เจียงป่าวชิงเป็นหมอ แน่นอนว่าสามารถรู้สึกได้ถึงการแข็งตัวของกล้ามเนื้อภายใต้ชุดแบบจีนของเขาได้แทบจะในทันที นางรู้ว่ากงจี้เป็นพวกไม่ชอบให้คนอื่นแตะต้องตัวชนิดรุนแรงกว่านางเป็นร้อยเป็นพันเท่า จึงทำได้เพียงดึงแขนเขาไว้อย่างฝืน ๆ “ข้าว่านะคุณชายกง ท่านกง เจ้านายกง เหอะ ๆ ข้าเรียกทุกแบบเลย ตอนนี้เราอย่ามาอารมณ์เสียใส่กันเลยดีกว่า ข้าเป็นห่วงขาของเจ้ามาก เจ้าช่วยให้ความร่วมมือหน่อยได้ไหมเล่า ?”a
กงจี้จ้องเจียงป่าวชิงอย่างเย็นชาแต่ไม่พูดอะไร
เจียงป่าวชิงถือว่าเขายอมรับโดยดุษดีจึงทั้งประคองทั้งฉุดกระชากเขาไปด้วย เพื่อให้เขาเข้ามาในห้อง
ฝูฉูที่อยู่ด้านนอกมองสิ่งที่นางเห็นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ‘คงเป็นเพราะแม่นางเจียงยังมีประโยชน์ต่อขาของท่านชาย ใช่ จะต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ…’ ฝูฉูปิดตาพลางครุ่นคิดในใจ
……
เมื่อเข้ามาในห้อง เจียงป่าวชิงก็ประคองกงจี้มาบนพื้นที่ยกสูงสำหรับให้เขานั่ง จะว่าไปแล้ว ถึงแม้กงจี้จะรูปร่างสูงชะลูดไม่มีเนื้อส่วนเกิน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นชายวัยกลางคน เจียงป่าวชิงประคองพร้อมลากเขาแบบนี้จัดว่าเหนื่อยอยู่พอสมควร
กงจี้นั่งบนพื้นที่ยกสูงใกล้หน้าต่าง สีหน้าของเขาค่อนข้างย่ำแย่ เจียงป่าวชิงไม่พูดกับเขา เขาเองก็ไม่สนใจนาง ทั้งสองเงียบใส่กันอยู่นาน แน่นอนว่าตอนนี้เขาคงจะโมโหจนเหลือทนแล้วแน่ ๆ
เจียงป่าวชิงยังคงไม่สนใจเขา นางนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาเพื่อเตรียมตรวจร่างกาย
กงจี้ถลึงตาใส่ทว่านางทำเป็นมองไม่เห็น เลือกที่จะวัดชีพจรให้เขาอย่างเงียบ ๆ แทน และนี่ทำให้กงจี้โมโหจัดเพราะท่าทางไม่แยแสของนาง ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอย่างเย็นชา “อย่าคิดว่าเจ้าทำแบบนี้แล้วจะทำให้เรื่องราวมันผ่านไปได้นะ!”
เจียงป่าวชิงวัดชีพจรเสร็จพอดี นางเก็บมือกลับมาแล้วกะพริบตาถามกงจี้ “ข้าต้องทำเรื่องราวอะไรให้มันผ่านไปล่ะ ?”
