เจียงป่าวชิงไม่อยากจะสนใจคนที่แสร้งทำเป็นบริสุทธิ์อย่างป๋ายรุ่ยฮัวอีก นางเลือกที่จะหันไปพูดกับซุนต้าหูแทน “พี่ต้าหู ข้ารู้ว่าพี่ร้อนใจมาก แต่เรื่องนี้จะใจร้อนไม่ได้ เพราะถึงยังไงก็ยังหาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมซุนต้าตงถึงได้ถูกจับตัวไป แล้วยังจะไปหาอย่างลวก ๆ อีก ถ้าหากว่าพวกเขาคิดว่าพี่เป็นพวกเดียวกับซุนต้าตงแล้วจับตัวพี่ไปด้วยจะทำยังไงล่ะเจ้าคะ ?”
ซุนต้าหูคิดไม่ถึงสิ่งนี้เลยจริง ๆ เขาชะงักไปก่อนจะพูดออกมาอย่างลังเล “คงไม่กระมัง ?”
เจียงป่าวชิง “ทำไมจะไม่ล่ะ ? พี่ต้าหูลองคิดดูสิว่าคนพวกนั้นตั้งใจมาจับคนที่ชีหลี่โวในสถานที่เปลี่ยวแบบนี้ มันเสียแรงและเวลามาก ต่อให้ซุนต้าตงไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดกฎหมาย แต่เขาคงจะไปยุแหย่ใครมาอย่างแน่นอน การที่พวกเขากล้ามาจับคนไปส่งให้เจ้าหน้าที่โดยตรง แสดงว่าความมั่นใจของพวกเขาก็คงมีไม่น้อยเลย แล้วตอนนี้กลับมีคนกระโดดออกมาพูดแทนซุนต้าตง นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการตั้งเป้าให้คนพวกนั้นหรอกหรือเจ้าคะ ?”
ในที่สุดซุนต้าหูก็เข้าใจความหมายของเจียงป่าวชิงแล้ว เรื่องของซุนต้าตงถือเป็นน้ำขุ่นจริง ๆ แต่เขาเป็นพี่ชายของซุนต้าตงและแม่ของซุนต้าตงมีบุญคุณต่อเขาในวัยเด็ก ตอนนี้เขาจึงไม่สามารถเพิกเฉยกับเรื่องนี้ได้
ซุนต้าหูพูดด้วยสีหน้าเหยเกเล็กน้อย “น้องชิง ข้าคิดไม่มากขนาดนั้นจริง ๆ”
เจียงป่าวชิงชำเลืองมองป๋ายรุ่ยฮัว แต่ป๋ายรุ่ยฮัวกลับไม่กล้าสบตาเจียงป่าวชิง นางจึงเบี่ยงศีรษะไปทางอื่น
ซุนต้าหูเป็นคนซื่อ ๆ เป็นเรื่องปกติที่เขาจะคิดไม่มากขนาดนั้น แต่เจียงป่าวชิงไม่ได้เป็นอย่างซุนต้าหู ข้อมูลที่ป๋ายรุ่ยฮัวเปิดเผยออกมานั้นมีน้อยมาก นอกจากบอกว่าซุนต้าตงถูกคนจับไปก็ไม่ได้พูดอะไรที่เป็นประโยชน์อีก
นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายคนอื่นหรอกหรือ ? ยังไม่พอแค่นั้น นางยังแสร้งทำเป็นไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังอีก
เจียงป่าวชิงคร้านจะสนใจป๋ายรุ่ยฮัวจริง ๆ ดูจากท่าทางของนางแล้ว นางคงคิดว่าซุนต้าหูจะต้องไปช่วยซุนต้าตงอย่างแน่นอน
