อันที่จริง ร่างกายของเจียงป่าวชิงค่อนข้างอ่อนแอ ร่างกายนางมักไวต่อความเจ็บปวดและรสขม ๆ ถ้าหากว่าได้รับบาดเจ็บในยามปกติ ความเป็นจริงคือนางเจ็บมาก แต่เจียงป่าวชิงเป็นคนนิสัยดื้อรั้น ต่อให้นางเจ็บจนหน้าซีดเหงื่อไหลก็ไม่ชอบแสดงออกมาให้ใครเห็น และหากว่าดื่มหรือกินยา นั่นถือเป็นอะไรที่น่าสังเวชที่สุดสำหรับนาง
เจียงป่าวชิงล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าลิ้นของตัวเองน่าจะเป็นเครื่องขยายรสขมกระมัง ?
เมื่อเห็นไป๋จีได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสตรงบริเวณท้อง ทว่าสีหน้าเขายังปกติดี เพียงแค่หน้าซีดไปสักหน่อยจากการเสียเลือดมาก ส่วนอย่างอื่นแทบไม่เห็นถึงสิ่งผิดปกติใด ๆ ประกอบกับที่เขาดื่มยาอย่างตรงไปตรงมา นางจึงสงสัยว่าไป๋จีปิดกั้นระบบประสาทของตัวเองหรือเปล่า
ไป๋จีเห็นเจียงป่าวชิง ใบหน้าซีดเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นจาง ๆ “แม่นางเจียง ข้าได้ฟังคนอื่นเล่าแล้ว เจ้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าแทงนักฆ่าคนนั้นตาย เกรงว่าข้าคงถูกเขาซ้ำเติมจนตายเสียแล้ว แต่ตอนนี้ข้ายังขยับตัวไม่ได้ หมอชีดูแลเข้มงวดมากและบ่นมากด้วย ไม่อย่างนั้นข้าจะโค้งคำนับให้เจ้าเป็นอย่างดีทีเดียว”
เจียงป่าวชิงรีบโบกมือไปมาทันที “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าฆ่าคน พอนึกถึงก็อดสึกขนลุกในใจไม่ได้ ข้าจึงพยายามไม่คิดอะไรย้อนกลับไปในตอนนั้นอีก”
ไป๋จีพยักหน้ารับรู้ “อื้ม อันที่จริงการที่แม่นางเจียงช่วยข้านั้นถือเป็นเรื่องเล็ก เรื่องสำคัญคือแม่นางเจียงช่วยชีวิตนายท่านไว้ ข้าต้องขอบคุณแม่นางไปตลอดชีวิต ต่อไปถ้าแม่นางมีอะไรให้ข้าช่วยก็บอกข้าได้เลยนะ”
ขณะพูดประโยคนี้ สีหน้าไป๋จีตั้งใจมาก
เจียงป่าวชิงยิ่งเกรงใจมากกว่าเดิม “มะ… ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริง ๆ ยามปกตินายท่านของเจ้าก็ดีกับข้ามาก ข้าเองไม่ใช่คนเนรคุณชั่วช้าอะไรแบบนั้นสักหน่อย ก็แค่ยื่นมือออกไปช่วยอย่างไม่ยากลำบากเท่านั้น เจ้าไม่ต้องจริงจังขนาดนี้ก็ได้”
ไป๋จีหัวเราะ จู่ ๆ เขาก็พูดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา “แม่นางเจียง ข้าติดตามนายท่านมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว ปีนั้นโรคห่าระบาดที่หมู่บ้านของข้าอย่างหนัก พ่อข้าพาข้ากับน้องชายหนีออกมา คนแรกคือน้องชาย ต่อมาก็เป็นแม่ข้า สุดท้ายก็พ่อข้า ทุกคนไม่มีใครทนได้สักคน ต่อมาข้าเดินไม่ไหวและล้มลง ข้าพยายามตะเกียกตะกายไปข้างหน้าเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมาตายอยู่ในสภาพน่าอนาถ ไม่อย่างนั้น พ่อ แม่ และน้องชายของข้า แม้แต่คนที่จำพวกเขาได้ก็จะไม่เหลือ… แต่ก็นั่นแหละนะ การมีชีวิตรอดเป็นอะไรที่ยากมาก ตอนที่ข้าใกล้ถอดใจ นายท่านขี่ม้าผ่านมา พอเขาเห็นว่าข้ายังไม่สิ้นลมหายใจก็สั่งให้หมอผู้ติดตามช่วยรักษาข้าโดยไม่สนใจการคัดค้านของคนรับใช้เลย เขาช่วยชีวิตข้าไว้และตั้งแต่ตอนนั้น ข้าก็ตัดสินใจว่าจะทุ่มเทชีวิตให้นายท่านไปตลอดชีวิต แม่นางเจียง ที่ข้าบอกว่าขอบคุณเจ้าไปตลอดชีวิตนั้นข้าจริงใจจริง ๆ ไม่ใช่พูดไปอย่างนั้น”
เจียงป่าวชิงยังไม่ได้พูดอะไร ฝูฉูก็เดินถือน้ำต้มสมุนไพรสำหรับบำรุงกำลังเข้ามาก่อน นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไป๋จี เมื่อวานเจ้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่าเพิ่งพูดเยอะเกินไปสิ”
ไป๋จีเห็นฝูฉู เขาก็รู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย “ฝูฉู เจ้าเป็นสาวใช้ของนายท่าน เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ?”
