เสี่ยวเจิ้งเองก็ได้รับความช่วยเหลือเช่นกัน เขาว่ายน้ำเป็นจึงว่ายมาที่ริมฝั่งด้วยตัวเอง แต่หลังจากที่ว่ายมาถึงริมฝั่งก็เหมือนสูญเสียจิตวิญญาณไป ตอนนี้เขาคุกเข่าอยู่ที่ริมฝั่งและร้องไห้จนหายใจไม่ออก
“ล่อข้า ล่อของข้า!”
ถึงแม้ว่าเจ้าล่อจะว่ายน้ำเป็น แต่แม่น้ำคราดนั้นลึกมากและบนตัวล่อยังล่ามไปด้วยเครื่องพันธนาการกับตัวรถ ป่านนี้ไม่รู้ว่ามันถูกกระแสน้ำพัดพาไปถึงไหนแล้ว
สามารถพูดได้ว่าเสี่ยวเจิ้งสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วก็ว่าได้
ใครคนหนึ่งอดไม่ได้ พูดพึมพำขึ้นมาจากด้านข้าง “ยามปกติเจ้ามักจะบอกว่าซุนต้าหูโง่เง่ามากที่ขายรถล่อ แต่ตอนนี้พอเทียบดูแล้ว ถึงเขาจะขายแต่อย่างน้อยเขาก็ขายได้เงิน ส่วนคนที่คิดทำร้ายคนอื่นอย่างเจ้าถือว่าขาดทุนย่อยยับ ไม่ได้อะไรกลับมาแม้แต่นิดเดียว”
คนอื่น ๆ รีบดึงคนปากพล่อยคนนี้ไว้แล้วพูดกล่อมเขาเสียงเบา “พอได้แล้ว อย่าซ้ำเติมเขาเลย”
เสี่ยวเจิ้งยิ่งร้องไห้เสียใจมากกว่าเดิม ทว่าคนที่ร้องไห้เสียใจอยู่ริมฝั่งไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว เสียงร้องไห้แทบจะดังต่อเนื่องกันเป็นระลอกอยู่แล้ว
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แน่นอนว่าเจียงป่าวชิงไม่สามารถไปอำเภอได้ นางกำชายเสื้อเดินขึ้นจากน้ำ จากนั้นก็มองป๋ายรุ่ยฮัวและเอ่ยถามเล็กน้อย “ป้าหวังที่อยู่ด้วยกันกับเจ้าล่ะ ?”
ตอนที่นางว่ายน้ำหาท่อนไม้ ก็เห็นป้าหวังกำลังช่วยป๋ายรุ่ยฮัวขึ้นไปบนท่อนไม้ แต่เพราะสถานการณ์ตอนช่วงท้ายคับขันเกินไป เจียงป่าวชิงจึงไม่ได้สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในต่อจากนั้น ตอนนี้เมื่อมาเห็นป๋ายรุ่ยฮัวกับเฟิ่งเอ๋อร์ที่กำลังตัวสั่นเทา นางถึงจะนึกเรื่องนี้ขึ้นได้
ป๋ายรุ่ยฮัวมือสั่น นางไม่กล้ามองเจียงป่าวชิงด้วยซ้ำ เอาแต่ก้มหน้ากัดฟันที่สั่นกระทบกันดังกึก ๆ อยู่อย่างนั้น
“ป้าหวัง นาง… นางถูกน้ำพัดไปแล้ว…”
เจียงป่าวชิงหรี่ตาลง เหตุใดพอพูดถึงป้าหวัง ปฏิกิริยาของป๋ายรุ่ยฮัวถึงได้แปลกประหลาดแบบนี้ล่ะ ?
