อรุณรุ่งวันต่อมา ท้องนภายังไม่สว่างดี เจียงป่าวก็มาถึงที่หน้าบ้านซุนต้าหู แต่ประตูบ้านของเขากลับปิดไว้อย่างแน่นหนา เห็นได้ชัดว่าเขาออกจากบ้านไปแล้ว
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วทันที
ขณะนี้ ป๋ายรุ่ยฮัวเดินจูงมือเฟิ่งเอ๋อร์มาที่หน้าบ้านของซุนต้าหู นางเห็นเจียงป่าวชิง ก็เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นอย่างลับ ๆ “น้องป่าวชิง เจ้ามาเรียกซุนต้าหูรึ ?”
เฟิ่งเอ๋อร์เองก็ไม่ได้สนิทสนมกับเจียงป่าวชิงเหมือนแต่ก่อนแล้วเช่นกัน เด็กหญิงตัวน้อยไปหลบอยู่ด้านหลังแม่ของนางอย่างขลาดกลัว และแอบมองเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่ใช่คนประเภทที่มาทะเลาะกับใครต่อหน้าเด็กอยู่แล้ว จึงเพียงถามไปว่า “โย! พี่ต้าหูออกไปแล้วรึ ?”
ป๋ายรุ่ยฮัวถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือพลางเช็ดตรงหางตาเบา ๆ “ข้าไม่รู้ว่าควรขอบคุณต้าหูอย่างไรดี บางทีเขาอาจจะทนเห็นข้าร้อนใจไม่ไหวถึงได้รีบออกจากบ้านไปตอนกลางดึกแบบนั้น บอกว่าจะไปให้ทันประตูเมืองเปิดเพื่อไปสอบถามข้อมูลน่ะ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร
ป๋ายรุ่ยฮัวเห็นเจียงป่าวชิงยังคงมีท่าทีเย็นชาก็ไม่ได้เสียกิริยาและไม่ได้ร้อนใจใด ๆ นางพยายามอดกลั้นความผิดหวังเอาไว้และรู้สึกโกรธต่อไป
เพื่อเจียงป่าวชิง สามารถกล่าวได้ว่าซุนต้าหูเทหมดหน้าตักเลยก็ว่าได้ แล้วเจียงป่าวชิงล่ะ ? ไม่เห็นจะทุ่มเทเพื่อซุนต้าหูบ้างเลย
นางช่างเป็นคนที่ไร้ความเมตตาและไร้สัจธรรมจริง ๆ
……
เจียงป่าวชิงเห็นซุนต้าหูไปด้วยตัวเองแล้ว นางกลับรู้สึกไม่ดีถ้าจะต้องกลับไปยืมรถม้าของกงจี้ เจียงป่าวชิงคำนวณเวลาสักครู่แล้วตัดสินใจไปที่ภูเขาข้าง ๆ เพื่อนั่งรถล่อของเสี่ยวเจิ้งเข้าไปในอำเภอ
รถล่อของเสี่ยวเจิ้งจะออกเดินทางเวลาเจ็ดโมงเช้า ถ้าไปตอนนี้คงจะยังทันอยู่ แต่เจียงป่าวชิงยังเดินได้ไม่กี่ก้าว ป๋ายรุ่ยฮัวที่อยู่ด้านหลังกลับตะโกนเรียกไว้ก่อน “น้องป่าวชิง เจ้ากำลังจะไปที่ภูเขาข้าง ๆ เพื่อนั่งรถล่อของเสี่ยวเจิ้งเข้าไปในอำเภอใช่ไหม ? ข้าอยู่ที่บ้านก็เป็นห่วงซุนต้าตงอยู่พอดี ข้าจะไปด้วยกันกับเจ้านะ”
เจียงป่าวชิงไม่ได้ปฏิเสธ นางเลือกที่จะเดินต่อและทำเป็นไม่ได้ยิน
ป๋ายรุ่ยฮัวไม่ยอมแพ้ รีบเดินจูงเฟิ่งเอ๋อร์ให้ตามมาอย่างรวดเร็ว
เส้นทางภูเขาค่อนข้างขรุขระ ป๋ายรุ่ยฮัวกับเฟิ่งเอ๋อร์เดินไปก็สะดุดไป ทว่าเจียงป่าวชิงเพียงมองไปด้านหน้าและเดินต่อไป นางไม่ได้หันกลับไปมองสองแม่ลูกเลย
โชคดีที่พวกนางเติบโตมาในภูเขา การเดินข้ามเขาจึงไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรสำหรับพวกนางขนาดนั้น ในตอนที่เจียงป่าวชิงมาถึงเขื่อนจี๋เสียงจึงยังเหลือเวลาอีกหนึ่งก้านธูปกว่าจะถึงเวลาออกเดินทาง
เป็นเพราะซุนต้าหูขายรถล่อไป กิจการรถล่อของเสี่ยวเจิ้งจึงดีขึ้นทันตาเห็น นอกจากนี้ เสี่ยวเจิ้งยังถือโอกาสเพิ่มราคาอีกด้วย จากเดิมทีที่ค่ารถราคาสามสลึงก็ถูกเพิ่มเป็นห้าสลึง ทุกคนต่างตัดพ้อต่อว่าเขา แต่เสี่ยวเจิ้งกลับไม่สนใจ ในหมู่บ้านในละแวกนี้มีเพียงบ้านเขาเท่านั้นที่ทำอาชีพวิ่งรถล่อ ทำไมเขาจะต้องเก็บเอามาใส่ใจด้วย ?
