพี่น้องคู่นั้นคิดแต่จะดึงนางลงน้ำอยู่เรื่อย
……
ก่อนที่จะถึงเวลากลางวัน ตอนที่เจียงป่าวชิงถือตะกร้าเพื่อเตรียมไปซื้อเนื้อสัตว์ในหมู่บ้าน นางก็เห็นรถม้าคันหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าบ้านข้าง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปอย่างช้า ๆ
ตอนที่ผ่านตรงหน้าเจียงป่าวชิง ม่านรถม้าก็ถูกเลิกออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่ยอมแพ้ของเซยู่เสีย นางมองเจียงป่าวชิง ริมฝีปากของนางก็กระตุกเล็กน้อย “เจียงป่าวชิง ข้าจะจำหน้าเจ้าไว้”
เจียงป่าวชิงส่งยิ้มอย่างสงบให้นาง จากนั้นก็ถือตะกร้าแล้วเดินผ่านจากข้าง ๆ โดยที่ไม่เหล่ตาไปมองนางแม้แต่นิดเดียว
เซยู่เสียจะจดจำหน้านางหรือไม่นั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนางด้วยเล่า ?
เมื่อมาถึงในหมู่บ้าน เพราะนี่เป็นช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงกลางวันแล้ว จึงมีพวกผู้ชายที่ทำงานอยู่ในนา คนที่กลับมากินข้าว หรือผู้หญิงที่คนที่บ้านใช้ให้ไปส่งข้าวในนาเดินกันให้เพ่นพ่าน ตอนนี้ในหมู่บ้านมีผู้คนเดินกันขวักไขว่
เจียงป่าวชิงเดินไปที่บ้านของคนเชือดสัตว์ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงร้องของผู้หญิงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เสียงนี้แหลมบาดหูฟังดูน่าสยดสยองมากจนชาวบ้านสองสามคนหยุดฝีเท้าลง และพากันซุบซิบนินทาอยู่ตรงนั้น “ไอ้โย! ฟังการเคลื่อนไหวนี้สิ ดูเหมือนว่าคนที่บ้านของไอ้หน้าลายชูจะเริ่มอีกแล้ว”
.