เมื่อสักครู่เฟิ่งเอ๋อร์ร้องไห้จนเหนื่อย เด็กน้อยจึงหลับไปด้วยสติที่เลอะเลือน สภาพนางราวกับถูกผีอำ ทั้งหลับตาแน่นทั้งถีบขา จากนั้นก็เริ่มร้องไห้ทั้งที่ยังหลับตา
ป๋ายรุ่ยฮัวรีบอุ้มเฟิ่งเอ๋อร์และโยกตัวเพื่อกล่อมนาง หมอที่มาช่วยตรวจตราอาการของผู้คนก็รีบวัดชีพจรให้เฟิ่งเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว “นางตกใจเกินไปทำให้สูญเสียจิตวิญญาณ ข้าจะจ่ายยาที่ทำให้จิตใจสงบให้แล้วกัน กลับไปเจ้าก็อย่าลืมเอาให้นางดื่มล่ะ”
ป๋ายรุ่ยฮัวรีบขอบคุณหมอครั้งแล้วครั้งเล่า
เกิดเรื่องนี้ขึ้น แน่นอนว่าทุกคนไม่สามารถไปอำเภอได้ คนที่โชคดีมีชีวิตรอดต่างพากันไปหาเสี่ยวเจิ้งด้วยเพราะหวังให้เขาคืนเงินค่ารถ แต่กลับถูกเสี่ยวเจิ้งด่ากราดอย่างโหดเหี้ยม
แต่ถึงอย่างไร ยังมีบางคนคอยพูดเตือนคนที่ทวงค่ารถ “เอาหน่า… เขาเองก็น่าสงสารมากเหมือนเรา ๆ นั่นแหละ ล่อกับรถเขาหายไปหมดไม่เหลือแล้ว อย่างน้อยก็คงจะสูญเสียเงินมากกว่าสิบตำลึงเลยนะ”
คนที่ต้องการให้เสี่ยวเจิ้งคืนเงินเมื่อสักครู่พูดพึมพำเล็กน้อย “เขาน่าสงสาร ใช่ว่าเกิดจากข้าสักหน่อย เงินของข้าก็ไม่ได้มาจากลมพัดเช่นกัน อีกอย่าง ข้าก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ข้าน่าสงสารมากกว่าเสี่ยวเจิ้งอีก”
ผู้คนที่นั่งรถล่อล้วนได้ยินคำพูดประโยคนี้กันทั้งนั้น พวกเขาจึงพากันคล้อยตาม “ใช่ ๆ ๆ พวกเราต้องมาประสบพบเจอกับเคราะห์ร้ายครั้งยิ่งใหญ่แบบนี้ ทำไมพวกเราจะถามเขาเกี่ยวกับการเอาเงินค่ารถคืนไม่ได้ ?”
พวกเขาไม่พอใจเรื่องที่เสี่ยวเจิ้งขึ้นราคาตั้งนานแล้ว ตอนนี้พวกเขาจึงถือโอกาสแสดงออกอย่างเต็มที่
“แล้วยังมีผักของข้าอีกด้วย ผักทั้งหมดหล่นลงไปในแม่น้ำแล้ว เสี่ยวเจิ้ง เจ้าชดใช้ค่าเสียหายมาเดี๋ยวนี้”
พวกผู้โดยสารต่างพากันก่อความวุ่นวายเรียกร้องให้เสี่ยวเจิ้งชดใช้ค่าเสียหาย เสี่ยวเจิ้งถูกบังคับอย่างโหดเหี้ยมแต่เขาพยายามสู้ เขาตะเพิดกลับด้วยดวงตาที่แดงก่ำราวกับสีเลือด “ข้ายังไม่ขอเงินจากพวกเจ้าเลย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพาพวกเจ้าไปส่งในอำเภอ ล่อของข้าก็คงไม่ตกลงไปในน้ำหรอก! ถ้างั้นพวกเจ้าก็ชดใช้ค่าเสียหายมาบ้างสิ ชดใช้ค่าล่อและค่ารถล่อให้ข้าสิ!”