กงจี้จ้องเจียงป่าวชิง บรรยากาศในตอนนี้เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก เขารู้สึกว่านางเข้าใจแต่แสร้งทำเป็นเลอะเลือน
เจียงป่าวชิงยังคงไม่สนใจที่กงจี้ไม่สนใจนาง นางทำเพียงพูดพึมพำกับตัวเอง “ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าให้คนไปเรียกไป๋จีกลับมาเถอะ เจ้านี่ก็แปลกนะ ไม่ยอมให้คนอื่นปรนนิบัติ ข้าว่าไป๋จีอยู่ที่นี่จะเป็นการดีที่สุด”
กงจี้เห็นเจียงป่าวชิงเป็นห่วงเขา ในที่สุดเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย เพียงแต่น้ำเสียงยังมีความเยาะหยันอยู่บ้าง “เรื่องที่เจ้าเป็นห่วงก็มีมากเหมือนกันหนิ”
เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “หึ ๆ ก็ถ้าไม่อย่างนั้น ขาของคุณชายกงหายช้าขึ้นมา เจ้าคงโทษว่าข้าไม่ชำนาญทักษะด้านการรักษาโรคเอาได้”
กงจี้เพิ่งจะหายใจคล่อง ตอนนี้กลับถูกเจียงป่าวชิงทำให้โมโหอีกครั้ง
เจียงป่าวชิงพูดต่ออย่างไม่แยแส “อันที่จริง ขาของคุณชายกงมาถึงขั้นปัจจุบันนี้ได้ การฝังเข็มก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว ที่เหลือคือเพิ่มการนวดและฝึกซ้อมให้ดีกว่านี้หน่อย และเราก็ไม่จำเป็นต้องมาจับชีพจรแบบนี้ทุกวันแล้วล่ะ ข้าจะมาดูคุณชายกงโดยที่ไม่ต้องมาบ่อยเท่าเดิม… อ้อ ใช่แล้ว” เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “วันนี้ตอนบ่ายข้าไม่เข้ามาแล้วนะ พอดีว่าต้องออกไปธุระ วันนี้คุณชายกงยืนนานขนาดนั้น ตอนบ่ายต้องพักผ่อนให้มาก ๆ ถึงจะดี เพราะถึงยังไง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้สบาย ๆ หรอก การทำกายภาพบำบัดก็เหมือนกัน ขาของเจ้าไม่ได้ถูกใช้งานมานาน ถ้าหากว่าใช้งานหนักเกินไป เกรงว่ามันจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูในภายหลังเอาได้”
สีหน้าของกงจี้หนักแน่นขึ้นทันที “ตอนบ่ายเจ้าไม่มา แล้วเจ้าจะไปไหน ?”
เจียงป่าวชิงไม่คิดอะไรมาก นางพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ไปในอำเภอ”
สีหน้าของกงจี้เปลี่ยนไปทันที “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เจ้ายังจะไปหาซุนต้าหูอะไรนั่นอีกรึ ?”
เมื่อนึกถึงซุนต้าหู เจียงป่าวชิงก็รู้สึกร้อนใจ “พี่ต้าหูเป็นคนซื่อ ๆ ตอนนี้ป๋ายรุ่ยฮัวไม่ยอมบอกว่าซุนต้าตงทำเรื่องผิดกฎหมายอะไร ถ้าพี่ต้าหูไปในอำเภอแล้วหาช่องทางไม่เจอคงจะดี แต่ถ้าเขาหาช่องทางเจอแล้ว ข้ากลัวว่าเขาจะเสียเปรียบเอาได้”
ไฟโกรธของกงจี้ถูกจุดขึ้นมาทันที
คำก็พี่ต้าหู สองคำก็พี่ต้าหู นางเรียกเจ้าบ้านั่นอย่างสนิทสนม!
แล้วเขาล่ะ ยามปกตินางเรียกเขาว่าคุณชายกง นี่เขาไม่มีชื่อหรือไง เรียกห่างเหินมากเกินไปจริง ๆ!
ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งในยามปกติของกงจี้ คำว่า ‘ไสหัวไป’ แทบจะพุ่งขึ้นมาถึงคอหอยของเขาอยู่แล้ว ทว่าเมื่อเขาเห็นใบหน้าเล็กของเจียงป่าวชิงขมวดคิ้วมุ่น ลำคอของเขาก็กระตุก ในที่สุดก็ไม่ได้พูดคำพูดโหดร้ายอะไรออกไป
กงจี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็รีบกลับไปเตรียมตัวเถอะ”
เจียงป่าวชิงรู้สึกว่าตอนนี้กงจี้เข้าใจคนอื่นมากขึ้นจึงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับดอกไม้บาน “งั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะ คุณชายกงก็อย่าลืมพักผ่อนล่ะ อ้อ และห้ามทำงานหนักจนหนักเกินไปเด็ดขาด”
หลังจากที่เจียงป่าวชิงออกไปจากห้อง สีหน้ากงจี้ดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง เขาเผลอเพิ่มแรงบีบมือที่กำลังจับถ้วยน้ำชาจนมันเกิดรอยร้าวจะแตกอยู่รอมร่อ
……
เมื่อเจียงป่าวชิงออกมาจากประตูบ้านกงจี้ ก็เห็นเจียงเอ้อยายืนอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลในสภาพเหงื่อไหลโชก สายตาอาฆาตก็กำลังจ้องมองประตูบ้านเขม็ง
ทันทีที่เห็นเจียงป่าวชิงออกมา เจียงเอ้อยาก็เหมือนกลับมามีชีวิตอย่างกะทันหัน นางพุ่งมาหาเจียงป่าวชิงพลางแหกปากตะโกนเสียงดัง “ป่าวชิงเจ้าคนหน้าไม่อาย! เจ้าลืมบทลงโทษของพี่ต้ายาไปแล้วหรือไง ?!”
นางพูดประโยคนี้ออกมาอย่างไม่มีมูลเหตุ เจียงป่าวชิงจึงมองเจียงเอ้อยาเหมือนมองคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น “เจ้าพูดอะไรของเจ้า ?”
เมื่อสักครู่นางตกใจจนเป็นบ้าหรือถูกแสงแดดตอนเที่ยงวันเผาจนเป็นบ้ากันแน่ ?
เจียงเอ้อยาพูดด้วยความเกลียดชังเต็มที่ “อย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย ตกลงว่าเจ้าใช้เสน่ห์อะไรทำให้คุณชายคนนั้นหลงในตัวเจ้ากันแน่ กลางวันแสก ๆ เข้าไปในบ้านผู้ชายตั้งนาน หรือว่าเจ้าลืมแล้วว่าพี่ต้ายาถูกกำจัดออกจากวงศ์ตระกูลยังไงในตอนนั้น ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องที่เจียงต้ายาถูกกำจัดออกจากวงศ์ตระกูล เจียงป่าวชิงก็เข้าใจเจียงเอ้อยาได้ในทันทีว่านางจะสื่อถึงอะไร ทำไมกัน ? เจียงเอ้อยาคิดว่านางทำอะไรกับกงจี้อยู่ข้างในอย่างนั้นรึ ?
เจียงป่าวชิงหรี่ตามองเจียงเอ้อยา นางอยากทำให้เจียงเอ้อยาโกรธจึงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยียวนกวนโอ๊ย “ไอ้โย เรื่องแบบนี้ต้องมีหลักฐานสิ หากไม่มีหลักฐาน ใครก็ก้าวก่ายข้าไม่ได้หรอก”
เจียงเอ้อยาเห็นท่าทางอวดดีของเจียงป่าวชิงที่เป็นเด็กฝีปากกล้าชอบพูดจาเหน็บแนมจนชินแล้ว ทว่าจู่ ๆ เมื่อนางคิดขึ้นมาได้ว่าเจียงป่าวชิงไม่ปฏิเสธ อีกทั้งยังมายิ้มกวนประสาท นี่มันเหมือนยอมรับราง ๆ ว่าตัวเองมีเรื่องชู้สาวกับคุณชายคนนั้นจริง
จะเป็นลม!