คนดีมักถูกรังแกจริง ๆ
ดังนั้น แรกเริ่มเจียงป่าวชิงจึงยอมแสดงให้เห็นถึงความดุร้ายไร้ความรู้สึกของตัวเอง ใครที่ต้องการมาแตะต้องนางก็จะต้องไตร่ตรองก่อนว่าแตะต้องนางได้หรือเปล่า
เจียงป่าวชิงพูดกำชับซุนต้าหู “พี่ต้าหู พี่ห้ามทำผลีผลามเด็ดขาด วันพรุ่งมีตลาดพอดีและข้าจะไปในอำเภอด้วย ถ้าพี่อยากไปในอำเภอ วันพรุ่งช่วงเช้าข้าจะมาเรียกพี่เอง”
หลังจากที่ซุนต้าหูขายรถล่อแล้ว เวลาที่เจียงป่าวชิงจะไปในอำเภอ นางต้องเดินมากกว่าสิบลี้ในเส้นทางถนนบนภูเขาไปที่บ้านของเสี่ยวเจิ้งที่ภูเขาข้าง ๆ เพื่อที่จะนั่งรถล่อเข้าไปในอำเภอ
นางต้องเดินคลำความมืดกลับบ้าน ใบหน้าของนางจึงถูกกิ่งไม้ขีดข่วนเป็นรอยเลือดหลายรอย มีครั้งหนึ่งตอนที่นางกลับถึงบ้านมาพบกงจี้เข้า เขาก็โมโหนางทันที
กงจี้บอกว่าการที่นางเดินไกลไปเช่ารถล่อแบบนี้ ถือว่านางไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ใช่ว่าเขาจะไม่มีรถม้าสักหน่อย และยังบอกอีกว่าการที่นางยอมเดินในระยะทางภูเขามากกว่าสิบลี้โดยไม่ถามเขานั้นเป็นการดูถูกเขาอย่างยิ่ง
แรกเริ่มเจียงป่าวชิงยังคงอยากพูดอธิบาย แต่ยิ่งอธิบาย สีหน้าของกงจี้ยิ่งอึมครึมขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายนางไร้ซึ่งทางเลือกอื่นนอกจากต้องปิดปากลงทั้งอย่างนั้น
ในเมื่อกงจี้โกรธมาก เจียงป่าวชิงทำได้เพียงพูดขอบคุณเขา เวลาจะไปในอำเภอ นางจำต้องยืมรถม้าของกงจี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เจียงป่าวชิงครุ่นคิดในใจว่าอยากจะให้ซุนต้าหูติดรถไปด้วยสักครั้งในวันพรุ่งนี้ แต่เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ กลับไปนางต้องพูดกับกงจี้จะเป็นการดีที่สุด
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ หางตาของนางก็เห็นไป๋จียืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ จึงตกใจมาก “อ้าว! ไป๋จี นี่เจ้ายังไม่กลับไปอีกรึ ?”
ไป๋จีทำความเคารพเจียงป่าวชิง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร ท่าทีของเขากลับชัดเจน แม้ว่าเขาจะเป็นห่วงนายท่านของตน แต่สิ่งที่นายท่านของเขาสั่งไว้ เขาจะกล้าขัดได้หรือ ?