ผู้คนพากันผลักกันไปมาเสียงดังโวยวาย
ในเมื่อไม่ได้ไปอำเภอแล้ว เจียงป่าวชิงเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เพื่อฟังพวกเขาเถียงกัน นางถอนหายใจพลางปล่อยผมลงแล้วรูดน้ำบนเส้นผมออก เสร็จแล้วก็บิดน้ำออกจากเสื้อผ้าและเคาะน้ำออกจากรองเท้า สุดท้ายก็เดินเลียบริมแม่น้ำเพื่อกลับไปยังชีหลี่โว
โชคดีที่ตอนนี้ยังคงเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศยังคงอบอุ่นพอควร ลมเย็นกำลังดีพัดมาปะทะใบหน้านางวูบหนึ่ง ถึงแม้ว่านางจะตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หนาวอะไรมาก
ตอนนี้สะพานไม้ถล่มแล้วจึงต้องพึ่งเรือข้ามฟากเท่านั้น เจียงป่าวชิงใช้เวลาเดินมากกว่าสองก้านธูปจนมาถึงท่าเรือด้วยสภาพเนื้อตัวที่เปียกโชก นางรู้สึกขอบคุณตัวเองมากที่ยังเหลือเรี่ยวแรงเดินมาถึงที่นี่ได้
ณ ตอนนี้มีคนรออยู่บนเรือบ้างแล้ว ชาวประมงรอจนกว่าคนจะเต็มเรือถึงจะออกจากท่า
เมื่อชาวประมงเห็นเจียงป่าวชิงที่เนื้อตัวเปียกโชกก็พอจะเดาได้ “ไอ้โยเจ้าหนู นี่เจ้าเพิ่งตกลงไปในแม่น้ำมาล่ะสิ ?”
พวกที่ทำอาชีพคนเรือช่างรู้ข่าวไวจริง ๆ สะพานไม้อีกฝั่งถล่ม ข่าวสารที่พวกเขาซึ่งอยู่ฝั่งนี้กลับได้รับเร็วกว่าใคร ๆ อีก
เจียงป่าวชิงพยักหน้า
ชาวประมงพูดด้วยความเห็นอกเห็นใจว่า “น่าสงสารจริง ๆ มาสิมา รีบขึ้นมานั่งพักเร็วเข้าเลย เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าต้องมาเจอเรื่องเคราะห์ร้ายแบบนี้มันช่าง… เอาเถอะ ๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว นี่แสดงว่าเจ้ามีบุญวาสนาและดวงดีมากนะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะไม่เก็บค่าเรือข้ามฟากเจ้า ถือว่าเป็นการปลอบใจเจ้าและขอพึ่งวาสนาของเจ้า”
เจียงป่าวชิงเอ่ยคำขอบคุณชาวประมง เมื่อนางขึ้นเรือมาได้ก็รู้สึกถึงสายตาที่ค่อนข้างแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งกำลังมองมา
ลูกตาของคนคนนั้นแทบจะแนบติดอยู่บนตัวของเจียงป่าวชิงอยู่แล้ว
เจียงป่าวชิงใกล้จะอายุสิบสี่ปีแล้ว หากพูดกันตามหลัก เด็กผู้หญิงในวัยนี้คงจะมีการพัฒนาของร่างกายไปนานแล้ว แต่เนื่องจากร่างกายของเจียงป่าวชิงไม่ได้รับสารอาหารที่ดีจากอาหารดี ๆ มาเป็นเวลานาน ถึงแม้ว่านางได้รับการบำรุงเป็นอย่างดีในช่วงหลังนี้ แต่การพัฒนาด้านร่างกายของนางก็ยังค่อนข้างช้ากว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน
แม้จะเป็นแบบนั้น แต่ร่างกายของสาวน้อยก็พอมีส่วนเว้าโค้งอยู่บ้าง ยิ่งเสื้อผ้าเปียกชื้นแนบไปกับร่างกายด้วยแล้ว สามารถกล่าวได้ว่าส่วนโค้งนั้นชัดเจนมากจริง ๆ
เจียงป่าวชิงสบตาคนคนนั้นกลับไปตรง ๆ
เขาเป็นชายวัยยี่สิบปีที่ดูค่อนข้างอัปลักษณ์และใบหน้าสุดจะมันเยิ้ม เขาพบว่าเจียงป่าวชิงไม่เหมือนกับพวกเด็กสาวในหมู่บ้านที่มีท่าทีเขินอายเมื่อรู้ว่ามีคนจ้องอยู่ตลอด ท่าทางเย็นชาผสมไปด้วยแววตาแหลมคมนี้ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ อยู่ในใจ
ชายอัปลักษณ์ผลักใครคนหนึ่งเพื่อให้ฝ่ายนั้นแลกที่นั่งกับเขา ฝ่ายนั้นเห็นว่าชายอัปลักษณ์มีใบหน้าโหดเหี้ยม และเขาไม่เต็มใจมีเรื่อง จึงเปลี่ยนที่นั่งกับชายอัปลักษณ์อย่างเสียมิได้
ชายอัปลักษณ์นั่งข้างเจียงป่าวชิงแล้วขยับใบหน้าเข้าไปยิ้มให้นาง “สวัสดีแม่สาวน้อย เจ้าเป็นคนจากหมู่บ้านไหนกันรึ ?”
