อยู่ดี ๆ การตัดสินความผิด ณ ที่นี้ก็กลายเป็นงานประชุมญาติไปเสียอย่างนั้น
เมื่อได้ยินป๋ายรุ่ยฮัวบอกว่านางถูกพ่อค้ามนุษย์ขายให้ไปเป็นสะใภ้ตระกูลป๋าย แล้วบนไหล่ขวายังมีไฝเรียงกันสามจุดด้วย คุณนายหลูก็แน่ใจว่าป๋ายรุ่ยฮัวคือลูกสาวที่พลัดพรากหายตัวไปเมื่อหลายปีก่อนของนาง นางโผเข้ากอดป๋ายรุ่ยฮัวและร้องไห้โฮหัวใจแทบสลาย
แม่นมโจเองก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน “ตลอดหลายปีมานี้ คุณหญิงไม่เคยลืมคุณหนูเลยสักครั้ง นางมักจุดตะเกียงที่เรียกว่า ‘ตะเกียงสุขใจ’ ให้คุณหนูที่หน้าพระบ่อย ๆ และขอร้องให้พระโพธิสัตว์ประทานพรให้คุณหนูปลอดภัย คงเป็นเพราะความจริงใจของคุณหญิงตลอดเวลาหลายปีทำให้เหล่านางฟ้านางสวรรค์ตื้นตันใจ ส่งผลให้คุณหญิงกับคุณหนูกลับมาพบกันอีกครั้ง”
คุณนายหลูร้องไห้สะอึกสะอื้นและพยักหน้าไปด้วย “เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าจะก่อร่างรูปปั้นทองคำให้พระโพธิสัตว์”
ตอนนี้ป๋ายรุ่ยฮัวตื่นเต้นชนิดที่ว่ายากจะบรรยายได้ แม้นางรู้สึกห่างเหินเล็กน้อยต่อน้ำตาของคุณนายหลู แต่นางตระหนักได้อย่างหนึ่งว่านางไม่ใช่สะใภ้สาวชีวิตอาภัพที่ต้องทนยอมให้คนอื่นเหยียบย่ำอีกต่อไปแล้ว
นางคือคุณหนูของตระกูลผู้ร่ำรวย!
เดิมทีนางควรเป็นคุณหนูใหญ่สูงศักดิ์ล้ำค่าของตระกูลผู้ร่ำรวย ชีวิตที่เลวร้ายแบบที่ผ่านมาไม่ควรเกิดขึ้นกับนางเลย
จนกระทั่งตอนนี้ น้ำตาของป๋ายรุ่ยฮัวหลั่งริน
……
ซุนต้าหูพยุงตัวเองเดินออกมาจากที่ว่าการอำเภอ แสงสว่างส่องกระทบใบหน้าเขาอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนอยู่คนละยุคสมัยเมื่อเห็นดวงอาทิตย์ที่ลาดเอียงแล้วนิดหน่อยตรงหน้านี้
เจียงป่าวชิงยืนอยู่นอกที่ว่าการอำเภอ นางไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เอ่ยขึ้นเบา ๆ “พี่ต้าหูไปที่ร้านยาของหมอเกิ่งก่อน ข้าจะช่วยทายาให้พี่”
อารมณ์ของซุนต้าหูที่กำลังมองเจียงป่าวชิงนั้นค่อนข้างซับซ้อนมาก มันมีทั้งความอับอายขายหน้าผสมผสานไปกับการขาดความมั่นใจ
เขาดีใจมากที่เจียงป่าวชิงตั้งใจไปเยี่ยมเขาถึงในคุก แต่เขากลับทำให้ความหวังดีของนางสูญเปล่า นางต้องผิดหวังที่สุดท้ายเขาเลือกยอมรับโทษแทนซุนต้าตง
เมื่อเห็นว่าเจียงป่าวชิงไม่พูดถึงเรื่องนี้ นางเพียงแค่บอกว่าจะพาเขาไปทายา เขาจึงไม่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับนางด้วยสีหน้าอย่างไรและทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยใบหน้าฝืนยิ้มเท่านั้นเอง “พี่ต้าหูของเจ้าแข็งแรงมาก แผลเล็กนิดเดียวไม่มีอะไร เจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก อีกเดี๋ยวข้ายังต้องไปดูท่านอาของข้าอีก”
เจียงป่าวชิงพบว่าซุนต้าหูเป็นคนไม่หลาบจำ เมื่อสักครู่แม่ของซุนต้าตงอยากโยนความผิดเพื่อให้ซุนต้าหูต้องตายแทนซุนต้าตงอยู่แล้ว ตอนนี้เขายังจะมาเป็นห่วงนางอีก เจียงป่าวชิงไม่อยากพูดอะไรแล้ว ได้แต่พยักหน้าให้เท่านั้น
“อื้ม แล้วแต่พี่ต้าหูเลยเจ้าค่ะ”
และนางก็จากไปอย่างว่องไว
ในความคิดของเจียงป่าวชิง พวกเขาต่างโต ๆ กันแล้ว แน่นอนว่านางไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกทัศน์ของผู้อื่นมากนัก ในเมื่อไร้กังวลเรื่องชีวิต เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยเขาไป นางมีตำแหน่งที่จะเข้าไปยกไม้ยกมือออกสิทธิ์สั่งเสียงกับการเลือกของผู้อื่นที่ไหนกันล่ะ ?