เสี่ยวเจิ้งคิดแค่ว่า ‘ถ้าคิดว่าแพง เจ้าก็ไม่ต้องนั่งสิ’
ถึงแม้จะมีหลายคนที่คิดว่ามันแพงเกินไปไม่นั่ง และยอมเดินไปในอำเภอตามเส้นทางภูเขาด้วยตัวเองในตอนกลางดึก แต่โดยรวมแล้วเสี่ยวเจิ้งยังทำรายได้เป็นทองแดงมากมายอยู่ และที่เขาทำรายได้ได้มากขนาดนี้เป็นเพราะเขาหยิบยืมเรื่องที่ซุนต้าหูขายรถล่อมาใช้โฆษณาหารายได้ยังไงล่ะ
เจียงป่าวชิงมาเร็วอยู่พอสมควร นางไม่พูดไร้สาระกับเสี่ยวเจิ้ง เพียงแค่จ่ายเงินห้าสลึงแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนรถทันที
ป๋ายรุ่ยฮัวกับเฟิ่งเอ๋อร์ในตอนนี้เหนื่อยจนหายใจหอบ และป๋ายรุ่ยฮัวหน้าซีดนิดหน่อย นางป้องท้องคล้ายกับรู้สึกไม่สบายอย่างไรอย่างนั้น
ทันใดนั้น หญิงชราผู้ใจดีคนหนึ่งเดินเข้ามาพยุงนาง “ไอ้โยสาวน้อย ข้าเห็นท้องน้อยเจ้าใหญ่ขึ้นนิด ๆ คล้ายกับตั้งท้องอย่างนั้นแหละ เป็นอะไรไปล่ะ ยังจะไปในอำเภออีกหรือ ?”
ป๋ายรุ่ยฮัวป้องท้อง สูดหายใจเข้าลึก ๆ จนหายใจได้สม่ำเสมอและพูดขึ้น “ขอบคุณป้ามากเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่เป็นอะไร แม่เฒ่ากัวของพวกเราบอกว่าพื้นฐานร่างกายข้าค่อนข้างดี สภาพท้องข้าก็คงที่มากเช่นกัน”
หญิงชราผู้ใจดีคนนั้นจุ๊ปากสองครั้ง นางเป็นฝ่ายส่งเบาะรองนั่งของตัวเองให้กับป๋ายรุ่ยฮัว “ข้าเห็นว่าเจ้าก็พกเบาะรองนั่งมาเช่นกัน แต่เบาะของเจ้าบางเกินไป เจ้าเอาเบาะของข้าไปวางซ้อนกับเบาะของเจ้าจะได้นั่งสบายขึ้นหน่อย เอาไปสิ”
ป๋ายรุ่ยฮัวพูดขอบคุณหญิงชราด้วยใบหน้าตื้นตันใจ
หญิงชราโบกมือยิ้ม ๆ จากนั้นก็หันมองเจียงป่าวชิง “โยสาวน้อย แล้วเจ้าล่ะเป็นลูกสาวบ้านไหน ? หน้าตาน่ารักน่าชังมากจริง ๆ ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลย”
เจียงป่าวชิงพูดอย่างเกรงใจ “ข้าเป็นคนจากชีหลี่โวเจ้าค่ะ นี่ก็เป็นครั้งที่สองที่ข้ามานั่งรถที่เขื่อนจี๋เสียง”
เมื่อพูดถึงชีหลี่โว หญิงชราก็เข้าใจทันที “ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมถึงไม่เคยเห็นเจ้า เมื่อก่อนที่ชีหลี่โวมีรถล่อของบ้านซุนต้าหู ราคาย่อมเยากว่ารถล่อที่จะเข้าไปในอำเภอของเราเสียอีก พวกเจ้าคงจะไม่มาที่เขื่อนจี๋เสียงเพื่อนั่งรถล่อของเสี่ยวเจิ้งหรอก แต่อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย พวกข้าเองก็ไม่ค่อยอยากจะนั่งเท่าไหร่เหมือนกัน”
เสี่ยวเจิ้งที่กำลังให้อาหารล่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขาไม่พอใจทันทีจึงพูดลากเสียงให้ยาวขึ้น “นี่ป้าหวัง…”
หญิงชราผู้ใจดีที่ถูกเรียกว่า ‘ป้าหวัง’ หันกลับไปด่าเสี่ยวเจิ้ง นางพูดอย่างคล่องแคล่วมาก “เรียกข้าทำไม ตัวเจ้าเองไม่รู้เลยเรอะว่าคิดค่ารถแพง ? ค่ารถเจ้าเพิ่มราคาเร็วกว่าท้องของเจ้าเสียอีกนะ!”