ฝูฉูเหลือบมองเจียงป่าวชิง แต่เจียงป่าวชิงทำเป็นไม่เห็นนาง
ฝูฉูก้มหน้าพูดออกมาด้วยเสียงอันเบา “เจ้าเองก็รู้ว่าท่านชายไม่ชอบให้ใครปรนนิบัติอยู่ใกล้ ๆ ข้ามาดูแลเจ้าเพื่อให้เจ้ารีบกลับไปปรนนิบัติท่านชาย นี่ก็ถือเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าจึงช่วยทำเพื่อท่านชายไง”
น้ำต้มสมุนไพรบำรุงร่างกายยังคงอยู่ในมือฝูฉู นางเงยหน้ามองไป๋จีด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ตอนนี้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บกันไปหมด ข้าที่ยังอยู่ดีไม่สามารถนิ่งเฉยได้ แค่ดูอยู่ข้าง ๆ ก็ยังดีกว่านั่งเฉย ๆ ไป๋จี เจ้าให้ข้าทำอะไรเพื่อท่านชายบ้างเถอะนะ”
เห็นฝูฉูใกล้จะร้องไห้เต็มที ไป๋จีก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอย่างไร แต่มีอย่างหนึ่งที่ฝูฉูพูดถูก เขาต้องรีบรักษาตัวให้หายไว ๆ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทางฝั่งของนายท่านคงมีเรื่องให้จัดการมากมาย เขาที่เป็นลูกน้องย่อมต้องรีบช่วยเจ้านายแบ่งเบาความทุกข์
ไป๋จีตระหนักดูแล้วก็เลิกพูดจามากความ เขายอมรับในพฤติกรรมของฝูฉูที่กำลังส่งน้ำต้มสมุนไพรบำรุงกำลังมาให้ตน
เจียงป่าวชิงลุกขึ้นแล้วพูดขึ้นยิ้ม ๆ “คุณชายกงบอกว่าจะให้คนช่วยสร้างบ้านให้ข้าใหม่ในวันพรุ่ง ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าคงจะไปที่ชีหลี่โวบ่อย ๆ เพราะถึงยังไง ต่อไปก็ต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานจึงต้องสร้างให้อยู่สบาย ไป๋จี ไม้คานไผ่นี้ ข้าตกลงได้ข้อสรุปกับนายท่านของเจ้าแล้ว”
ไป๋จีไม่ได้คิดอะไรมากมาย “แม่นางเจียงสรุปได้เลย เงินทองนายท่านของเรามีไม่น้อยจริง ๆ นะ”
เจียงป่าวชิงเม้มริมฝีปากพลางยิ้มไปด้วย “ไป๋จี เจ้าต้องรักษาตัวให้ดี ๆ นายท่านของเจ้าค่อนข้างดื้อรั้น ไม่รู้ว่าเขาจะให้สองขาของเขาแบกรับน้ำหนักมากเกินไปโดยที่ไม่คำนึงอะไรใด ๆ ตอนไหนอีก เจ้าต้องช่วยเฝ้าดูเขาให้ข้า อย่าให้เขาทำสำเร็จล่ะ”
ไป๋จีพูดด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมเต็มที่ “แม่นางเจียงไม่ต้องห่วง หมอชีบอกว่ากว่าข้าจะหายเป็นปกติก็คงใช้เวลาหนึ่งเดือน แต่ข้าคิดว่าผ่านไปสองสามวันข้าก็น่าจะหายเป็นปกติแล้ว”
ตอนที่ฝูฉูได้ยินเจียงป่าวชิงบอกว่า ‘ต่อไปก็ต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน’ นางก็อดไม่ได้ที่จะตาเป็นประกายก่อนจะรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “แม่นางเจียงไปทำธุระของเจ้าให้สบายใจเถอะจะ ไป๋จีต้องนอนรักษาตัว ข้าในฐานะสาวใช้ของท่านชายจะเตือนเขาเอง”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างเกรงใจ นางพูดทิ้งท้ายกับไป๋จีอีกครั้ง “รักษาตัวให้ดี ๆ ข้าขอตัวก่อน”
ไป๋จีเพิ่งจะลุกขึ้นเพื่อส่งเจียงป่าวชิง แต่เจียงป่าวชิงมือไวตาไวจึงกดเขาไว้ “เฮ้พี่ชาย ถ้ายังทรมานตัวเองแบบนี้ ข้าว่าสามเดือนก็ยังไม่หายหรอกนะ”
