ตอนที่เจียงป่าวชิงได้พบเจียงหยุนชานที่วัดทรุดโทรมบนภูเขา เวลาก็ล่วงเลยกลางดึกไปมากแล้ว
องครักษ์สองคนยืนนิ่งทำหน้าขรึมเหมือนรูปปั้นสองรูปที่เฝ้าอยู่ในวัดทรุดโทรม เจียงหยุนชานนั่งอุ้มฟ๋านฟ๋านอยู่บนกองฟางข้าว ข้าง ๆ เขาคือฝูฉูที่กำลังขดตัวโดยมีเสื้อคลุมของเจียงหยุนชานพาดไว้บนไหล่
เดิมทีองครักษ์ทั้งสองคนเห็นแสงสว่าง พวกเขาก็ชักดาบออกมาอย่างตื่นตัว ทว่าเมื่อเห็นว่าคนมาใหม่คือเจียงป่าวชิงที่ในมือถือคบไฟก้าวเดินมาทางพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจเพราะรู้จักนาง รอจนนางเดินมาใกล้ องครักษ์คนหนึ่งก็เอ่ยถามขึ้น “แม่นางเจียง นายท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นส่ายหน้าและพูดไปตามความจริงว่า “มีคนตายหลายคน คุณชายกงได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เขายังรอด”
กระดูกสันหลังที่แน่นตึงขององครักษ์ทั้งสองคนผ่อนคลายลงทันที พวกเขาไม่ได้พูดอะไรแต่สีหน้ากลับมีความโศกเศร้าปรากฏให้เห็นชัดเจน
สวรรค์รู้ว่าพวกเขาผ่านเวลาที่ต้องรอคอยข่าวคราวเหล่านี้มาได้อย่างไร
พวกเขาไม่กลัวตาย แต่นายท่านสั่งให้ปกป้องคุณชายเจียงกับเสี่ยวฟ๋านฟ๋านให้ดีที่สุด พวกเขาต้องเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข
“มีคนตายเยอะ…” คืนนี้ไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมงานที่เคยร่วมงานกันคนใดบ้าง ที่ต้องสังเวยชีวิต ณ ภูเขารกร้างแห่งนี้
“ป่าวชิง เจ้ามาได้ยังไง ?” ทันทีที่เจียงหยุนชานเห็นน้องสาว เขาก็ตกใจ แต่เมื่อเขาเห็นสภาพเปื้อนเลือดทั้งตัวของนาง ก็ยิ่งตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง
เจียงป่าวชิงจึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “พี่ ข้าไม่เป็นไร เลือดเปื้อน ๆ พวกนี้ไม่ใช่เลือดของข้าเลย… ทางฝั่งคุณชายกงเขาไม่เป็นอะไรแล้ว เขาบอกข้าว่าพี่อยู่ที่นี่”
เจียงหยุนชานหน้าซีดลง
ย้อนไปตอนหัวค่ำ จู่ ๆ ฝูฉูมาเคาะประตูแล้วรีบบอกอย่างร้อนใจว่าให้เขาไปหลบที่วัดทรุดโทรมบนภูเขากับนาง นางบอกว่าคู่อริของคุณชายกงมาแก้แค้น กลัวว่าพวกเขาจะถูกเกี่ยวพันไปด้วย
เจียงหยุนชานไม่กล้าเอาความโกรธของตัวเองมาลงกับเสี่ยวฟ๋านฟ๋าน จึงรีบห่อร่างเจ้าฟ๋านฟ๋านตัวน้อยด้วยผ้าอ้อมแล้วรีบเร่งไปหลบที่วัดทรุดโทรมกับฝูฉูรวมทั้งองครักษ์อีกสองคน
เวลาสองชั่วยามที่ผ่านมา เจียงหยุนชานมัวแต่พะว้าพะวงเป็นห่วงเจียงป่าวชิง ตอนนี้เขาเห็นนางปลอดภัยดี หัวใจเขาก็กลับมาเต้นปกติเสียทีและพูดขึ้นอย่างโล่งใจ “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว เราก็กลับบ้านกันเถอะ”
เมื่อเจียงป่าวชิงได้ยินคำว่า ‘กลับบ้าน’ นางก็อดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้มออกมาให้พี่ชาย
กลับไปรึ ?
กลับไปที่ไหน ?
บ้านของพวกเขาถูกไฟไหม้จนไม่เหลือซากอะไรแม้เพียงนิด
ในตอนนี้เอง ฝูฉูเดินเข้ามาถามเจียงป่าวชิงอย่างร้อนรน “แม่นางเจียง เมื่อสักครู่เจ้าบอกว่าคุณชายได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาเป็นยังไงบ้าง ?”
