เพราะที่บ้านหลังเดิมยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย เจียงป่าวชิงจึงนั่งรถม้าของกงจี้กลับไปที่ชีหลี่โวในวันนั้น
เหตุไฟไหม้เมื่อคืนทำให้บ้านสองหลังกลายเป็นซากปรักหักพังไม่น่ามอง ทว่าเอาเข้าจริงคือแทบมองไม่เห็นอะไรหลงเหลืออยู่เลย
ชาวบ้านสองสามคนยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ใกล้ ๆ พวกเขาชี้ชวนกันดูบ้านสองหลังที่บัดนี้เหลือแต่ซากและไม่รู้ว่ากำลังกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่
ชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุก ๆ สามคนนั้นมองดูรถม้าคันที่เพิ่งเคลื่อนเข้ามาด้วยความสงสัยใคร่รู้
หนึ่งคือเส้นทางเล็ก ๆ ในป่าค่อนข้างขรุขระทำให้รถโคลงเคลงมาก รถล่อหรือแม้แต่รถลาที่เบากว่าก็ยังไม่ค่อยเข้ามาในภูเขาลึกแห่งนี้เลย ด้วยเพราะเกรงว่ามันจะโคลงเคลงจนทำให้ทั้งรถทั้งสัตว์เสียศูนย์และเกิดอุบัติเหตุได้
สองคือในหมู่บ้านละแวกนี้ มีบ้านใครที่มีทรัพย์สินพอให้เลี้ยงม้าไหวซะที่ไหนกันล่ะ เมื่อพวกเขาเห็นรถม้าเคลื่อนเข้ามา ก็มักจะล้อมชมกันราวกับว่านั่นเป็นของหายากที่ต้องรีบแย่งกันเข้าไปดู
ตอนที่พวกเขาเห็นเจียงป่าวชิงเลิกม่านและลงจากรถม้า ลูกตาของพวกเขาก็แทบถลนหล่นลงไปบนพื้นอยู่แล้ว
ตอนกลางดึกคืนวานนี้มีคนเห็นว่าบ้านของเจียงป่าวชิงถูกไฟไหม้ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นบริเวณที่ไม่ค่อยมีผู้คนเหยียบย่างเข้าไปถึง พวกเขาก็ไม่เก็บมาใส่ใจ จนมาดูตอนเช้าของวันนี้ถึงพบว่าบ้านของเจียงป่าวชิงกับบ้านที่เล่ากันว่ามีคุณชายผู้ร่ำรวยพักอาศัยอยู่ถูกไฟไหม้จริง ๆ มันไหม้หนักมากจนกลายเป็นขี้เถ้าไปหมด
ใคร ๆ ต่างคิดว่าเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานตายอยู่ในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ไปแล้ว ซึ่งถ้าหากว่าคำพูดนี้ถูกพูดต่อ ๆ กันออกไปก็เกรงว่าจะไม่น่าฟังสักเท่าไหร่
มีคนบอกว่าเจียงป่าวชิงคงดวงแข็งจริง ๆ นางเล่นงานแม่ของตัวเองจนตายก่อน ตามด้วยพ่อของนาง แล้วถึงจะเล่นงานตัวเองจนเป็นบ้า ต่อมาก็เล่นงานพี่ชายของนางจนไร้อนาคต ไม่หมดเพียงเท่านั้น พวกเขายังได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้นางยังเล่นงานสะพานซะจนขาด เล่ากันว่าตอนนั้นมีคนตายเป็นจำนวนมาก ทั้งหมดต่างเป็นเพราะถูกความซวยของเจียงป่าวชิงเล่นงานยังไงล่ะ
ท้ายที่สุด บ้านตัวเองนางก็ยังเล่นงานจนได้ ถ้าไม่ใช่เพราะนาง จู่ ๆ บ้านนางกับบ้านคุณชายผู้ร่ำรวยข้าง ๆ จะไฟไหม้อย่างกะทันหันได้อย่างไร นางไม่เพียงแต่เล่นงานครอบครัวตัวเองจนตาย แต่ยังทำให้คุณชายที่มาจากตระกูลร่ำรวยต้องมาพัวพันความซวยไปด้วย ถึงตอนนั้นไม่แน่คนที่บ้านเขาอาจจะมาสร้างปัญหาอะไรก็ได้
ข่าวลือแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเสมอ ตอนนี้เพิ่งผ่านไปครึ่งวันก็แทบจะมีคนรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว
ตอนที่เจียงป่าวชิงลงมาจากรถม้า ข่าวลือนี้ก็ยืนไม่นิ่งนิดหน่อยแล้ว ผู้คนที่เชื่ออย่างลึกซึ้งว่าเจียงป่าวชิง ‘เล่นงานญาติทั้งหก’ ต่างสีหน้าเหยเกกันไปเล็กน้อย
“เฮ้ นี่ป่าวชิงตระกูลเจียงไม่ใช่รึ ?” ใครคนหนึ่งเข้ามาชวนคุย “บ้านเจ้าถูกไฟไหม้แต่ไม่เห็นเจ้าจะเป็นอะไรหนิ พวกข้าต่างเป็นห่วงเจ้านะ!”