ไป๋จียิ้มอย่างไม่ถือสาที่เจียงป่าวชิงเรียกเขาอย่างสนิทสนม
ฝูฉูที่อยู่ด้านข้างรีบพูดขึ้น “ไป๋จี เจ้าพักผ่อนให้มาก ๆ เถอะ ข้าจะไปส่งแม่นางเจียงแทนเจ้าเอง”
เจียงป่าวชิงเห็นไป๋จีมีท่าทีลังเล จึงพยักหน้าให้ฝูฉูอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่ฝูฉูด้วยเจ้าค่ะ”
ฝูฉูพาเจียงป่าวชิงมาส่งข้างนอกห้องเล็กที่ไป๋จีพักฟื้นตัวอยู่ ตรงที่ประตูพระจันทร์ของบ้าน ฝูฉูก็ได้เรียกเจียงป่าวชิงด้วยความลังเล “แม่นางเจียง…”
เจียงป่าวชิงหยุดฝีเท้า มองฝูฉูด้วยสีหน้าราบเรียบ
ฝูฉูเผยรอยยิ้มขมขื่นที่มุมปากออกมาให้เห็น “ดูเหมือนเรื่องพี่ชายของเจ้า จะทำให้เจ้าไม่พอใจมาก”
เจียงป่าวชิงไม่ยอมพูดกับฝูฉูเกี่ยวกับเรื่องเจียงหยุนชานอีก จึงพูดขึ้นนิ่ง ๆ “ถ้าพี่ไม่มีธุระอื่น งั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
ฝูฉูกัดริมฝีปากล่าง ความร้อนรนปรากฏขึ้นในนัยน์ตานาง แต่สุดท้ายนางก็พูดถามออกไปทั้งที่ยังลังเล “จะ… เจ้าเตรียมตัวอยู่ชีหลี่โวเป็นเวลานานจริง ๆ หรือ ?”
เจียงป่าวชิงชำเลืองมองฝูฉู “ใช่แล้ว ชีหลี่โวล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ สร้างบ้านหลังเล็ก อาศัยการปลูกผักผลไม้ น่าสบายอกสบายใจดีออกนะ”
ได้ยินดังนั้น ลึกในดวงตาของฝูฉูก็ปกปิดความดีใจไว้ไม่มิด “แม่นางเจียงช่างใจกว้างจริง ๆ ชีวิตแบบนั้นคงสบายอกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง”
เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะ นางไม่ได้รับคำของฝูฉู ทำเพียงมองฝูฉูอย่างลึกซึ้งแล้วหมุนตัวจากไป
……
เนื่องจากตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ชีหลี่โว น้ำนมประจำวันของเสี่ยวฟ๋านฟ๋านจึงไร้แหล่งที่มา แม้ยังไม่ถึงเดือนที่จะเติมอาหารเสริม แต่ตอนนี้ก็ต้องรบกวนให้คนครัวซึ่งเป็นคนของกงจี้ต้มข้าวอ่อนให้แล้ว เจียงหยุนชานป้อนเสี่ยวฟ๋านฟ๋านทีละช้อน เสี่ยวฟ๋านฟ๋านเองก็กินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยเช่นกัน
ตอนที่เจียงป่าวชิงไปหาเจียงหยุนชาน เสี่ยวฟ๋านฟ๋านก็กินอิ่มแล้ว นางใส่ผ้ากันเปื้อนสีแดงผืนใหญ่ที่ตัดเย็บเป็นขนาดสำหรับเด็กเล็กและกำลังนอนเล่นอยู่บนเตียง
หางตาของเจียงป่าวชิงเห็นว่าผ้ากันเปื้อนผืนนั้นไม่ใช่ตัวที่นางทำให้เสี่ยวฟ๋านฟ๋านเมื่อก่อนหน้านี้จึงเอ่ยถาม “พี่ ผ้ากันเปื้อนนี่มาจากไหนรึ ?”
พูดถึงเรื่องนี้ ท่าทางเจียงหยุนชานค่อนข้างแปลกไป ดูไม่เป็นธรรมชาติเลย
ผ้ากันเปื้อนนี้คือตัวที่ฝูฉูมอบให้ แต่หลังจากที่เขานำกลับบ้านก็วางมันไว้ข้างเตียงอย่างไม่ใส่ใจ และไม่คิดจะใส่ให้เสี่ยวฟ๋านฟ๋านด้วยซ้ำ แต่ในคืนวันเดียวกันนั้น ฝูฉูมาเคาะประตูบอกว่าจะพาเขาออกไปหลบภัยอันตรายโดยด่วน
ในตอนนั้น เจียงหยุนชานออกจากบ้านอย่างเร่งรีบและแทบไม่ทันได้คิดอะไรจึงฉวยผ้ากันเปื้อนผืนนี้มาด้วย