เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานป้อนนมให้เจ้าเด็กน้อยมาสองสามวันแล้ว พวกเขาก็คิดว่าหลังจากนี้ไม่ควรเรียกว่าเจ้าเด็กน้อยอีกต่อไป
ทั้งสองคนตัดสินใจว่าถึงเวลาตั้งชื่อให้สาวน้อยคนนี้เสียที
เจียงป่าวชิงเป็นคนให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อ ชื่อแรกที่นางคิดจะตั้งให้สาวน้อยนั้น ฟังแล้วให้ความรู้สึกราวกับจดหมายจากสายฝนอย่างไรอย่างนั้น น่าเสียดายที่มันไม่ค่อยตรงใจนางสักเท่าไหร่นัก
เจียงหยุนชานเห็นน้องสาวว้าวุ่นใจจึงให้คำแนะนำ “ถ้าไม่อย่างนั้นเราตั้งชื่อว่าฟ๋านฟ๋านสิ ดีไหมล่ะ ? ชื่อนี้มาจากบทกวี《 ยงเฟิง จ้ายฉือ 》ในท่อนที่บอกว่า ‘ข้าเดินอยู่ในทุ่งนา ข้าวสาลีอุดมสมบูรณ์มาก’ ข้าหวังว่าเจ้าตัวเล็กจะเข้มแข็งและมีพลังชีวิตดุจดั่งต้นไม้”
พูดเสร็จ เจียงหยุนชานก็ปิดท้ายด้วยรอยยิ้ม
เจียงป่าวชิงพูดคำว่า ‘ฟ๋านฟ๋าน’ อยู่หลายครั้งก็รู้สึกว่าชื่อนี้รื่นหูดีจึงตั้งชื่อนี้ให้สาวน้อย
ในที่สุดเจ้าตัวน้อยคนนี้ก็มีชื่ออย่างเป็นทางการแล้ว นางชื่อว่าเจียงฟ๋านฟ๋าน
ก่อนหน้านี้เจียงป่าวชิงเคยพูดไว้ว่าจะไปทำสัญญาที่สถานที่ทำงานของหัวหน้าหมู่บ้านด้วยกันกับตระกูลชู เพื่อยืนยันว่าต่อจากนี้ไป เด็กน้อยจะไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับตระกูลชูอีก ตอนนั้นนางแค่ทำเพื่อให้ชูเหล่าไท่รู้สึกสบายใจเท่านั้น จึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่ต่อให้นางไม่เก็บมาใส่ใจ ตระกูลชูกลับเป็นฝ่ายกลัวว่านางจะเลี้ยงเด็กไม่รอด แล้วพอถึงตอนนั้นนางอาจจะมาสร้างปัญหาให้กับตระกูลชูของพวกเขาก็เป็นได้ จึงสั่งให้หลาน ๆ มาเร่งเจียงป่าวชิงวันละหลายครั้งเพื่อให้เจียงป่าวชิงไปทำสัญญานี้ที่สถานที่ทำงานของหัวหน้าหมู่บ้าน
ที่หน้าบ้านของเจียงป่าวชิงมีเด็กสาวหน้าตาเหลืองซูบสองสามคนยืนอยู่ พวกนางใส่เสื้อผ้าขาด ๆ โทรม ๆ ดูก็รู้ว่าเอาเสื้อผ้าที่เหลือของคนเป็นพี่มาใส่ ไม่รู้ว่าพี่คนไหนใส่ไปแล้วบ้างกว่าจะตกมาถึงพวกนาง พวกนางยืนรอกันอยู่ตรงนั้นด้วยสภาพที่หิวโซดูน่าเวทนา ไม่รู้ว่าตระกูลชูจงใจหรือเปล่าที่ให้พวกเด็กสาวไร้เรี่ยวแรงเหล่านี้มาส่งต่อข้อความ
เจียงป่าวชิงหัวเราะเยาะเมื่อนึกถึงประเด็นนี้ สุดท้ายนางตัดสินใจไปกับเจียงหยุนชานเสียเลย นางห่อร่างเสี่ยวฟ๋านฟ๋านให้ดีแล้วอุ้มออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังสถานที่ทำงานของหัวหน้าหมู่บ้าน
ทางฝั่งของหัวหน้าหมู่บ้านกำลังจะไปเดินเล่น ก็เห็นชูเหล่าไท่กับเจียงป่าวชิงและเจียงหยุนชานมาที่นี่เสียก่อน นอกจากนี้ เจียงป่าวชิงยังอุ้มทารกคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขนของนางอีกด้วย
เรื่องที่เจียงป่าวชิงเก็บทารกตระกูลชูมาเลี้ยง สองสามวันนี้มันถูกเล่าต่อ ๆ กันไปในหมู่บ้านอย่างสนุกปาก ผูคนฮือฮาเรื่องนี้กันมาก และคนส่วนใหญ่บอกว่าสงสัยเจียงป่าวชิงจะยังปัญญาอ่อนอยู่ถึงได้ไปรับเอาเด็กมาเลี้ยงทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ยังเล็ก
เสียแรงไปโดยไม่คุ้มค่าแท้ ๆ นางไม่รู้หรือไงว่าการเลี้ยงเด็กไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น!