คำพูดนี้ ตกลงว่าอยากให้เจียงป่าวชิงเป็นอะไรหรือกำลังเป็นห่วงเจียงป่าวชิงจริง ๆ กันแน่ ?
เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างเกรงใจ “อาจเป็นเพราะบุญกุศลที่เราสองพี่น้องทำความดีสะสมมาหลายปี เมื่อวานตอนที่ไฟป่าลามมาถึงบ้านของข้า ข้ากับพี่ชายพาทารกน้อยฟ๋านฟ๋านออกไปเล่นข้างนอกพอดี จึงทำให้หลบอัคคีภัยนี้ได้”
เจียงป่าวชิงไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนในหมู่บ้านจะพูดถึงนางแบบไหน ไม่มีอะไรนอกเสียจากบอกว่านางดวงแข็งจนเล่นงานฟ้าดินอะไรทำนองนั้น
จริง ๆ เลย! ในฐานะผู้ไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสวรรค์อย่างแน่วแน่ แม้เจียงป่าวชิงจะมีประสบการณ์ที่วิญญาณไปอาศัยอยู่ในอีกร่างหนึ่ง แต่ ‘เธอ’ ก็ไม่เชื่อเรื่องดวงแข็งที่สามารถเล่นงานคนอื่นได้อะไรทำนองนั้น
ชาวบ้านที่ถามเจียงป่าวชิงยิ้มด้วยใบหน้ากึ่ง ๆ เหยเก เขาพยักหน้าหงึกหงักแล้วหลบไปอยู่ด้านข้างทันที
พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรกับเจียงป่าวชิงมากนัก ด้วยเพราะกลัวว่าถ้าหากเคราะห์ร้ายพาลมาแปดเปื้อนตัวพวกเขาด้วย นั่นก็เท่ากับว่าซวยน่ะสิ
เจียงป่าวชิงเองก็ไม่สนใจพวกเขาเช่นกัน นางเดินไปตรงหน้าบ้านก่อนจะเดินอ้อมไปดู
น่าทึ่งที่คนของกงจี้จัดการได้อย่างสะอาดหมดจดและว่องไวมาก ศพหลายศพนอนเรี่ยราดอยู่บนพื้นเมื่อคืนหายไปหมดแล้ว นอกจากนี้ แม้แต่คราบเลือดบนพื้นก็มองไม่เห็นแล้วเช่นกันราวกับว่ามันไม่เคยเปื้อนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกเลย
นี่มัน… ราวกับว่าเมื่อคืนมีเพียงเหตุการณ์ไฟไหม้เกิดขึ้นที่นี่จริง ๆ แต่ไม่ได้มีสงครามที่มีคนตายมากมายอะไรเช่นนั้น
เจียงป่าวชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ดมเอากลิ่นขี้เถ้าจาง ๆ ที่เหลือค้างอยู่ในอากาศเข้าไป ทว่าแน่นอน มันทำให้สำลักจนรู้สึกไม่สบายตัว
น่าเศร้าที่สิ่งของในบ้านถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว สวนผักที่นางปลูกด้วยความยากลำบากในบ้านก็ไม่มีเหลือแล้วเช่นกัน และไหนจะชั้นวางองุ่นที่นางเพิ่งประกอบเพื่อหวังให้ปีหน้าเต็มไปด้วยเถาวัลย์องุ่นก็คว้าน้ำเหลวไปอีก
แย่จริง ๆ!
เจียงป่าวชิงมองดูเศษซากตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างละเหี่ย
“เจียงป่าวชิง ข้าเคยบอกไว้ตั้งนานแล้วว่าเจ้ามันเป็นไอ้ตัวซวย!”
