เจียงป่าวชิงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นของชูเหล่าไท่ ใบหน้านั้นแสดงสีหน้าดีใจจนปิดไม่มิด นางพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “โชคดีที่ฟ๋านฟ๋านของเราคนดีผีคุ้มจึงไม่เป็นอะไรมาก ท่านไม่ต้องห่วง ท่านอายุขนาดนี้แล้ว ถึงตอนนั้นก็คงจะฝังในดินเร็วกว่าฟ๋านฟ๋านสิบกว่าปีอย่างแน่นอน”
ชูเหล่าไท่อายุมากแล้ว ที่ผ่านมานางหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นพูดเรื่องความเป็นความตายกับนางมาตลอด แวบแรกที่นางได้ยินคำพูดเหน็บแนมของเจียงป่าวชิง นางก็แอบแค้นใจที่ไอ้ตัวสิ้นเปลืองนั้นรอดพ้นจากหายนะนี้ไปได้ นางเริ่มครุ่นคิดว่าต่อไปจะใช้วิธีอะไรที่จะตัดความสัมพันธ์กับไอ้ตัววุ่นวายนี้ดี อีกอย่าง ถ้าถึงตอนที่ไอ้ตัวสิ้นเปลืองตาย นางจะได้ใช้ข้ออ้างนี้ฟันราคาเจียงป่าวชิงอย่างโหดเหี้ยม สิบทองแดงต่อวันนั้นช้าเกินไป มันจะเทียบเท่าเงินก้อนโตที่มารวดเดียวได้ยังไง
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายลงนามสัญญาแล้ว หากว่าไอ้ตัวสิ้นเปลืองตายไปก็จะฝังเข้าสุสานบรรพบุรุษของตระกูลชูไม่ได้ คนที่เข้าสุสานบรรพบุรุษไม่ได้ก็จะเป็นวิญญาณที่ไม่สงบสุข และจะกลายเป็นผีป่าโดดเดี่ยวที่ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ ดูก็รู้ว่าเจียงป่าวชิงเป็นคนใจอ่อน เพื่อที่จะได้ฝังไอ้ตัวสิ้นเปลืองนั้นอย่างถูกต้อง นางคงจะให้ราคาสูงเป็นแน่
ชูเหล่าไท่พิจารณาเรื่องต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว ทว่าเมื่อได้ยินเจียงป่าวชิงพูดตอนหลังว่าเด็กนั่นไม่เป็นไร ซ้ำร้ายยังแช่งให้นางตายเอาร่างไปฝังในดินอีก
ปากร้าย ๆ ของเจียงป่าวชิงทำให้ชูเหล่าไท่โกรธจนเกือบจะหงายหลังอยู่แล้ว นางอยากใช้คำพูดสกปรกที่สุดเพื่อทักทายบรรพบุรุษรุ่นที่สิบแปดของเจียงป่าวชิงให้รู้แล้วรู้รอด
เจียงป่าวชิงไม่เปิดโอกาสให้ชูเหล่าไท่ได้ตอบโต้ ตอนที่ชูเหล่าไท่โกรธจนหายใจหอบ นางก็ทำการโยนระเบิดอีกลูกทันที “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ข้าเองก็ไม่ไว้วางใจน้ำนมของบ้านท่านแล้ว เดิมทีที่ให้เงินสิบทองแดงกับท่านก็เพื่อต้องการจะให้เอาไปซื้ออะไรดี ๆ ให้แม่ของเสี่ยวฟ๋านฟ๋านกิน น้ำนมของนางจะได้มีคุณภาพที่ดีขึ้น แต่ตอนนี้เห็นทีว่าเงินสิบทองแดงคงจะถูกจ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์ ตั้งแต่วันพรุ่งเป็นต้นไป ข้าจะไม่ซื้อน้ำนมนี้แล้ว พวกท่านอยากขายให้บ้านไหนก็ขายไปเถอะ”
ชูเหล่าไท่ได้ฟังดังนั้น นางก็ไม่สนใจที่จะด่าเจียงป่าวชิงต่อ แต่เลือกที่จะรีบเดินเข้าไปหาเจียงป่าวชิงแทน “เฮ้ ๆ ๆ เจ้าทำแบบนี้ได้ยังไง ? มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าไม่เอา ?”