เจียงป่าวชิงร้อนรนทันที ตอนที่เห็นป๋ายรุ่ยฮัวเอาเปรียบซุนต้าหูเมื่อสักครู่ นางยังไม่ได้รู้สึกลุกลี้ลุกลนเท่านี้เลย ตอนนี้ในใจของนางยุ่งเหยิงมากจริง ๆ
เจียงป่าวชิงพูดกำชับซุนต้าหูอย่างรวดเร็ว “พี่ต้าหู เราตกลงกันแล้วนะเจ้าคะ พี่ห้ามทำผลีผลามเด็ดขาด แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้าเจ้าค่ะ”
ซุนต้าหูลังเล สุดท้ายก็พยักหน้าเบา ๆ เขามองเจียงป่าวชิงกับไป๋จีที่หันหลังรีบเดินกลับบ้านของพวกเขาทันที
ซุนต้าหูมองแผ่นหลังของเจียงป่าวชิงกับองครักษ์คนนั้นที่กำลังจากไปอย่างเงียบ ๆ เขามีความมึนงงเล็กน้อยแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้นอกจากทำตามที่เจียงป่าวชิงบอก
ป๋ายรุ่ยฮัวที่อยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น “น้องป่าวชิงช่างมีบุญวาสนาดีจริง ๆ เห็นทีว่าองครักษ์คนนั้นคงจะเป็นองครักษ์ของคุณชายที่พักรักษาตัวอยู่บ้านข้าง ๆ นางส่งให้มาปกป้องนาง ถ้าหากว่าข้ามีบุญวาสนาเหมือนอย่างน้องป่าวชิงสักเล็กน้อยก็คงดี”
ป๋ายรุ่ยฮัวยิ่งพูด ในใจของซุนต้าหูก็ยิ่งพันกันให้ยุ่งเหยิง แต่ป๋ายรุ่ยฮัวไม่ได้พูดถึงเจียงป่าวชิงในทางที่ไม่ดี เขาจึงไม่ได้โต้แย้งอะไร คงทำได้เพียงฟังอย่างเงียบ ๆ เท่านั้นเอง
ป๋ายรุ่ยฮัวมองสีหน้าของซุนต้าหูอย่างระมัดระวังพร้อมทั้งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่หางตาไปด้วย นางพูดขึ้นเงียบ ๆ “ต้าหู ไม่ใช่ว่าข้าจะปิดบังเจ้านะ แต่น้องชายเจ้ามีเรื่องอะไรเขากลับไม่เคยบอกข้า แต่ข้าก็เดาอยู่แหละว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับหนทางทำเงินที่พวกเจ้าลงเงินร่วมกันก่อนหน้านี้ ดังนั้น ข้าถึงได้แบกหน้ามาหาเจ้ายังไงล่ะ เพราะถึงยังไง การที่เจ้าช่วยต้าตงก็ถือว่าเป็นการช่วยตัวเองด้วย เงินทุนสำหรับขอเมียของเจ้าก็ลงไปแล้วนี่ ใช่ไหม ?”
ซุนต้าหูสั่นไปทั้งตัว
……
เมื่อเจียงป่าวชิงกับไป๋จีกลับถึงบ้าน เจียงป่าวชิงวางใจว่ามีเจียงหยุนชานอยู่จึงยังไม่กลับไปดูเสี่ยวฟ๋านฟ๋านตัวน้อย แต่เลือกที่จะไปบ้านของกงจี้ก่อน
ตอนที่เห็นกงจี้นั่งเล่นหมากรุกกับตัวเองอยู่บนพื้นที่ยกสูงด้วยสีหน้าหงุดหงิด หัวใจที่บีบแน่นของนางก็ผ่อนคลายลง
กงจี้เห็นเจียงป่าวชิงกับไป๋จีกลับมา เขาก็โยนตัวหมากรุกลงบนกระดานด้วยสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่านใจ “นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมถึงเพิ่งกลับมา ?”
แรงของกงจี้นั้นไม่น้อยเลย หมากรุกบนกระดานกระเจิงกระจายไม่เป็นท่าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไป๋จีกำลังจะยอมรับผิด แต่เจียงป่าวชิงกลับมาขวางตรงหน้าเขาเสียก่อน นางเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ “เจ้าไม่ต้องตำหนิไป๋จีหรอก เป็นข้าที่ชักช้าเองจึงทำให้เรากลับช้าหน่อย”
กงจี้ส่งเสียงออกมาจากทางจมูก “ถ้าหากว่าช้ากว่านี้ ข้าคิดว่า…” เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบพูดอย่างหงุดหงิด “ช่างเถอะ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ถ้าเจ้าตายอยู่ข้างนอกก็คงไม่มีอะไร ข้าแค่เป็นห่วงขาของข้าก็เท่านั้น”
คำพูดที่เห็นได้ชัดว่าจงใจปกปิดความจริงแบบนี้ แม้แต่ไป๋จีเองก็ยังไม่เชื่อ
แต่เจียงป่าวชิงกลับเชื่อ นางรู้สึกปล่อยวางบ้างแล้ว ใช่สิ ที่กงจี้ทำดีกับนางแบบนี้ คงเป็นเพราะนางยังมีค่าให้เขาใช้ประโยชน์ได้อยู่
กงจี้มองดูใบหน้าที่เหมือนยกภูเขาออกจากอกของเจียงป่าวชิงก็รู้สึกแค้นใจจนแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด
เจียงป่าวชิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องที่จะยืมรถม้าในวันพรุ่ง “คุณชายกง วันพรุ่งตอนที่ข้ายืมรถม้าของเจ้า ข้าขอพาเพื่อนอีกคนของข้าไปด้วยได้ไหม ?”
