ตอนที่รถม้ามาถึงทางเข้าชีหลี่โว พระจันทร์ก็ขึ้นอยู่ตรงกลางท้องนภา
เนื่องจากบ้านของเจียงป่าวชิงเปลี่ยวมาก เส้นทางที่ไปค่อนข้างขรุขระและเดินทางยากไปสักหน่อยทำให้คนบังคับรถม้าไม่ยอมไป นางเองก็ไม่ได้บังคับอะไรเขาจึงลงจากรถม้าแล้วเดินขึ้นเขาด้วยตัวเอง
ทว่ายังเลี้ยวโค้งได้ไม่เท่าไหร่ ก็เห็นแสงเพลิงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากระยะไกล และเมื่อลองมองทิศทางดี ๆ ก็พบว่านั่นเป็นบ้านของนาง
ไฟไหม้บ้าน!
หัวใจของเจียงป่าวชิงกระโดดขึ้นมาถึงคอหอยทันที ตอนกลางคืนที่มีลมพัดมา ทำให้มือและเท้าของนางเย็นเฉียบราวกับคนไร้ลมหายใจ
ฝีเท้าน้อย ๆ ของนางวิ่งไปทางบ้านตัวเองอย่างสุดชีวิต
ยิ่งเข้าใกล้ เจียงป่าวชิงก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ทัน
พี่ชาย… ฟ๋านฟ๋าน…
กงจี้!
เจียงป่าวชิงวิ่งมาถึงปากทางก็พบว่าแทบจะไม่มีอะไรเหลือให้เผาไหม้อีกแล้ว สถานการณ์เพลิงไหม้ดูเหมือนกำลังค่อย ๆ เบาลง
บ้านของนางกับบ้านของกงจี้ใกล้จะถูกไฟเผาไหม้จนกลายเป็นซากปรักหักพังแล้ว
ตอนที่นางกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น ไม่รู้ว่าเจ้าเสี่ยวหวงกับเจ้าเสี่ยวป๋าย สองสุนัขเลี้ยงของนางวิ่งออกมาจากที่ไหน พวกมันมาวิ่งอยู่รอบขากางเกงของนางพร้อมส่งเสียงเห่าอยู่อย่างนั้น เสียงของมันดูเศร้ามากและสภาพพวกมันก็ดูย่ำแย่อยู่บ้าง เหมือนกับว่าด้านหลังของพวกมันทั้งสองตัวจะถูกไฟไหม้เล็กน้อยถึงได้ดำเกรียมเป็นแผ่นแบบนั้น แต่ยังโชคดีที่นอกจากจุดนี้แล้ว บนตัวของพวกมันก็ไม่มีบาดแผลอื่นอีก
หัวใจของเจียงป่าวชิงกระโดดโลดขึ้นมาถึงลำคอ ในหัวของนางก็เต็มไปด้วยความตื่นกลัวและได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นถี่รัวของตัวเอง
‘ไม่… พวกเขาคงไม่เป็นอะไร เจ้าสุนัขทั้งสองตัวยังไม่เป็นอะไรเลย พี่ชายข้ากับเสี่ยวฟ๋านก็ต้องไม่เป็นอะไรเช่นกัน!’
เจียงป่าวชิงพยายามปลอบตัวเองอย่างสุดความสามารถ
ทว่าในขณะนี้ หางตาของนางกลับเหมือนเห็นว่ามีคนบางคนนอนเรี่ยราดอยู่ในลานบ้านของกงจี้ บางคนถูกไฟไหม้แล้วและนอนแน่นิ่ง บนร่างกายกับบนใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ดูเหมือนตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น ทว่าเมื่อเห็นการแต่งกายของศพพวกนี้ บางชุดเป็นชุดเครื่องแบบสำหรับใส่ยามกลางคืน บางชุดดูเหมือนชุดพวกองครักษ์ของกงจี้
เห็นดังนั้น มือและเท้าของเจียงป่าวชิงก็เย็นเฉียบทันที
กงจี้! แล้วกงจี้ล่ะอยู่ไหน ?!
เจียงป่าวชิงเดินโซซัดโซเซไปด้านหน้า นางรู้สึกว่าสองเท้าของตัวเองอ่อนล้าเหลือเกิน
ไม่ได้! กงจี้ต้องไม่เป็นอะไร นางต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าในจำนวนศพเหล่านั้นไม่มีกงจี้
และในตอนนี้เอง เจ้าเสี่ยวหวงกับเจ้าเสี่ยวป๋ายพยายามกัดดึงขากางเกงของเจียงป่าวชิงให้ไปอีกทางอย่างสุดชีวิต ท่าทางของพวกมันทำให้นางใจคอไม่ดีเลย ชั่วอึดใจนั้นการคาดเดาที่บ้าคลั่งผุดขึ้นมาในใจของนางอย่างเลือนราง
นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ เตรียมเดินไปยังทิศทางที่เจ้าสุนัขทั้งสองพยายามดึงไป
ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้หลังเหตุการณ์ไฟไหม้และกลิ่นคาวเลือด
แม้จะมีความเป็นไปได้ในการรอดชีวิตเพียงน้อยนิด ทว่านางก็หวังว่าพวกเขาจะรอด!