ทันใดนั้นเอง เสียงแหลมคมผสมไปด้วยการเหน็บแนมดังขึ้น เจียงเอ้อยากับเฉียนเซียงเซียงวิ่งมาจากถนนเส้นเล็ก ๆ เจียงเอ้อยายังไม่ลืมเหน็บแนมเจียงป่าวชิงอีกสักเล็กน้อย “เหอะ! คนอย่างเจ้าควรถูกเอาหินมามัดแล้วถ่วงแม่น้ำคราดให้รู้แล้วรู้รอด เรื่องวุ่น ๆ จะได้สิ้นสุดไปด้วย เจ้าจะได้ไม่มาทำลายคนอื่นอีก!”
เฉียนเซียงเซียงสงวนท่าทีมากกว่าเจียงเอ้อยา นางมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย แต่ความดีใจบนความโชคร้ายของคนอื่นที่แฝงอยู่ในนัยน์ตาของนางกลับปกปิดไว้ไม่มิดเลย
“เจียงป่าวชิง เจ้าประสบเคราะห์ร้ายแบบนี้ บ้านเจ้าก็ถูกไฟไหม้จนราบไม่เหลือซากแล้ว คราวนี้เจ้าจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ?”
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้ว “ถามทำไมล่ะ ? เจ้าจะช่วยออกเงินสร้างบ้านให้ข้ารึ ?”
เฉียนเซียงเซียงตกตะลึงไปทันที นางรีบพูดปฏิเสธอย่างเคือง ๆ “เจ้าคิดบ้าอะไรของเจ้า ไม่มีทาง!”
เจียงป่าวชิงแค่นเสียงพูดออกมาอย่างสุขุมเยือกเย็น “งั้นเจ้าจะถามทำไม ? ถามแล้วมันมีประโยชน์อะไร ?”
เฉียนเซียงเซียงถูกเจียงป่าวชิงต้อนจนจนมุม พูดไม่ออกเลยทีเดียว
เมื่อเจียงเอ้อยามองท่าทางของเฉียนเซียงเซียงนางก็รู้สึกร้อนใจระคนโมโหทันที เฉียนเซียงเซียงลืมแล้วหรือไงว่าพวกนางปรึกษาอะไรกันมาเมื่อตอนที่อยู่ที่บ้าน
วันนี้เจียงเหลียนฮัวพาเฉียนเซียงเซียงมาเยี่ยมบ้านท่านแม่ที่ชีหลี่โวพอดี แต่เฉียนเซียงเซียงได้ยินข่าวคราวว่าบ้านของเจียงป่าวชิงกับบ้านของคุณชายจากตระกูลร่ำรวยที่อยู่ติดกับบ้านเจียงป่าวชิงถูกไฟไหม้เละไม่เป็นท่า ทำให้เจียงเอ้อยารู้สึกร้อนใจมากอยากรีบมาดูให้เห็นกับตาถึงที่
ครั้งนี้ที่เฉียนเซียงเซียงตามแม่ของนางมายังชีหลี่โวด้วยก็เพราะนางจะมาดูว่าตัวเองสามารถหาโอกาสเอาตัวไปใกล้ชิดกับคุณชายจากตระกูลร่ำรวยได้อีกหรือเปล่า ตั้งแต่เห็นเขาเมื่อครั้งที่แล้ว เฉียนเซียงเซียงก็เกือบป่วยด้วยโรครักคลั่งไคล้ นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ มัวแต่มัวเมาหลงชายหนุ่ม
เดิมทีแก้มที่อิ่มเอิบก็ซูบลงอย่างรวดเร็ว ทำให้พ่อแม่ของนางสงสารนางมาก พวกเขาคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาบีบบังคับและเข้มงวดเรื่องให้เฉียนเซียงเซียงแต่งงานมากเกินไปจนทำให้ลูกป่วยแบบนั้น และได้แต่ทุกข์ใจจากความละอายใจอย่างยิ่ง
เจียงเอ้อยาเห็นว่าในคำพูดของเฉียนเซียงเซียงแฝงความนัยคือพยายามคิดหาวิธีถามถึงข่าวคราวของคุณชายจากตระกูลร่ำรวยคนนั้น นางเป็นคนเล่ห์เหลี่ยมเยอะจึงเดาความคิดของเฉียนเซียงเซียงได้อย่างรวดเร็ว