เจียงป่าวชิงมองฝูฉูพลางตอบ “ไม่ตายหรอก”
ฝูฉูรับรู้ได้อย่างว่องไวว่าท่าทีของเจียงป่าวชิงมีความผิดปกติ นางพยายามอดกลั้นความโกรธไว้ในใจแล้วเอ่ยถาม “แม่นางเจียง คุณชายของข้าทำอะไรให้เจ้า เจ้าถึงได้พูดแบบนี้ ?”
เจียงป่าวชิงหรี่ตาลงเล็กน้อย “ทำไมความรู้สึกด้านลบของพี่ถึงได้มีต่อข้าขนาดนี้ ? ทำไมพี่ต้องรีบถามเชิงหาเรื่องด้วย”
ฝูฉูตกตะลึง แม้ว่าความเย็นชาที่เกิดขึ้นระหว่างพวกนางจะเป็นเพราะเรื่องของเจียงหยุนชาน แต่อย่างมากเจียงป่าวชิงก็แค่แสดงสีหน้าที่ไม่ดีใส่ นางไม่เคยพูดตรง ๆ ใส่แบบนี้นี่นา
ทำไมครั้งนี้ถึงได้…
เจียงป่าวชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์ของตัวเองพลางก้มหน้ายิ้ม “เอาเถอะ ข้าแค่หยอกเล่น พี่ฝูฉูอย่าได้ถือสาเลยนะ คุณชายของพี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ถ้าไม่มีอาการหนักแทรกซ้อนหรือมีอุบัติเหตุอะไรเกิดกับเขาเพิ่ม เขาจะไม่ตายอย่างแน่นอน”
ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าฝูฉูเป็นหนอนบ่อนไส้หรือไม่ นางไม่ควรระบายอารมณ์กับคนอื่น
ฝูฉูฝืนยิ้ม “แม่นางเจียงนี่ช่างไม่เลือกเวลาล้อเล่นเลยจริง ๆ ท่านชายดีกับแม่นางเจียงมาก ถ้าหากว่าเขารู้ว่าแม่นางเจียงล้อเขาเล่นแบบนี้ เขาจะต้องเสียใจแน่ ๆ”
เจียงป่าวชิงยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “ที่นี่มีแค่พี่ ข้า พี่ชายข้าและองครักษ์อีกสองคน ถ้าพี่ไม่พูด องครักษ์ทั้งสองคนไม่พูด คุณชายกงจะรู้ได้ยังไงล่ะ ?” พูดเสร็จ นางจ้องฝูฉูนิ่ง ๆ ก่อนจะพูดเสริมอีกว่า “นอกเสียจากจะมีคนบอกความลับที่ไม่ควรบอกให้คนอื่นรับรู้…”
ฝูฉูค่อนข้างไม่เข้าใจ แต่สายตาของเจียงป่าวชิงที่จ้องตรงมายังนางน่ากลัวมากจริง ๆ จนตัวนางสั่นในฉับพลัน
เจียงป่าวชิงเก็บสายตากลับมาและไม่สนใจฝูฉูอีก นางเดินไปข้างเจียงหยุนชานแล้วมองดูฟ๋านฟ๋านตัวน้อยอย่างระมัดระวัง
เสี่ยวฟ๋านฟ๋านเป็นทารกที่ว่านอนสอนง่าย แม้จะมีความทุกข์ยากมากมายเกิดขึ้น และต้องเผชิญกับความยากลำบากที่ใครหลายคนยากจะจินตนาการได้ แต่นางไม่ร้องไห้ ยังคงมีชีวิตได้อย่างมีความสุขไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ
เจียงป่าวชิงทั้งห่วงใยนาง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉานาง
……
ท้ายที่สุด เป็นกงจี้ที่ส่งรถม้ามารับพวกเจียงป่าวชิงไปที่บ้านหลังเล็กในอำเภอฉือเจีย บ้านเล็กหลังนี้คล้ายกับบ้านหลังเล็กที่อยู่ในซอยเล็ก ๆ ของจังหวัดหยูเฟิง
เจียงป่าวชิงไม่สนใจถามอะไร นางล้างหน้าล้างตาอย่างลวก ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนหลับแทบจะในทันทีที่ศีรษะถึงหมอนนุ่ม ๆ
หลังจากตื่นขึ้นมา เจียงป่าวชิงก็รู้สึกถึงความอ่อนนุ่มแปลกพิกลใต้ร่างกายของนาง จิตสำนึกของนางไม่กลับมาชั่วขณะหนึ่ง จึงยากที่จะแยกแยะช่วงเวลาได้ และไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเช่นกัน
ผ่านไปสักครู่ เจียงป่าวชิงถึงจะนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนกลางดึกคืนที่ผ่านมา นั่นทำให้นางผุดลุกขึ้นนั่งทันที สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นว่ามีเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เรียบง่ายและสง่างามวางไว้อยู่ข้างหมอน เหมือนจัดเตรียมให้นางอย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงกางกระโปรงออกนำมาทาบเทียบบนตัวก็พบว่ามันถูกจัดเตรียมไว้ให้นางจริง ๆ ด้วย ขนาดก็พอดีตัวเกือบทั้งหมด
เจียงป่าวชิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ผลักประตูออกไป นางเห็นป้าแม่บ้านคนหนึ่งกำลังกวาดพื้นอยู่ในลานบ้าน
เมื่อป้าแม่บ้านคนนั้นเห็นว่าเจียงป่าวชิงตื่นแล้ว นางก็พูดขึ้นอย่างดีใจ “แม่หนูเจียงตื่นแล้วหรือจ๊ะ ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าก่อนจะพูดอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “เอ่อ เจ้าของบ้านหลังนี้อยู่ไหนหรือเจ้าคะ…?”