ฉวนหลี่เจิ้งเองก็ได้ยินเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ตอนที่เขาเห็นเจียงป่าวชิงอุ้มทารกมาที่นี่ ในใจรู้อยู่แล้วว่าคงจะต้องเป็นเรื่องเด็กของตระกูลชูแน่ ๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังถามไปตามมารยาท
“ป่าวชิง เจ้ากับพี่ชายเจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ ?” ฉวนหลี่เจิ้งเอ่ยถามเจียงป่าวชิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา
เจียงป่าวชิงยังไม่ได้พูดอะไร ชูเหล่าไท่ก็แย่งพูดก่อน นางเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉวนหลี่เจิ้งฟัง เล่าไม่ยอมหยุดให้ใครแทรกจนคอแห้งผากเลยทีเดียว
ฉวนหลี่เจิ้งได้ฟังพลันขมวดคิ้วมุ่น “ความหมายของพวกเจ้าคือมาทำสัญญาที่นี่เพื่อให้ข้ายืนยันว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เด็กคนนี้กับตระกูลชูจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกอย่างนั้นรึ ?”
ชูเหล่าไท่แย่งพูดอีกครั้ง “ใช่ เอาแบบนั้นแหละ พี่ฉวนรีบทำเรื่องนี้ให้ข้าเร็วเข้าสิ”
ฉวนหลี่เจิ้งมองเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานอีกครั้ง “พวกเจ้าเองก็หมายความว่าแบบนี้เหมือนกันรึ ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า “ใช่แล้ว เอาแบบนี้แหละเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีความเห็นต่างอะไร ฉวนหลี่เจิ้งเองก็คร้านจะพูดอะไรให้มากความ ในหมู่บ้านบนภูเขาของพวกเขา อัตราการตายของทารกเพศหญิงนั้นสูงมาก เขาอายุมากแล้วและทนเห็นสิ่งนี้ไม่ได้จึงใจอ่อนเป็นธรรมดา ถ้าหากว่าสามารถช่วยได้เขาก็จะช่วย
ตอนที่ฉวนหลี่เจิ้งยังหนุ่ม เขาเคยเรียนรู้คำไม่กี่คำจากครูที่โรงเรียนในหมู่บ้านข้าง ๆ ถึงแม้ว่าลายมือเขาจะเขียนไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ยังพอที่จะอ่านออกอยู่บ้าง
อักษรคด ๆ งอ ๆ เขียนอยู่บนเอกสารสัญญาว่า
‘ปัจจุบันนี้ตระกูลชูมีหลานสาวคนที่แปด เนื่องจากตระกูลชูไม่มีกำลังที่จะเลี้ยงดู จึงยกให้เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานเลี้ยงดูอยู่ในขณะนี้ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าทารกหญิงคนนี้จะเกิด แก่ เจ็บ หรือตาย ก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับตระกูลชูทั้งสิ้น’