เจียงป่าวชิงกลับไปที่ร้านยาของเกิ่งจื่อเจียง นางพบว่าเกิ่งจื่อเจียงผู้ซึ่งถูกตีห้าสิบไม้และไข้สูงก่อนหน้านี้ก็ได้ลดลงแล้ว ตอนนี้เขามีแรงเพิ่มขึ้นอีกนิด เมื่อเขาเห็นเจียงป่าวชิงกลับมาก็ดีใจมาก
“แม่นางเจียงเจ้ากลับมาแล้ว ว่าไง เรื่องราวเป็นยังไงบ้างล่ะ ?” เขาถามและสังเกตสีหน้าของเจียงป่าวชิงไปด้วย
ดูเหมือนว่าเจียงป่าวชิงจะมีสีหน้าปกติ ทั้งเงียบและสงบ ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ
เกิ่งจื่อเจียงเดาความคิดของเจียงป่าวชิงไม่ออกจริง ๆ
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ก็ดี พี่ต้าหูถูกท่านขุนนางอำเภอตัดสินว่าไม่มีโทษ แต่เพราะเขาคิดจะรับโทษแทนคนอื่นจึงถูกลงโทษเป็นการตีสามสิบไม้กระดาน”
เกิ่งจื่อเจียงถูกตีห้าสิบไม้กระดาน เขาครุ่นคิดกับตัวเองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “เจ้าว่าเขาคิดจะทำอะไร ถึงได้ชิงยอมรับโทษและถูกตีสามสิบไม้กระดานโดยเปล่าประโยชน์แบบนั้น”
เจียงป่าวชิงถามกลับ “หรือว่าห้าสิบไม้กระดานของหมอเกิ่งไม่ได้ได้มาโดยเปล่าประโยชน์อย่างนั้นสิ ?”
เกิ่งจื่อเจียงพูดไม่ออกเลยทีเดียว
เจียงป่าวชิงนั่งบนเก้าอี้พลางรินน้ำชาให้ตัวเองแล้วค่อย ๆ หมุนแก้วไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดโดยที่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้นว่า “มนุษย์ต่างก็เป็นแบบนี้หมดไม่ใช่รึ ? ทำตัวเองให้มีเรื่องน่าปวดหัวขึ้นมาทั้งที่รู้ ๆ อยู่ว่าไม่คู่ควร แต่ก็ยังอยากทำ เพราะถึงยังไงการที่คนเรามีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่เพื่อเรื่องคู่ควรหรือไม่คู่ควรอยู่แล้วหนิ”
เกิ่งจื่อเจียงไม่เคยเห็นเจียงป่าวชิงในสภาพอ่อนล้าระคนหงุดหงิดใจแบบนี้มาก่อน เขาตกตะลึงอยู่เล็กน้อย
เจียงป่าวชิงดึงสติกลับมา นางชะงักไป แต่จากนั้นจากนั้นก็พูดขึ้น “เอ้อ ข้าถามเรื่องฉือเชียนเชียนแล้วนะ เขาบอกกันมาว่าสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของผู้ต้องขังต่างไม่ได้เข้าร่วมในอนุสรณ์ของขุนนาง นางคงไม่เป็นข้อยกเว้นด้วยเช่นกัน”
อนุสรณ์ของขุนนางคือสถานที่อะไรยังไง ทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลยด้วยซ้ำ
เกิ่งจื่อเจียงใจลอยไปไกล เขาส่งเสียงอุทานออกมาเบา ๆ
ทั้งสองคนเงียบกันไปสักพัก เจียงป่าวชิงลุกขึ้นและยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย “ฟ้าใกล้มืดแล้ว ข้าต้องกลับแล้วล่ะ เงินที่ข้าเอาไปก็หักจากเงินปันผลของข้าแล้วกัน”
เกิ่งจื่อเจียงจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง เมื่อสงบลงบ้างแล้ว เขาก็รีบพูดขึ้น “ในเมื่อฟ้าใกล้มืด คาดว่ารถม้าคงจะไม่พาเจ้าไปส่งแล้วล่ะ ห้องข้าง ๆ ว่างอยู่ เจ้าไปพักที่นั่นสักคืนแล้วค่อยกลับในวันพรุ่งนี้เถอะ”
เจียงป่าวชิงเป็นห่วงเจียงหยุนชานพี่ชายที่อยู่ที่บ้าน เป็นห่วงเสี่ยวฟ๋านฟ๋านตัวน้อย และเป็นห่วงกงจี้ คุณชายนิสัยไม่ดีที่อยู่บ้านข้าง ๆ ด้วย
คิดได้ดังนั้น นางก็ยิ่งอยากกลับบ้านเร็ว ๆ
เจียงป่าวชิงขอบคุณน้ำใจของเกิ่งจื่อเจียง แต่สุดท้ายนางก็ออกจากบ้านตามความคิดของตัวเองอยู่ดีโดยเดินมาเรื่อย ๆ จนมาถึงสถานที่ที่นัดกับคนบังคับรถม้า นางกลับพบว่าไร้ร่องรอยของคนบังคับรถม้า
ขณะนี้ พระอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าแล้ว คนเดินถนนก็น้อยลงแล้วเช่นกัน เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะลองเรียกดูสองสามครั้ง “สวัสดี มีใครอยู่ไหมจ๊ะ ?”