เจียงป่าวชิงวิ่งโซซัดโซเซไปยังทางที่เจ้าสุนัขทั้งสองตัวยืนเห่าเรียกอยู่
ยิ่งวิ่งเข้าไปก็เหมือนป่ายิ่งลึกขึ้นเรื่อย ๆ เถาวัลย์ในป่าขูดขีดใบหน้ากับแขนของนางจนเป็นแผลหมดแล้ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ที่เจียงป่าวชิงกัดฟันวิ่งไปข้างหน้า แม้จะสะดุดและหกล้มอย่างแรง แต่นางก็ทำเพียงลุกขึ้นเงียบ ๆ จากนั้นก็บ้วนเลือดกับทรายในปากออกแล้ววิ่งต่อไป
ยิ่งวิ่งไป กลิ่นคาวเลือดในอากาศยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ
เจียงป่าวชิงถึงขั้นสะดุดศพสองสามศพระหว่างทาง นางสัมผัสเลือดที่เหนียวเหนอะหนะในมือตัวเองแต่พยายามไม่สนใจความหวาดกลัว เพราะในความเป็นจริง คนเป็นหมอเขากลัวคนตายที่ไหนกัน ? สิ่งที่นางกลัวไม่ใช่ศพพวกนี้ แต่เป็นคนที่นางเป็นห่วงอยู่ในใจต่างหากล่ะ
เจียงป่าวชิงมองศพพวกนั้นอย่างรีบเร่งโดยอาศัยแสงจันทร์ เมื่อไม่เห็นว่าศพไหนคือสามคนที่นางห่วงใย ความรู้สึกโล่งใจพลันเกิดขึ้นในใจนาง
นางยกมือขึ้นดมกลื่นคาวเลือดที่เปื้อนอยู่บนมือ มันสดใหม่มาก นี่คงเป็นศพที่ถูกทิ้งจากการต่อสู้อย่างดุเดือดเมื่อสักครู่
คงใกล้แล้วล่ะ!
เจียงป่าวชิงตั้งสติ เอื้อมไปหยิบดาบออกมาจากในตัวศพคนผู้หนึ่ง สำหรับสาวน้อยที่อ่อนแอแบบนางแล้ว ดาบอาจจะหนักไปหน่อยจึงต้องถือสองมือ
ในเมื่อเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด นางก็ไม่อยากกลายเป็นภาระของผู้อื่น
เจียงป่าวชิงถือดาบสองมือพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมเดินลึกเข้าไปในป่า เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ เดินไปได้ไม่ไกลก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาราง ๆ ทำให้หัวใจของนางกระโดดขึ้นมาถึงลำคอทันที นางกลั้นหายใจ กระชับดาบในมือให้มั่นคงและย่องเท้าไปยังทางนั้น
เมื่อทะลุเถาวัลย์ที่หนาแน่นไป ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือพื้นที่ว่างเปล่าในป่า แสงจันทร์ส่องสว่างให้เห็นอย่างเลือนรางว่ามีนักฆ่าชุดดำสี่คนกำลังล้อมโจมตีกงจี้กับไป๋จีอยู่
ณ ตอนนี้บนตัวไป๋จีมีบาดแผลจำนวนมาก สภาพของกงจี้ก็ดีกว่าไม่เท่าไหร่ เดิมทีสองขาของเขาก็ยังไม่หายดีอยู่แล้ว จังหวะการก้าวเท้าของเขาในตอนนี้ดูยากลำบากมากกว่าเก่า บาดแผลบนตัวก็มีไม่น้อยไปกว่าไป๋จี และใบหน้าก็เต็มไปด้วยเลือดเช่นกัน
นักฆ่าพวกนี้โหดเหี้ยมมาก พวกเขาพยายามโจมตีสองขาของกงจี้อย่างสุดชีวิต สองขาของกงจี้ที่ยังคงต้องรับการรักษารับภาระหนักไม่ไหวตั้งนานแล้ว เขาต้านอะไรไม่ได้ สุดท้ายถูกนักฆ่าแทงแขนด้วยดาบ
กงจี้กัดฟัน เขาไม่สนใจบาดแผลบนแขนตัวเองที่มีเลือดแดงสดทะลักออกมา แต่เลือกที่จะพลิกมือไปตัดหัวนักฆ่าด้วยดาบอย่างชำนาญ
ไป๋จีเห็นดังนั้นก็ร้อนใจทันที เขาพยายามถีบนักฆ่าสุดแรง แต่ในขณะนั้นเขากลับถูกนักฆ่าอีกคนแทงด้วยดาบจนทะลุท้องน้อย
ไป๋จีบ้วนเลือดออกมา ปากก็เรียกนายท่านของตัวเองอย่างหนักใจ
“นายท่าน” สิ้นเสียงเรียกที่ถูกเปล่งออกมาด้วยลมหายใจอันอ่อนเบา ร่างเขาเอียงล้มลงทันที