ชูเหล่าไท่กำลังจะก่นด่าเจียงป่าวชิง โชคดีที่ห้ามตัวเองไว้ได้ทัน นางแค่นยิ้มที่ดูน่าเกลียดมาก ๆ ออกมาให้เห็น “โย! เด็กตระกูลเจียง ดูเจ้าสิ อายุแค่นี้ยังไม่เข้าใจอะไรเลย เด็กทารกที่เพิ่งเกิดได้ไม่ครบเดือน ถ้าไม่กินนมแล้วจะกินอะไร ? นี่ไม่เท่ากับว่าเจ้ากำลังบังคับไอ้ตัว…”
ชูเหล่าไท่พูดเร็วไปจึงเกือบพูดคำว่า ‘ไอ้ตัวสิ้นเปลือง’ ออกมาอยู่รอมร่อ แต่นางยั้งปากไว้และหันไปถามชูซานฮัวที่เวลานี้หดหัวไม่กล้าขยับอยู่ด้านข้าง “ซานฮัว น้องสาวเจ้าคนนั้นชื่ออะไรนะ ?”
ชูซานฮัวพูดเสียงเบา “ชื่อฟ๋านฟ๋านเจ้าค่ะท่านย่า เสี่ยวฟ๋านฟ๋าน”
ชูเหล่าไท่หันกลับมาส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นให้เจียงป่าวชิง “นี่ไม่เท่ากับว่าเจ้ากำลังบังคับเสี่ยวฟ๋านฟ๋านให้ตายหรอกรึ ?”
ชูเหล่าไท่เห็นเจียงป่าวชิงไม่พูดอะไร ประกอบกับท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง นางอายุมากแล้วจึงมองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่ค่อยชัด
นางร้อนรนและรีบพูดขึ้นมาทันที “ก็ได้ เจ้ารังเกียจที่น้ำนมของแม่ฟ๋านฟ๋านคุณภาพไม่ดี ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่วันพรุ่ง ข้าจะเพิ่มขนมปังปิ้งให้นางครึ่งแผ่น ไม่สิหนึ่งแผ่น เพิ่มให้นางหนึ่งแผ่นไปเลย แบบนี้ล่ะได้หรือเปล่า ?”
ท่าทางของนางราวกับเสียสละครั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงหัวเราะเยาะ ก็ใช่… น้ำนมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทารก แต่น้ำนมของแม่ของฟ๋านฟ๋าน นางคงไม่กล้าให้ฟ๋านฟ๋านกินอีกแล้วเพราะจะถูกใส่อะไรปลอมปนมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันถือเป็นของบำรุงร่างกายที่ทำให้เสี่ยวฟ๋านฟ๋านเติบโตขึ้นอย่างสุขภาพดีที่ไหนล่ะ นั่นเป็นยาพิษที่ไม่รู้จะคร่าชีวิตเสี่ยวฟ๋านฟ๋านไปเมื่อไหร่ต่างหาก!
