ท่าทีเย็นชาของกงจี้ ทำให้หลิงเฟิ่งที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นพลันตกใจตัวสั่นเทิ้ม นางนึกถึงข่าวลือก่อนหน้านี้ที่บอกว่าหลังจากขาของคุณชายถูกพิษเล่นงาน นิสัยของเขาก็เปลี่ยนไป แม้แต่คนติดตามของพ่อของนางที่อยู่มานานหลายปีก็ยังถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
หลิงเฟิ่งแทบเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น นางพยายามเค้นเสียงพูดออกมา แต่ถึงกระนั้นเสียงที่ออกมาก็ยังสันคลอน “เจ้าค่ะท่านชาย คะ… คุณหนูของข้าน้อยวิ่งเต้นบากบั่นมาตลอดทาง นางคงเหนื่อยเกินไป เช้าวันนี้จึงล้มป่วยไปแล้ว เมื่อสักครู่ก็หมดสติด้วยเจ้าค่ะ”
กงจี้ขมวดคิ้ว
เมื่อวานหมอชีมาให้คำตอบ เขายังบอกอยู่เลยว่านางเพียงแค่เหนื่อยจากการนั่งรถม้ามานาน ไม่ได้เป็นอะไรมากและไม่ต้องให้ยาใด ๆ ด้วยซ้ำ ทว่าเหตุใดวันนี้นางถึงป่วยจนหมดสติไปได้ ?
กงจี้รู้สึกว้าวุ่นใจอย่างมาก เมื่อวานเขาเป็นห่วงเจียงป่าวชิงแทบแย่จึงไปรอรับนางข้างนอก แต่กลับเห็นน้องสาวของครอบครัวท่านย่ามาหาเขาถึงที่นี่เสียก่อน
พี่น้องของครอบครัวท่านย่ามีความสัมพันธ์อันดีกับเขา หลายปีที่ผ่านมา เขาแทบตัดขาดการติดต่อกับครอบครัว มีเพียงทางฝั่งของครอบครัวท่านย่าเท่านั้นที่เขายังคงติดต่ออยู่ และเขามักปฏิบัติต่อผู้คนที่เป็นครอบครัวท่านย่าพิเศษกว่าเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น น้องสาวเขาเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ วันนี้เขาก็ได้รับจดหมายที่ท่านย่าของเขาลงมือเขียนด้วยตัวเองว่าให้เขาดูแลน้องสาวคนนี้ดี ๆ
ครั้งนี้น้องสาวช่างเกิดล้มป่วยที่บ้านของเขา ได้ยินสาวใช้บอกว่าป่วยหนักอยู่พอสมควร เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปดูนางสักหน่อย แต่เขาก็เป็นห่วงเจียงป่าวชิงที่อยู่ทางนี้จริง ๆ…
เหมือนว่าเจียงหยุนชานจะมองออกถึงความเป็นกังวลของกงจี้จึงเอ่ยขึ้น “ถ้าหากว่าคุณชายกงมีธุระก็ไปทำธุระก่อนเถอะขอรับ ทางนี้มีข้าดูแลป่าวชิงอยู่ คุณชายกงอย่าห่วงเลย”
กงจี้เหลือบมองไปยังห้องของเจียงป่าวชิง เขาพยักหน้าพลางเอ่ยสั่งองครักษ์ด้านข้างด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้าไปตามหมอชีมา” พูดเสร็จ เขาก็กางร่มออกไปทันที
หลิงเฟิ่งรีบลุกขึ้นจากบนพื้นแล้วรีบตามกงจี้ไปด้วยขาที่ไร้เรี่ยวแรง
เจียงหยุนชานส่ายหน้า เขาอยากไปต้มน้ำขิงที่ห้องครัวสักหน่อย แต่กลับได้ยินเสียงของตกดังมาจากในห้องของเจียงป่าวชิงเสียก่อน
ความตกใจแล่นเข้าเล่นงาน เขารีบผลักประตูเข้าไปโดยที่ไม่สนอะไรอีกแล้วและได้เห็นเจียงป่าวชิงในชุดจีนหกล้มอยู่บนพื้นด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรง ไหนจะยังมีเก้าอี้ที่เมื่อครู่นี้นางคงชนอย่างไม่ระวังล้มอยู่บนพื้นด้านข้างอีกด้วย
เจียงหยุนชานทั้งตกใจและร้อนรน เขารีบเข้าไปประคองน้องสาวด้วยความห่วงใย “ป่าวชิง เจ้าเป็นอะไรมากไหม ?”
ริมฝีปากของเจียงป่าวชิงแห้งผาก นางอ้าปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอ “น้ำ…”
เจียงหยุนชานรีบประคองเจียงป่าวชิงไปที่เตียง มือไม้เขาอ่อนไปหมดเลยให้ตายเถอะ!