ป้าแม่บ้านยิ้มอย่างเบิกบาน “แม่หนูหมายถึงคุณชายช่างหรือเปล่าจ๊ะ ? คุณชายช่างสั่งไว้ว่าถ้าแม่หนูตื่นแล้วและต้องการพบเขา ให้ป้าพาแม่หนูไปหาเขาจ้ะ”
‘คุณชายช่าง คงจะหมายถึง ช่างฉีกวาง ชื่อปลอมที่กงจี้ใช้สินะ’ เจียงป่าวชิงครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าและเดินตามป้าแม่บ้านไปยังบ้านข้าง ๆ
บ้านข้าง ๆ เล็กกว่าบ้านของกงจี้เล็กน้อย ฝูฉูยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน เมื่อนางเห็นองครักษ์คนหนึ่งถือยาเตรียมจะเข้าไปข้างใน นางก็รีบเข้าไปหมายจะถือยาเข้าไปข้างในด้วยตัวเอง
แต่องครักษ์กลับปัดมือของฝูฉูออก “แม่นางฝูฉู ข้านำเข้าไปให้เองดีกว่า” เขาปฏิเสธนางอย่างห่างเหินทว่าเกรงใจ
ฝูฉูตัวแข็งทื่อทันที ได้แต่ยืนหงอยเหงาอยู่ที่ระเบียงทางเดินต่อไป
หลังจากที่เจียงป่าวชิงเข้ามา จังหวะที่ฝูฉูเผชิญหน้ากับเจียงป่าวชิง รอยยิ้มฝืน ๆ พลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนาง
เจียงป่าวชิงพยักหน้าให้นาง
ฝูฉูชะงักไป แต่จากนั้นก็พูดขึ้น “เพิ่งตื่นแท้ ๆ แม่นางเจียงก็ยังอุตส่าห์รีบมาเยี่ยมท่านชายเลย ถ้าท่านชายรู้ถึงน้ำใจนี้ เขาต้องดีใจมากแน่ ๆ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างเกรงใจ ส่วนฝูฉูรู้สึกเก้อเขินจนไม่รู้จะพูดอะไรดี
เจียงป่าวชิงไม่สนใจนางอีก จึงเข้าไปในห้องโดยตรง
องครักษ์ที่ห้ามไม่ให้ฝูฉูเข้าห้องเพราะเกรงว่าจะรบกวนการทำความสะอาดของกงจี้เมื่อสักครู่ทำเหมือนไม่เห็นเจียงป่าวชิงอย่างไรอย่างนั้น เขาปล่อยให้นางเข้าไปในห้องได้ตามสบาย
ฝูฉูเห็นดังนั้น แก้มของนางพลันปรากฏสีขาวซีดให้เห็นเล็กน้อย
……
ตอนที่เจียงป่าวชิงเข้าไป กงจี้กำลังเอนหมอนอิงและกินยาอยู่
เจียงป่าวชิงรอให้เขากินยาเสร็จถึงจะพูดขึ้น “ยื่นแขนมาสิ”
หมอที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ กงจี้เหงื่อตกทันที แม่นางคนนี้มาจากไหน หน้าตาดูน่ารักดีมากแต่ทำไมถึงได้กล้าหาญขนาดนี้ ? นายท่านของพวกเขาทั้งอารมณ์ร้ายทั้งโหดร้าย เขาคุ้มดีคุ้มร้ายมาสักพักแล้ว แต่นางกล้าพูดกับนายท่านของพวกเขาเช่นนี้
ไม่กลัวถูกตีด้วยไม้กระดานรึ ?
แต่สิ่งที่ทำให้หมอคนนี้ยิ่งตกตะลึงตาค้างก็คือ…นายท่านที่คุ้มดีคุ้มร้ายของพวกเขาชำเลืองมองแม่นางที่กล้าหาญคนนี้นิ่ง ๆ และทำเพียงยื่นแขนออกมาอย่างเป็นธรรมชาติซะอย่างนั้น