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นเสียงเบาหวิว “ท่านไม่ต้องแล้วล่ะ แม่ของฟ๋านฟ๋านไม่ได้มีน้ำนมคนเดียวสักหน่อย ข้าตกลงกับคนอื่นไว้แล้วว่าจะซื้อนมถ้วยเล็กจากเขาทุกวัน อีกทั้งยังราคาไม่แพง แค่สี่ทองแดงเท่านั้นเอง แบบนี้ข้าสบายใจกว่าตั้งเยอะ”
ชูเหล่าไท่ได้ยินดังนั้น ราวกับมีเสมหะติดอยู่ในลำคอของนาง จะเอาขึ้นก็ไม่ได้ เอาลงก็ไม่ได้ นางอดกลั้นจนใบหน้ากลายเป็นสีตับหมูแล้ว
เจียงป่าวชิงไม่สนใจว่าชูเหล่าไท่จะเป็นเช่นไร หลังจากที่บอกชูเหล่าไท่เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว นางหันหลังจากไปทันที
ชูเหล่าไท่พูดไม่ออก เสมหะยังติดอยู่ในลำคอทำให้นางอดกลั้นอย่างทรมาน นางยื่นมือออกไปด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทาและแกว่งมืออยู่ในอากาศทั้งอย่างนั้น
ชูซานฮัวที่อยู่ด้านข้างรีบออกแรงทุบแผ่นหลังท่านย่าของนางสองสามครั้ง ชูเหล่าไท่ถึงจะกระแอมไอเสมหะนั้นออกมา
ชูซานฮัวถามชูเหล่าไท่อย่างขลาดกลัว “ทะ… ท่านย่าไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ ?”
ชูเหล่าไท่กระเเอมไอสักพัก หลังจากที่ผ่อนคลายลงแล้วก็พลิกมือไปตบหน้าชูซานฮัวทันที “เจ้าอยากตายเรอะ ?! ไม่มีตาหรือไง ? ข้าอดกลั้นตั้งนานแล้ว หรือว่าข้าต้องตายเจ้าถึงจะดีใจ ?!”
ชูซานฮัวป้องใบหน้าครึ่งซีกและไม่กล้าพูดอะไร นางรู้ว่าตอนนี้ย่าของนางกำลังพาล
ชูเหล่าไท่รู้สึกหงุดหงิดใจ ทว่าไม่ได้หงุดหงิดที่ทำไมตัวเองถึงมีจิตใจชั่วร้ายคิดจะทำร้ายเสี่ยวฟ๋านฟ๋าน แต่นางกำลังหงุดหงิดเรื่องที่ว่าไอ้ตัวสิ้นเปลืองนั่นดื่มน้ำนมที่ผสมน้ำดิบไปแล้ว ทำไมยังไม่ท้องเสียตายอีก
สถานการณ์ตอนนี้กลับแย่ลง ทำเรื่องไม่สำเร็จไปก็เรื่องหนึ่งแล้ว นางยังต้องมาสูญเสียรายรับสิบทองแดงของทุกวันไปอีก แล้วตอนนี้นางจะใช้ข้ออ้างการตายของไอ้ตัวสิ้นเปลืองนั่นมาฟันราคาเจียงป่าวชิงได้อย่างไรกันล่ะ
นึกมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ ชูเหล่าไท่ก็ชะงักไป สายตาสงสัยของนางเลื่อนไปหยุดอยู่ที่ชูซานฮัว “ซานฮัว น้ำนมถ้วยนั้นเจ้าถือไปให้พวกนางหมดไหม ?”