“ได้ ๆ ๆ เจ้ารอเดี๋ยว ข้าจะไปรินน้ำมาให้เดี๋ยวนี้แหละ”
โชคดีที่เขาอุ่นน้ำไว้ในห้องชาด้านนอกอยู่ตลอดเวลา เจียงหยุนชานรีบรินน้ำอุ่น ๆ แล้วนำไปให้เจียงป่าวชิงที่พิงอยู่บนเตียง
“ป่าวชิง เจ้าเป็นอะไรมากไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ?” เจียงหยุนชานเป็นห่วงน้องสาวมาก แต่เขาทำอะไรไม่ถูก “เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าป่าวชิง ? ข้า… ข้าไปเรียกหมอมาดูอาการให้เอาไหม ?”
เจียงป่าวชิงห้ามเจียงหยุนชานด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าได้ยินที่พวกพี่คุยกันเมื่อสักครู่แล้ว ตอนนี้หมอชีคงไปดูอาการคุณหนูช่างคนนั้นอยู่ ทำไมพี่ต้องไปเรียกให้เสียเที่ยวด้วย ข้าไม่เป็นไร ก็แค่เปียกฝนเมื่อวานและเป็นไข้หวัดเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
เจียงหยุนชานกลับแน่วแน่มาก “ในเมื่อหมอชีไม่อยู่ ข้าก็จะไปเรียกหมอจากข้างนอกมาให้แทน” พูดเสร็จ เขาก็ทำท่าจะออกไป แต่เจียงป่าวชิงเรียกเขาไว้ ขณะนี้น้ำเสียงนางแหบแห้ง นางดูอ่อนแอมาก
“พี่ รอเดี๋ยว”
เจียงหยุนชานเดินกลับมาหาน้องสาวด้วยความเป็นห่วง “อะไรหรือป่าวชิง ?”
เจียงป่าวชิงเผยรอยยิ้มอ่อนแอออกมาให้เห็น “พี่ พี่ลืมแล้วรึว่าข้าเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชำนาญในการรักษาโรค ข้ารู้ว่ายาอะไรรักษาตัวข้าได้ ถึงตอนนั้นพี่ค่อยให้องครักษ์ไปหยิบยารักษาโรคไข้หวัดที่ห้องยาของหมอชีก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
เจียงหยุนชานยังคงลังเล แต่ตอนนี้เจียงป่าวชิงจับชีพจรตัวเองและพบว่าสภาพชีพจรของตนอ่อนแอมาก ธาตุไฟในร่างกายก็ถือว่าร้อนรุ่ม น่าเศร้าที่ร่างกายนางเพิ่งได้รับความหนาวเย็นจนเกินพอดีมา ความร้อนเย็นจึงปะทะกันทำให้เป็นไข้ ไม่เพียงแต่นางมีไข้เท่านั้น ความกลัดกลุ้มที่อัดแน่นอยู่ในใจนางยังทำให้อาการนางแย่ลงด้วย
จริง ๆ แล้วนี่ถือเป็นอันตรายอยู่เล็กน้อย แต่เจียงป่าวชิงไม่อยากให้เจียงหยุนชานเป็นห่วงนางเลยจึงยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “พี่หยุนชานเจ้าคะ นี่มันก็แค่โรคไข้หวัดทั่วไป ไม่มีอะไรหรอกนะ พี่ช่วยเขียนใบสั่งยาให้ข้าหน่อยแล้วกัน แล้วนำไปหยิบยาที่ห้องยาของหมอชี หากว่าข้าได้ดื่มยานั่นสักสองสามมื้อก็ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงหยุนชานเชื่อเจียงป่าวชิงมาโดยตลอด ครั้งนี้เขาก็เชื่ออีกเช่นกัน แน่นอนว่าเขารู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะยังมีความกังวลอยู่บ้างก็ตาม “ได้ เจ้าบอก ข้าเขียน แต่มีอย่างหนึ่ง เจ้าต้องตั้งใจดื่มยานะ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า
พี่ชายนางรู้ดีว่าร่างกายนางไวต่อรสขมและความเจ็บปวด อีกอย่าง นางเองก็ไม่ค่อยชอบดื่มยาสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ในใจของนางขื่นขมมากพอแล้ว ยาจะขมมากเพียงใดก็ปล่อยให้ขมไปเถอะ
ไม่ว่าในใจจะขมขื่นมากแค่ไหน แต่บนใบหน้ากลับต้องยิ้มให้พี่ชายเห็น “พี่ ข้าไม่ใช่เด็กสักหน่อย ทำไมจะไม่ตั้งใจกินยาล่ะ ?”