ชูเหล่าไท่ฟังคำพูดที่สุภาพเหล่านี้ด้วยใบหน้านิ่วคิ้วผูกปม แต่นางยังพอที่จะสามารถเข้าใจความหมายทั่วไปได้จึงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ใช่ ๆ ๆ แบบนี้แหละดี ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ต่อกัน ต่อไปถ้าเกิดอุบัติภัยอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ พวกเจ้าก็อย่ามาสร้างปัญหาให้ตระกูลชูของพวกข้าแล้วกัน”
สองสามวันมานี้เจียงหยุนชานดูแลเสี่ยวฟ๋านฟ๋านจนเริ่มเกิดความรู้สึกผูกพันกับนางนิดหน่อยแล้ว เขาได้ยินชูเหล่าไท่พูดว่า ‘อุบัติภัย’ ก็รู้สึกปวดร้าวในใจ ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าต่อไปเขาจะต้องรักเสี่ยวฟ๋านฟ๋านให้มาก ๆ
เจียงป่าวชิงถลึงตาใส่ชูเหล่าไท่อย่างเย็นชา “ท่านไม่ต้องห่วง ฟ๋านฟ๋านของเราแข็งแรงดี แต่ท่านอายุขนาดนี้แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าเกิดอุบัติภัยอะไรกับตัวท่าน ก็อย่ามาสร้างปัญหาให้ฟ๋านฟ๋านของเราแล้วกัน!”
ชูเหล่าไท่ได้ยินคำพูดยอกย้อนประโยคนี้พลันถลึงตาโต เส้นเอ็นบนหน้าผากก็แทบจะปูดโปนออกมาอยู่แล้ว นางโมโหจัดพุ่งเข้าไปหมายจะเข้าไปตบเจียงป่าวชิง “ไอ้ปัญญาอ่อนเจ้าพูดอะไรน่ะ ? อุบัติภัยอะไรกัน ถุย ถุย ถุย!”
เจียงหยุนชานเป็นพี่ชายที่รักน้องสาวมาก มีหรือเขาจะยอมให้ชูเหล่าไท่ลงมือกับเจียงป่าวชิง เขารีบเข้าไปขวางตรงหน้าน้องสาวตัวเองทันทีเพื่อห้ามชูเหล่าไท่ไม่ให้มาทำร้ายนาง
แน่นอนว่าชูเหล่าไท่เป็นยายแก่หงำเหงือกที่ไม่มีทางแข็งแรงเท่าเด็กหนุ่มอย่างเจียงหยุนชาน ประกอบกับช่วงนี้เจียงหยุนชานสูงใหญ่ขึ้นมาก มือและแขนยาว ๆ ของเขากางออกไปห้าม แม้แต่ชายเสื้อของเจียงป่าวชิง ชูเหล่าไท่ก็ยังแตะไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ
เจียงป่าวชิงแค่นเสียงหัวเราะเยาะสะใจ “หึ ๆ ๆ ท่านยายเองก็รู้ว่าคำว่า อุบัติภัย ไม่ได้เป็นคำที่น่าฟังอะไร แต่ก็ยังจะเอามาใช้กับเด็กทารกที่ยังไม่ครบเดือนแบบนี้ นี่ท่านไม่กลัวจะสิ้นอายุขัยเลยหรือไง ?!”