เจียงป่าวชิงใช้มือขวาคลำไปที่ข้อมือซ้ายที่ปกปิดอยู่ภายใต้แขนเสื้อด้วยสีหน้าราบเรียบ
ชายอัปลักษณ์เอื้อมมือออกไปอย่างลองเชิงเผื่อว่าเขาจะได้โอบกอดเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงหัวเราะเยาะ นางพลิกมือตีแขนของเขาคนนั้นเบา ๆ
ชายอัปลักษณ์ระเบิดเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาทันที เขายืนโงนเงนไปมาจนพลัดตกจากเรือ ทั้งร่างหล่นลงไปในแม่น้ำ ทำเอาตัวเรือส่ายไปมาอยู่สักพักใหญ่ ผู้คนต่างพากันตกใจ ผ่านไปสักครู่เรือถึงจะนิ่งลง
ชายอัปลักษณ์คนนั้นยังคงตีปีกอยู่ในน้ำ ชาวประมงรีบหยิบไม้พายเพื่อยื่นให้ชายอัปลักษณ์คนนั้นคว้าไว้ จะได้ช่วยเขาขึ้นจากน้ำ
เดิมทีชายอัปลักษณ์ว่ายน้ำไม่ค่อยเป็น จู่ ๆ กลับมาได้รับความเจ็บปวดอย่างกะทันหันเช่นนี้อีก เขาสำลักน้ำไปหลายอึก นี่ถือได้ว่าเขาเจอเรื่องลำบากทำให้ได้รับความทรมานมาก
เจียงป่าวชิงกอดอกมองชายอัปลักษณ์อย่างเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง
ชายอัปลักษณ์สำลัก ไอเอาน้ำออกมา จากนั้นก็ชี้มือไปที่เจียงป่าวชิงด้วยเนื้อตัวสั่นเทา “เจ้า เจ้าทำอะไรข้า…?”
เจียงป่าวชิงเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น แม้ปากจะยิ้มแต่ตาของนางกลับไม่ยิ้มตาม ท่าทางของนางในเวลานี้เย็นชามากจริง ๆ “หืม ? เจ้าชี้ข้าทำไมกัน ? ข้ายังไม่ทันทำอะไรเลย”
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาไม่รู้สึกเจ็บแขนแล้ว แต่เมื่อเขาย้อนนึกไปถึงความเจ็บที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อครู่ที่ผ่านมานั้นก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นงันงก “อย่ามาทำไก๋! บอกมาว่าเจ้าทำอะไรกับแขนของข้า ?!”
เจียงป่าวชิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ชาวประมงที่อยู่ข้าง ๆ เป็นฝ่ายทนดูต่อไปไม่ไหวและพูดขึ้นมา “พอได้แล้วหม่าลิ่ว พวกเราต่างเห็นกันหมดแล้ว เด็กมันก็แค่ตีแขนเจ้าเบา ๆ เจ้าก็ตกอกตกใจกระโดดลงไปในน้ำเอง นี่เจ้ายังจะมาโทษเด็กมันอีกรึ ? เมื่อสักครู่เจ้าก็เกือบทำเรือเราล่มอยู่แล้ว ถ้าเจ้ายังสร้างปัญหาอีก ข้าจะไม่ทำการค้ากับเจ้าแล้วและเจ้าก็ต้องลงจากเรือไปซะ”
.