และบังเอิญว่าเจียงเอ้อยาก็คิดถึงคุณชายจากตระกูลร่ำรวยคนนั้นอยู่ในใจเสมอเช่นกัน ตอนนี้นางกับเฉียนเซียงเซียงแทบเห็นพ้องต้องกัน ทั้งสองคนปรึกษากันว่าในเมื่อบ้านของคุณชายคนนั้นถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้น ลองมาดูก่อนก็ไม่เสียหายว่าจะสามารถเชิญคุณชายให้มาพักอยู่ที่บ้านของพวกเขาชั่วคราวได้หรือไม่
ทั้งสองคนคิดจะอาศัยความใกล้ตัวเพื่อจะได้รับประโยชน์ก่อนผู้อื่น
ส่วนเรื่องที่ทั้งสองจะแบ่งคุณชายจากตระกูลร่ำรวยคนนั้นกันอย่างไร นั่นไม่เป็นปัญหาเลย คุณชายจากตระกูลร่ำรวยต่างก็มีเมียเยอะกันทั้งนั้นไม่ใช่รึ ? เขาร่ำรวยแบบนี้ พวกนางทั้งสองยอมเป็นเมียเขาอยู่แล้ว
ทั้งสองคนปรึกษากันดีมากเมื่อตอนที่อยู่ที่บ้าน แต่มาตอนนี้เมื่อเฉียนเซียงเซียงเจอกับเจียงป่าวชิง นางกลับถูกด่าจนพูดไม่คล่องไปแล้ว
เจียงเอ้อยาร้อนรนจึงดึงเฉียนเซียงเซียงมายืนข้างตัวก่อนจะเอ่ยปากถามเจียงป่าวชิงโดยตรง “ป่าวชิง แล้วคุณชายคนนั้นล่ะ ?” นางเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่รถม้า พลันความอิจฉาและความโลภปรากฏขึ้นมาในดวงตาของนาง “บ๊ะ! หน้าไม่อายแท้ ๆ! เจ้าเล่นงานจนบ้านของเขาถูกไฟไหม้ขนาดนี้ ยังมีหน้ามานั่งรถม้าของเขาอีกรึ ?!”
สองคนนี้มาแล้วก็มาทำราวกับระดมกำลังเล่นงานเจียงป่าวชิงอย่างไรอย่างนั้น
‘นังเจียงเอ้อย้าบ้า! มีสิทธิ์อะไรมาถามข้าแบบนี้ห๊ะ ?’ เจียงป่าวชิงคิดอย่างหมั่นไส้แต่ก็แค่เพียงส่งเสียงหัวเราะและทำทีเป็นไม่สนใจเจียงเอ้อยา นางผลักประตูที่เหลือแค่โครงออก จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในบ้านที่บนพื้นเต็มไปด้วยขี้เถ้าสีดำ
นางจำได้ว่าตัวเองฝังเหล้าไว้ใต้บ้าน ซึ่งไม่ใช่เหล้าชั้นดีอะไร วันนั้นจู่ ๆ นางก็นึกสนุกจึงซื้อเหล้ากลับมาจากในอำเภอแล้วนำไปฝังใต้ชั้นวางองุ่นที่อยู่ในลานบ้าน คิดไว้ว่าปีหน้าเมื่อองุ่นเลื้อยเต็มชั้นวาง นางจะขุดเหล้าออกมาแล้วนางกับพี่หยุนชานก็จะดื่มเหล้าด้วยกันใต้แสงจันทร์ตามประสาพี่น้อง มันน่าจะให้ความรู้สึกชื่นอกชื่นใจมากทีเดียว
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นความหวังที่สูญสลายหายไปกับเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้
เจียงป่าวชิงถอนหายใจพลางขุดเอาเหล้าออกมา ทว่าตอนที่นางกำลังถือเหล้าออกจากบ้านก็เห็นเจียงเหล่าหวู่วิ่งมาทางนางด้วยท่าทีเหนื่อยหอบเสียก่อน เขาจับเอวและหอบหายใจอย่างไม่สม่ำเสมอ
ยังไม่ทันได้พูดอะไร เจียงเหล่าหวู่ก็เห็นเจียงป่าวชิงยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของบ้านในสภาพร่างกายที่ยังสะอาดดูดีอยู่ เห็นดังนั้น ใบหน้าเขาก็ผ่อนคลายลงพร้อมเกิดความรู้สึกโล่งใจขึ้นในใจ