“ป่าวชิง! เจ้า… เจ้ามันหน้าไม่อายเอามาก ๆ”
เจียงป่าวชิงส่งเสียงอุทาน นางพูดขึ้นยิ้ม ๆ เช่นเคย “ช่วยไม่ได้ ก็คุณชายกงชอบที่ข้าหน้าไม่อายนี่นา เจ้าก็ลองดูบ้างสิ แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าทำให้ตัวเองอับอายเลย เพราะความสัมพันธ์ของข้ากับคุณชายกงนั้นมั่นคงแข็งแรงยิ่งกว่าทองคำเสียอีก และคุณชายกงคงไม่ชอบเจ้าอย่างแน่นอน”
เจียงเอ้อยาแทบจะถูกท่าทางของเจียงป่าวชิงทำให้โกรธจนเป็นบ้า นางเข้าใจได้ในทันที ในยามปกติเจียงป่าวชิงที่ชอบพูดเหน็บคนอื่นยังถือว่าพอรับได้ ตอนนี้เจียงป่าวชิงกลับไร้ยางอาย สีหน้าท่าทางก็แสนจะน่าหมั่นไส้
เหอะ! คิดว่าตัวเองสวยน่ารักมากอย่างนั้นสิ ?
เจียงป่าวชิงชำเลืองมองเจียงเอ้อยาที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันยกใหญ่ แต่นางก็ไม่สนใจ เดินฮัมเพลงไปเคาะประตูบ้านตัวเอง “พี่หยุนชาน ข้ากลับมาแล้ว เปิดประตูให้หน่อยเจ้าค่ะ”
นางไม่สนใจเจียงเอ้อยาอีกเลย
……
ช่วงบ่าย ตอนที่เจียงป่าวชิงกำลังจะออกจากบ้านก็ไม่เห็นเจียงเอ้อยาที่นอกบ้านแล้ว แต่กลับมีรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่ที่หน้าประตูทางเข้า รถม้า… ถ้าไม่ใช่ของกงจี้แล้วจะเป็นของใครไปได้อีก ?
เจียงป่าวชิงค่อนข้างงุนงง เดิมทีนางตั้งใจจะเดินไปอำเภอ ถ้าหากว่าฟ้ามืดก็ค่อยหาที่พักค้างคืนชั่วคราว ไม่ได้คิดหยิบยืมรถม้าของกงจี้แต่อย่างใด
เวลานี้คนขับรถม้าเห็นเจียงป่าวชิงที่เดินออกมาแล้ว เขากระโดดลงจากรถม้า รีบทำความเคารพนางอย่างนอบน้อม “แม่นางเจียง นายท่านสั่งให้ข้าไปส่งแม่นางในอำเภอ และเมื่อแม่นางทำธุระเสร็จแล้วก็ต้องรับแม่นางกลับมาโดยไม่ให้เป็นอันตรายใด ๆ ขอรับ”
เจียงป่าวชิงตกตะลึง “แต่ข้าไม่ได้ยืมรถม้าหนิ… และเจ้าไม่ต้องสุภาพนอบน้อมกับข้าขนาดนั้นก็ได้”
คนขับรถม้าพูดต่อ “ไม่เป็นไรเลยขอรับ นายท่านบอกไว้ว่าถึงยังไง ‘ความสัมพันธ์ของพวกท่านทั้งสองก็มั่นคงแข็งแรงยิ่งกว่าทองคำ’ เรื่องยืมรถม้าเป็นสิ่งที่มิควรค่าแก่การพูดถึงแล้วขอรับ”
ฉ่า!
ใบหน้าของเจียงป่าวชิงร้อนฉ่าราวกับถูกเผาไหม้ทันที แม้ขณะนี้ใบหน้านางไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ แต่นางกลับกรีดร้องอยู่ในใจ ‘แย่แล้วแย่แล้วแย่แล้ว กงจี้ได้ยินคำพูดที่ข้าตั้งใจทำให้เจียงเอ้อยาโกรธหมดแล้วงั้นเรอะ ? แถมเขายังจงใจหยิบยกคำพูดนี้มาเหน็บแนมอีก ให้ตายเถอะ!’
บัดซบ!
นางไม่มีหน้าไปเจอเขาอีกแล้ว