กงจี้ระเบิดอารมณ์ทันที เขาแกว่งดาบแทงเข้าที่หน้าอกของนักฆ่า แต่ตอนที่เขาชักดาบออกมากลับถูกนักฆ่าอีกคนแทงดาบเข้าที่ไหล่ด้านหลังจนทำให้ล้มลงบนพื้นอย่างโซซัดโซเซ
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้แสงไฟฟ้ากับหินเหล็กไฟ ทว่าเจียงป่าวชิงยังไม่ตอบสนองอะไร นางจำเป็นต้องรอบคอบที่สุด ตอนนี้นางต้องตั้งสติและหาจังหวะ จึงพยายามมองสังเกตนักฆ่าสองคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าแห่งนี้
ชั่วอึดใจที่นักฆ่าชักดาบออกมาจากบนไหล่ของกงจี้ เลือดก็แทบจะทะลักออกมาเป็นสายน้ำ
“ฮ่า ๆ ๆ คุณชายกง คิดไม่ถึงล่ะสิ ?” นักฆ่าคนนั้นส่งเสียงหัวเราะแสบหูออกมา เขาค่อย ๆ ทาบดาบลงไปบนลำคอของกงจี้ ในขณะเดียวกันก็เตะดาบของกงจี้ที่ตกอยู่บนพื้นให้ห่างออกไปไกล
กงจี้ออกแรงใช้มือค้ำตัวเองให้นั่ง เพื่อไม่ให้ตัวเองดูจนตรอกจนน่าสมเพชแม้ว่าเลือดที่ไหลออกมาใกล้จะเปื้อนไปทั่วตัวเขาแล้วก็ตาม
“เจ้าพูดจาไร้สาระให้น้อยลงหน่อย” กงจี้แค่นเสียงเย็นชา
“คุณชายกง สมแล้วที่เป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงจริง ๆ ได้ยินว่าขาใช้การไม่ได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่ข้าดูแล้วยังเห็นว่าเจ้าหยิ่งในศักดิ์ศรีอยู่เลยหนิ”
นักฆ่าที่ถือดาบพูดเหน็บแนม “เจ้ามันร้ายนัก หลายปีมานี้การตามหาเจ้าทำให้พวกข้าสิ้นเปลืองเวลาไปมากเหลือเกิน”
กงจี้หายใจหอบเล็กน้อย แต่มุมปากของเขากลับยกยิ้มเยาะหยันซะอย่างนั้น “เจ้าเป็นคนของน้องสองหรือน้องสาม ?”
นักฆ่าที่ถือดาบหัวเราะเยาะ “หึ ๆ คุณชายกงฉลาดนักมิใช่รึ ? เจ้าคงเดาได้ตั้งนานแล้วแล้วจะถามทำไมอีก ?” นักฆ่าหันหน้าไปพูดสั่งนักฆ่าอีกคน “ไป! เจ้าไปซ้ำเติมไอ้หมารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของคุณชายกงให้ตายซะ”
นักฆ่าอีกคนพยักหน้ารับ เขาย่างสามขุมและในมือถือดาบไปยังไป๋จีที่หมดสติโดยไม่รู้ความเป็นความตายอยู่บนพื้น ดูเหมือนเขาต้องการจะฆ่าไป๋จีให้ตายไปตรงนั้น
นักฆ่าที่ถือดาบหันกลับมามองกงจี้อีกครั้ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว “คุณชายกง ถ้าหากว่าเจ้าคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนข้า ไม่แน่ข้าอาจไว้ชีวิตหมารับใช้ของเจ้าก็ได้”
กงจี้หัวเราะ เขาหลับตาลง ปากก็พูดอย่างไม่แยแส “คนโง่อย่างเจ้าพูดอะไรโง่เขลาแล้วยังหวังให้คนอื่นโง่เหมือนเจ้าอีกรึ ?”
นักฆ่าที่ถือดาบส่งเสียงจุ๊ปาก “จุ๊ ๆ ๆ เห็นทีว่าเจ้าไม่สนใจชีวิตของไอ้หมารับใช้ไป๋จีเลยสักนิดเดียว น่าผิดหวังแทนมันจริง ๆ” แต่เขายังพูดไม่ทันจบ กลับได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้นเสียก่อน นักฆ่าที่ถือดาบรีบหันไปมองด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว แต่กงจี้เบิกตากว้างขึ้นทันที ปากมีดสั้นของเขาพลันไถลลงมาในมือและเขาปามีดตรงไปที่หน้าอกของนักฆ่าทันที
คร่าชีวิตในคราเดียว!
นักฆ่าถือดาบไม่เข้าใจจนกระทั่งเขาตาย
คนชั่วตายเพราะพูดมากเกินไป…