อย่างไรก็ตาม เจียงหยุนชานฟังออกว่าน้ำเสียงของน้องสาวเขาแหบแห้งไป ฟังไม่รับรู้ถึงความหวานสดใสอย่างก่อนหน้านี้เลย
เจียงป่าวชิงพูดชื่อยา เจียงหยุนชานเขียนใบสั่งยาหนึ่งชุด จากนั้นเขาก็ห่มผ้าห่มให้นางแล้วนำใบสั่งยาไปที่ห้องยาทันที
……
หมอชีได้ยินว่านายท่านของเขาใช้ให้เขาไปตรวจดูอาการคุณหนูคนนั้นอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะพร่ำบ่นในใจ ‘ดูอะไรอีก ?! ไม่ใช่ว่าเมื่อวานดูไปแล้วรึ ? ข้าดูแล้วแม่หนูคนนั้นก็ไม่ได้ป่วยอะไรแต่นางดึงดันบอกว่าป่วย ก็แค่เหนื่อยจากการนั่งรถเท่านั้น’
เด็กสาวในห้องนี่ถูกโอ๋จนเปราะบางไปแล้วจริง ๆ
หมอชีส่ายหน้าอย่างระอา แต่สุดท้ายเขาก็คว้ากล่องยาตรงไปที่ห้องของช่างชือจื่ออยู่ดี
หลังจากที่หมอชีมาถึง เขาก็พบว่านายท่านของเขาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เพียงแต่นายท่านไม่ได้เข้าไปภายใน เขานั่งอยู่ตรงพื้นที่ยกสูงระดับเก้าอี้ข้างหน้าต่างด้านนอก
หมอชีเข้าไปจับชีพจรให้นายท่านของเขาแล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่เห็นด้วย “สองวันนี้ฝนตกติดกัน เดิมทีขาของนายท่านก็ยังใช้การไม่คล่องแคล่วอยู่แล้ว ทำไมนายท่านถึงได้ละเลยร่างกายตัวเองบ่อย ๆ และมายังสถานที่ที่มันชื้นแบบนี้ล่ะขอรับ ?”
กงจี้ข่มอารมณ์ระหว่างคิ้ว เขามีท่าทีสบาย ๆ ให้เห็น แต่ในใจของเขากลับคิดถึงแม่นางใจร้ายคนนั้น เขาไปหานางตั้งสองครั้งสองคราแต่กลับไม่เจอนางสักครั้ง นางไม่รู้จักเป็นห่วงสภาพขาของเขาบ้างเลยหรือยังไง ?
ทันใดนั้น ช่างชือจื่อที่นอนอยู่บนเตียงโดยมีม่านไข่มุกกั้นกลางอยู่ก็พูดขึ้นอย่างอ่อนแอ “หมอชีไม่ต้องโทษพี่ชายกงหรอก เป็นเพราะร่างกายของข้าไม่รักดีเอง ถึงทำให้พี่ชายกงต้องเป็นห่วงเช่นนี้”
หมอชีชะงักไปพลางบ่นในใจ ‘ดูนางพูดสิ ช่างไม่น่าฟังเลยจริง ๆ ข้าจะโทษนายท่านได้ที่ไหนกันล่ะ ? ข้าไม่กล้าโทษนายท่านหรอก’
ถึงหมอชีจะบ่นในใจแบบนั้น แต่เขายังต้องไปตรวจรักษาอาการป่วยให้ช่างชือจื่อ
หมอชีข้ามผ่านม่านไข่มุกเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นช่างชือจื่อที่นอนหน้าซีดหน้าเหลืองอยู่บนเตียงก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
เมื่อวานยังดี ๆ อยู่เลยไม่ใช่รึ ? ผ่านไปคืนเดียว เหตุใดนางถึงได้ป่วยจนกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ?
หมอชีเอ่ยขึ้น แววตายังคงเจือความสงสัยอยู่ “รบกวนคุณหนูช่างช่วยยื่นแขนออกมาด้วยขอรับ”
ช่างชือจื่อไม่ได้ยื่นแขนไปในทันที แต่นางเลือกที่จะมองออกไปข้างนอกด้วยท่าทีที่น่าสงสาร “พี่ชายกง ข้าทรมานมากเลย พี่มาอยู่เป็นเพื่อนข้าได้ไหมเจ้าคะ ?”
กงจี้ขมวดคิ้ว เขายังไม่ได้พูดอะไรก็ได้ยินหมอชีพูดขึ้นมาก่อน
“ไม่ได้นะขอรับคุณหนูช่าง โรคไข้หวัดของคุณหนูอาจติดคนอื่นเอาได้ ขาของนายท่านก็ยังรักษาไม่หาย คุณหนูเรียกให้นายท่านมาหาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะ ถ้าหากว่านายท่านติดไข้หวัดจากคุณหนูจะแย่เอาได้ขอรับ” หมอชีพูดอย่างตรงไปตรงมา
สีหน้าของช่างชือจื่อเริ่มหม่นหมองลง ผ่านไปสักครู่ นางถึงจะยื่นแขนออกมาพร้อมรอยยิ้มที่ดูฝืดฝืนพิกล “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่ชายกงก็ไม่ต้องมาหาข้าแล้วล่ะ พี่จะได้ไม่ต้องติดโรคจากข้า”