กงจี้มองเจียงป่าวชิงด้วยสายตาเย็นชา นางจึงต้องอธิบายให้ละเอียดยิ่งขึ้น “เขาคือพี่ต้าหูเพื่อนของข้าเอง พอดีว่าเขาขายรถล่อไปแล้ว วันพรุ่งเขาอยากไปทำธุระในอำเภอพอดี ข้าขอพา…”
“ไม่ได้” กงจี้ปฏิเสธเสียงเย็นเยียบ
เจียงป่าวชิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เดิมทีนางก็ยังไม่ได้พูดอะไรเรื่องรถม้ากับซุนต้าหูอยู่แล้วด้วย และในเมื่อตอนนี้เป็นอันทราบแล้วว่ากงจี้ไม่ให้นางพาเพื่อนขึ้นรถม้า อย่างไรเสียพรุ่งนี้ตอนเช้า นางก็ได้นัดกับซุนต้าหูไว้แล้วว่าจะไปที่ภูเขาข้าง ๆ เพื่อเช่ารถล่อของเสี่ยวเจิ้ง
“อืม ข้าทราบแล้ว” เจียงป่าวชิงพยักหน้า จากนั้นนางก็บอกลากงจี้ “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับไปดูเสี่ยวฟ๋านฟ๋านก่อนนะ คุณชายกงก็พักผ่อนให้เร็ว ๆ ล่ะ”
หลังจากที่เจียงป่าวชิงกลับไป กงจี้ก็โมโหจนถึงขั้นยืนขึ้นมา “เจ้าเด็กบ้าเจียงป่าวชิง!”
หลังจากผ่านการทำกายภาพบำบัดมาสักพัก กงจี้ก็สามารถยืนได้ชั่วคราวแล้ว นอกจากนี้ เขายังเดินได้อีกแม้จะไม่กี่ก้าวภายใต้การประคองของไป๋จีด้วย แต่เขานั้นเป็นคนแข็งแกร่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทั้งยังหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองจึงไม่ยอมเห็นตัวเองในสภาพอ่อนแอเช่นนี้นาน
ตอนที่ทำกายภาพบำบัดในวันปกติ ส่วนมากเขาก็จะฝึกเดินโดยค้ำเตียง ไม่ก็ค่อย ๆ เกาะไปตามผนังบ้านด้วยตัวเอง
ตอนนี้ไม่มีอะไรมาเป็นที่ค้ำยันไว้ เขากลับยืนได้เป็นเวลานาน
ไป๋จีดีใจมาก “นายท่าน ท่านเริ่มยืนได้นานขึ้นแล้วนะขอรับ”
กงจี้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะนั่งลงและพูดด้วยความโกรธเคือง “เจ้าเด็กบ้าเจียงป่าวชิงทำให้ข้าโมโห! ไป๋จี เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ?”
ไป๋จีเล่าเรื่องทุกอย่างให้กงจี้ฟังอย่างละเอียด นั่นทำให้สีหน้าของเขาดูไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
“ซุนต้าหู…” กงจี้ตบโต๊ะด้วยความโกรธ “เจียงป่าวชิงนางเอาใจใส่เจ้าคนป่านั่นมากกว่าข้าอีก”