เหล่าผู้คนที่กำลังรอพากันส่งเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจ
เสี่ยวเจิ้งหน้าแดงก่ำ เขาหันไปให้อาหารล่อต่ออย่างแค้นใจ
เสี่ยวเจิ้งนั้นอายุมากแล้ว ดูจากใบหน้าของเขา เขาก็น่าจะประมาณสามสิบกว่าปีโดยประมาณ ร่างกายของเขาอ้วนท้วนสมบูรณ์ลงพุง แต่ดูเหมือนทุกคนจะเรียกเขาว่าเสี่ยวเจิ้ง ดังนั้น ชื่อเสี่ยวเจิ้งจึงมีความหมายที่คุ้นเคยและเป็นที่ยอมรับของผู้คน
หลังจากที่หัวเราะเรื่องท้องของเสี่ยวเจิ้งแล้ว ป้าหวังก็หันหน้ากลับมาพูดคุยกับเจียงป่าวชิงต่ออย่างกระตือรือร้น “แม่สาวน้อย ดูใบหน้าเจ้าสิกลม ๆ ดูนุ่มมาก อวัยวะองค์รวมดูดีมากเลย เจ้าเป็นเด็กน่ารักขนาดนี้มีคนมาสู่ขอเจ้าหรือยังล่ะ ?”
เพราะคนที่ชีหลี่โวเคยเห็นเจียงป่าวชิงในสภาพตกอับมาก่อน แทบจะทุกคนยังคิดว่าเจียงป่าวชิงยังปัญญาอ่อนมีสภาพเหมือนขอทานอยู่ และจิตใต้สำนึกของพวกเขาก็ยังคงดูถูกเจียงป่าวชิงอยู่เสมอ
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงป่าวชิงเจอคนที่คุยอย่างเป็นกันเอง ไม่วกไปวนมาอย่างเช่นป้าหวัง
เจียงป่าวชิงไม่ได้รู้สึกไม่ชอบ แต่นางเพียงแค่คุ้นชินกับการรักษาระยะห่างกับคนแปลกหน้าจึงยิ้มให้อย่างเกรงใจ นางกำลังจะพูดว่าตนอายุยังน้อย ที่บ้านยังอยากให้รออีกสักสองสามปี ก็ได้ยินป๋ายรุ่ยฮัวที่อยู่ข้าง ๆ แย่งพูดขึ้นมาก่อน
“ป้าหวังเจ้าคะ ป่าวชิงของเรายังไม่มีใครมาสู่ขอ ป้าไม่รู้อะไร ป่าวชิงของเรามีชีวิตที่ลำเค็ญมาก ตอนเด็ก ๆ ก็ปัญญาอ่อนมาตั้งหลายปี ต้นปีนี้เพิ่งจะหายดีเอง ช่างน่าสงสารมากเลยจริง ๆ นะเจ้าคะ”
แทบจะในทันที สายตาของหลายคนที่กำลังมองเจียงป่าวชิงพลันแปลกไปเล็กน้อย พวกเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องคนปัญญาอ่อนที่ชีหลี่โวอยู่เหมือนกัน
มีคนปัญญาอ่อนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่คนปัญญาอ่อนที่น่ารักงดงาม ทั้งยังหายจากโรคปัญญาอ่อนแล้วนี่สิแปลก
เจียงป่าวชิงมองป๋ายรุ่ยฮัวด้วยสีหน้าราบเรียบ
เมื่อป้าหวังได้ยินที่ป๋ายรุ่ยฮัวพูด นางก็สงสารเจียงป่าวชิงมากยิ่งขึ้น นางพูดกับเจียงป่าวชิงด้วยความเมตตาว่า “โถ… เด็กน้อย เจ้าอย่าไปคิดว่าตัวเองมีชีวิตลำเค็ญเลยนะ ชีวิตคนเรา ความขมขื่นและความหวานมักจะมีจำนวนที่แน่นอนอยู่เสมอ เจ้าขมขื่นในช่วงครึ่งแรกของชีวิต ช่วงครึ่งหลังของชีวิตเจ้าอาจจะเสพสุขกับความหวานก็ได้”
ป๋ายรุ่ยฮัวได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงไปทันที
เจียงป่าวชิงแสดงสีหน้าซื่อตรงแล้วพูดกับป้าหวัง “ขอบคุณเจ้าค่ะป้า”
ป้าหวังยิ้มตาหยี “ดีแล้ว… เด็กดี ๆ”
ไม่นาน รถล่อก็เคลื่อนตัวออกเดินทาง
วันนี้กิจการของเสี่ยวเจิ้งดีมาก มีคนนั่งอยู่บนรถเต็มไปหมด แต่เจ้าล่อค่อนข้างเหนื่อย มันจึงเดินอย่างเชื่องช้าอืดอาด
.