ไร้ซึ่งเสียงขานรับใด ๆ
เจียงป่าวชิงรู้สึกผิดปกติในใจจึงมองไปยังบริเวณรอบ ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน
นางอยู่กับกงจี้มานาน ฉะนั้นย่อมรู้เครื่องหมายเล็ก ๆ ของพวกเขา แต่บนถนน บนกำแพง หรือแม้แต่บนเปลือกไม้ที่อยู่ใกล้เคียงก็ไม่มีเครื่องหมายใด ๆ แม้แต่นิดเดียว
เจียงป่าวชิงรู้สึกหนักใจจึงรีบไปถามทางคนแถวนี้เพื่อหาทางไปที่ท่ารถม้าในอำเภอ
อำเภอฉือเจียไม่ได้เป็นอำเภอมั่งคั่งมากมายอะไรนัก หากจะพูดให้ถูกต้องก็คงเป็นอำเภอที่เรียกได้ว่าค่อนข้างยากจนเลยทีเดียว ท่ารถม้าของอำเภอฉือเจียทั้งเก่าทั้งทรุดโทรม มีคนบังคับรถม้าคนหนึ่งนั่งอย่างไม่มีชีวิตชีวาอยู่ด้านหน้า และมีบางคนที่กำลังพูดคุยกัน ท่าทางเหมือนเตรียมตัวกลับบ้านอย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงเข้าไปหาผู้ดูแลการให้เช่ารถม้าที่ด้านหลัง “สวัสดีจ้ะ ข้าต้องการเช่ารถม้าไปชีหลี่โวจ้ะ”
ผู้ดูแลการให้เช่ารถม้าส่งเสียงอุทานเล็กน้อย เขาสังเกตเจียงป่าวชิง “แม่สาวน้อย เส้นทางที่จะไปชีหลี่โวนั้นอันตรายมากนะ อีกอย่าง นี่ก็ตกกลางคืนแล้วด้วย ข้าเกรงว่า…”
เจียงป่าวชิงไม่มีแก่ใจมายืนเถียงกับผู้ดูแลจึงพูดขัดจังหวะเขา “ข้าให้ราคาสองเท่า ท่านตกลงไหม ?”
ผู้ดูแลตาเป็นประกายทันที เขาพยักหน้ารัว ๆ และรีบจัดหาคนบังคับรถม้าให้เจียงป่าวชิงทันที “นี่คือคนบังคับรถม้าคนเก่าที่ทำอาชีพนี้มาหลายปีแล้ว ถนนตอนกลางคืน รับรองว่าเขาบังคับรถม้าได้นิ่งไม่เขย่ามากอย่างแน่นอน”
หลังจากที่ออกเดินทาง เจียงป่าวชิงพบว่าคนบังคับรถม้าคนนี้บังคับรถม้าได้นิ่งมากจริง ๆ แต่เรื่องของความเร็วคือไม่ได้เรื่องเลย รถเคลื่อนไปช้าเหมือนหอยทาก เมื่อนางมองสีท้องฟ้าด้านนอกก็ร้อนใจอยู่บ้าง “น้าจ๊ะ น้าช่วยบังคับรถม้าให้เร็วกว่านี้หน่อยได้ไหมจ๊ะ ?”
คนบังคับรถม้าสะบัดแส้เพื่อเร่งม้า ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “สาวน้อย ฟ้ามืดแล้ว เดินทางบนถนนทางภูเขาตอนกลางคืนจะต้องเน้นมั่นคงมาเป็นอันดับหนึ่งนะ”
เจียงป่าวชิงกัดริมฝีปากล่าง “น้าจ๊ะ ที่บ้านข้ามีเรื่องด่วน ข้าเลยร้อนใจอยากรีบไปให้ถึงไว ๆ น่ะจ้ะ”
คนบังคับรถม้ากระแอมไอเล็กน้อย “อ้อ ดูจากท่าทางร้อนรนของเจ้าแล้ว ที่บ้านคงมีคนป่วยสินะ”
เจียงป่าวชิงส่ายหน้าอย่างงุนงง
คนบังคับรถม้าสะบัดแส้อีกครา “ถ้าอย่างนั้นข้ารู้แล้ว คนที่เจ้าห่วงใยคงเป็นชายในใจของเจ้าล่ะสิ ใช่ไหม ? ได้เลยสาวน้อย เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะพยายามไปให้เร็ว แต่เส้นทางตอนกลางคืนมันไม่สามารถไปเร็วมากได้จริง ๆ”
เจียงป่าวชิงกัดริมฝีปากล่าง นางรู้ว่าคนบังคับรถม้าพูดถูก แต่ในใจของนางอยากจะบินกลับไปอยู่ข้างกงจี้เสียเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
.