ชูซานฮัวตัวสั่นอย่างหนัก แต่โชคดีที่ฟ้ามืดมาก ย่าของนางจึงมองเห็นไม่ชัด นางรีบตอบทันที “ให้เจ้าค่ะ ข้าให้ไปหมดแล้ว ข้ายังมองดูนางป้อนนมเสี่ยวฟ๋านฟ๋านสองสามคำอยู่เลย”
ท่าทางของชูซานฮัวดูเชื่อฟังเป็นอย่างยิ่ง
ชูเหล่าไท่พูดพึมพำกับตัวเอง “ถ้างั้นมันไม่ควรเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ…?” นางครุ่นคิดอยู่สักพักก็ยังคิดหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้
ชูซานฮัวพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “อาจเป็นเพราะเสี่ยวฟ๋านฟ๋านแข็งแรง…”
ชูเหล่าไท่ดึงสติกลับมา นางคิดว่าเหมือนจะมีแค่ความเป็นไปได้นี้ จึงได้แต่ถ่มน้ำลายลงบนพื้น “ถุย! เจ้ายังจะเรียกเด็กนั่นว่าเสี่ยวฟ๋านฟ๋านอีก นางคู่ควรให้เรียกชื่อหรือไง ?! ไอ้ตัวสิ้นเปลือง ตั้งแต่นางเกิดมาข้าก็ไม่ถูกชะตากับนางแล้ว”
ชูเหล่าไท่กลับเข้าไปในบ้านพร้อมก่นด่าไปด้วย
ชูซานฮัวป้องหน้าครึ่งซีก นางก้มหน้าก้มตา เดินตามหลังชูเหล่าไท่เข้าไปในบ้าน
……
ขณะนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ในตอนที่เจียงป่าวชิงใกล้ถึงทางเข้าหมู่บ้าน สายตาพลันเห็นว่ามีใครคนหนึ่งเดินก้าวยาว ๆ มาทางนางจากจุดที่ไกลออกไป ดูจากรูปร่างนั้นแล้วเหมือนว่านางจะคุ้นเคยอยู่พอสมควร
คนคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ในรัศมีที่มองเห็นได้ เจียงป่าวชิงถึงจะพบว่าคนที่เดินมาหานางคือไป๋จี นางถามอย่างสงสัย “ไป๋จีมาทำธุระในหมู่บ้านหรือ ?” ถามเสร็จ นางก็มองไปทางด้านหลังไป๋จี เมื่อไม่เห็นกงจี้มาด้วยกันก็ยิ่งเกิดความสงสัยขึ้นมา
ไป๋จีเป็นองครักษ์ข้างกายกงจี้ โดยปกติแล้วเขามักจะอยู่ไม่ห่างจากกงจี้นานเกินไป
หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับกงจี้ ?
หัวใจของเจียงป่าวชิงบีบเข้าหากันแน่นทันที นางหลุดปากถามออกไป “นายท่านของเจ้าล่ะ ?”
คนที่ต่อสู้เป็นมักจะหูตาไวมาก ความสามารถในการมองเห็นในที่มืดก็มักจะดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป เมื่อไป๋จีเห็นเจียงป่าวชิงร้อนใจก็รีบพูดขึ้นทันที “แม่นางเจียงไม่ต้องเป็นห่วง นายท่านของข้ายังอยู่ที่บ้าน แต่พอนายท่านได้ยินว่าแม่นางเจียงออกจากบ้านมาในเวลาโพล้เพล้ยันมืดค่ำแบบนี้ เขาก็กลัวว่าการมองเห็นเส้นทางภูเขาในตอนกลางคืนจะผิดแปลกไป และกลัวว่าถ้าส่งองครักษ์คนอื่นมา แม่นางเจียงอาจจะคิดว่าเป็นคนร้ายเอาได้ เขาจึงส่งให้ข้ามารับแม่นางเจียงกลับไป”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
เจียงป่าวชิงแยกแยะไม่ได้ว่ามีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นในใจของนางบ้าง นางไม่คิดว่าคนที่มีนิสัยทั้งเงียบและโอหังอย่างกงจี้จะทำอะไรที่เหมาะสมแบบนี้เป็นด้วย ในใจของนางเกิดความรู้สึกแปลก ๆ นางรู้สึกได้ถึงความหวานราวกับได้กินน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น แต่จิตใต้สำนึกของนางกลับบอกว่าแบบนี้มันอันตรายมาก นางไม่สามารถหลงใหลไปกับรูปลักษณ์หล่อเหลาเอาการที่จัดว่าอันตรายนี้ได้…
จิตใจของเจียงป่าวชิงกำลังว้าวุ่น จู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากทางด้านหลัง มันเป็นเสียงทุบประตูกับเสียงร้องไห้ผสมกัน
.