ชูเหล่าไท่อดกลั้นอารมณ์โกรธจนทั้วทั้งใบหน้าแดงก่ำ นางถือโอกาสพ่นคำด่าสกปรกออกมาอย่างต่อเนื่อง
เจียงป่าวชิงทำหูทวนลม จากนั้นนางก็พูดกับฉวนหลี่เจิ้ง “ข้ากลัวว่าต่อไปจะมีคนคิดไม่ซื่อ ปู่หลี่เจิ้งช่วยดูลักษณะเฉพาะทางกายภาพของเสี่ยวฟ๋านฟ๋านหน่อย แล้วเขียนลักษณะเฉพาะลงไปในสัญญาให้ด้วยเพื่อเป็นการหมายเหตุไว้เจ้าค่ะ”
เดิมที ฉวนหลี่เจิ้งจะถามว่าทำไมต้องทำให้ยุ่งยากแบบนั้นด้วย แต่เมื่อเขามองชูเหล่าไท่ที่ยังคงพ่นคำด่าอย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกว่าที่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานระมัดระวังตัวแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรเป็นอย่างยิ่งแล้ว
เขาพยักหน้า มองเจ้าเด็กน้อยอย่างและเอียดและจดปานตรงท้องด้านซ้ายของเสี่ยวฟ๋านฟ๋าน รวมถึงไฝตรงเข่าซ้ายของนางด้วย
เพื่อให้เป็นการปลอดภัยยิ่งขึ้น เจียงป่าวชิงจึงขอให้ฉวนหลี่เจิ้งเขียนให้อีกสองฉบับ
หลังจากที่เขียนเสร็จแล้ว ชูเหล่าไท่ยังคงด่าอยู่ ฉวนหลี่เจิ้งเริ่มชักจะหน่ายใจจึงขัดจังหวะคำพูดสกปรกของชูเหล่าไท่ “เหล่าไท่ เจ้ามาดูสิว่าได้หรือเปล่า ถ้าได้ก็ประทับลายนิ้วมือลงไปเลย”
ได้ยินเสียงเรียก ชูเหล่าไท่ถึงจะเลิกบ่นเสียที แต่ยังมิวายพูดขึ้นอย่างแค้นใจ “ช่างเถอะพี่ฉวน พี่อ่านให้ข้าฟังอีกรอบสิ ข้าไม่รู้หนังสือสักหน่อย”
ฉวนหลี่เจิ้งไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอ่านให้นางฟังอีกรอบ
ได้ฟังดังนั้น ชูเหล่าไท่ก็จุ๊ปากสองที “ตำแหน่งของไฝดำนี่ไม่ได้ดีเลย…”
ฉวนหลี่เจิ้งขัดจังหวะนาง “เหล่าไท่ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้วเจ้าก็ประทับลายนิ้วมือเสียเถอะ”
ชูเหล่าไท่เบะปาก ยอมใช้นิ้วมือกดลงไปบนหมึกที่ใช้ประทับตราแล้วกดเป็นรอยนิ้วขนาดใหญ่บนกระดาษ
ต่อมาเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานก็เดินขึ้นไปประทับลายนิ้วมือด้วยเช่นกัน
ในที่สุดก็เกิดสัญญาขึ้นมาทั้งหมดสามฉบับ อยู่ที่สองพี่น้องเจียงหนึ่งฉบับ อยู่ที่ชูเหล่าไท่หนึ่งฉบับและฉวนหลี่เจิ้งก็ได้เก็บไว้อีกหนึ่งฉบับ
ชูเหล่าไท่ยัดกระดาษใส่ในอ้อมอกอย่างลวก ๆ นางทำตาขวางใส่สองพี่น้องและเบะปากไม่เลิกรา “เหอะ! ต่อแต่นี้ไปพวกเจ้าสองคนดูแลไอ้ตัวสิ้นเปลืองคนนั้นให้ดี ๆ ล่ะ!”
เจียงป่าวชิงไม่สนใจชูเหล่าไท่ หลังจากที่นางเอ่ยขอบคุณฉวนหลี่เจิ้งแล้ว นางก็อุ้มเด็กจากไปทันที
เป็นชูเหล่าไท่เองที่ตามออกมา “เดี๋ยวก่อน ใช่แล้ว… วันนี้พวกเจ้ายังไม่ได้ให้เงินสิบทองแดงเลยนะ”
เจียงหยุนชานล้วงเงินสิบทองแดงออกมาอย่างหงุดหงิดพลางส่งให้ชูเหล่าไท่ คิดดูเอาเถอะว่ายายชูคนนี้น่ารำคาญมากขนาดไหน เขาเป็นคนนิ่ง ๆ มีมารยาทต่อผู้หลักผู้ใหญ่มาเสมอ สุดท้ายยังอดหงุดหงิดไม่ได้
ชูเหล่าไท่กำเงินสิบทองแดงนั้นไว้ จู่ ๆ นางก็รู้สึกถูกชะตาสองพี่น้องคู่นี้ขึ้นมาเล็กน้อย “ดีมาก เดี๋ยวข้าจะไปบอกให้ลูกสาวคนที่สามเอานมไปให้พวกเจ้า”
.