บ้านหลังใหม่อยู่สบายกว่าบ้านหลังเก่ามาก ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ดูเพียงแค่ห้องครัวก็รู้ถึงความแตกต่างแล้ว เจียงป่าวชิงใช้ครัวได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสำลักควัน ออกมาจากในห้องครัวก็ไม่ต้องหน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่นเขม่าดำของควันจากเตาถ่าน และไม่จำเป็นต้องไปทำความสะอาดตัวเองใหม่ทุก ๆ ครั้งที่ทำอาหารเสร็จ
วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายเม็ดฝนจะโปรย เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานสองพี่น้องพากันไปเก็บผ้าที่ตากไว้ในลานบ้าน สายตาพวกเขาก็เหลือบไปเห็นเจียงเหล่าหวู่ถือเนื้อกระต่ายตากแห้งหมักเกลือเดินเข้ามา เขาตะโกนเรียกชื่อเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานอยู่ตรงนอกบ้านไปด้วย
เจียงหยุนชานรีบไปเปิดประตูให้
ช่วงนี้พวกเขาจะปล่อยเจ้าเสี่ยวหวงกับเจ้าเสี่ยวป๋ายออกมาวิ่งเล่นในลานบ้านระหว่างวัน พวกมันเป็นสุนัขฉลาดไหวพริบดี หลังจากที่เคยเห็นเจียงเหล่าหวู่แล้วหลายครั้ง พวกมันก็จำเขาได้ ไม่ได้ส่งเสียงเห่าโฮ่ง ๆ ใส่เจียงเหล่าหวู่แล้ว แต่กลับมาเดินเล่นกันรอบข้อเท้าของเจียงเหล่าหวู่แทน
เจียงเหล่าหวูยกเนื้อกระต่ายตากแห้งในมือขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้มดูอารมณ์ดี
“นี่กระต่ายแห้งหมักเกลือ ก่อนหน้านี้พวกข้าเข้าไปจับกระต่ายป่ามาได้สองสามตัว ย่าห้าของเจ้าจับหมักเกลืออย่างดี ข้าคิดว่าพวกเจ้าสองพี่น้องกำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโตจึงเอามาให้พวกเจ้าบำรุงร่างกายสักหน่อย รับไปสิ”
เจียงเหล่าหวู่เห็นเจียงหยุนชานจะปฏิเสธจึงตั้งใจทำหน้าดุกันไว้ก่อนแล้วพูดขึ้น “อย่าปฏิเสธเชียวหยุนชาน รับไปเถอะน่า หรือว่าเจ้าดูถูกเนื้อกระต่ายของข้า ?”
พูดขนาดนี้แล้ว เจียงหยุนชานจึงปฏิเสธไม่ได้อีก เขาทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณเจียงเหล่าหวู่และรับเนื้อกระต่ายมา
เจียงป่าวชิงวางเสื้อผ้าลงและออกมาที่ลานบ้าน นางพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ท่านปู่ห้ามาวันนี้มีธุระอะไรหรือเจ้าคะ ?”
เจียงเหล่าหวู่ถูมือไปมาพลางกระแอมไอ “อะแฮ่ม! ก่อนหน้านี้ครอบครัวข้าเช่าที่ดินบ้านเจ้าและได้รับเสบียงอาหารบนที่ดินห้าไร่มาโดยไม่ต้องเสียเงิน ข้ากับย่าห้าของเจ้าต่างก็ระลึกถึงความดีของพวกเจ้าสองพี่น้อง ตอนนี้ทำการเพาะปลูกเพิ่มเสบียงอาหารรอบใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่บ้านก็ไม่ค่อยงานยุ่งแล้วด้วย ข้าจึงจะมาถามว่าพวกเจ้ามีเวลาว่างตอนไหน ข้าจะเชิญพวกเจ้าสองคนไปกินข้าวที่บ้านของข้า”
เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “ท่านปู่ห้าเกรงใจเราเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงเหล่าหวู่กลับพูดขึ้นอย่างมุ่งมั่น “ไม่หรอก ๆ งั้นก็เอาตามนี้ เจ้าลองดูสิว่าคืนวันพรุ่งเจ้ามีเวลาว่างหรือเปล่า ถ้ามีก็มากินข้าวที่บ้านข้า ตกลงไหม ?”
น้ำใจจากผู้ใหญ่เช่นนี้ยากที่จะปฏิเสธ เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานต้องตอบรับ แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาเพิ่งส่งเจียงเหล่าหวู่กลับไป หลังจากนั้นไม่นานบ้านหลังเล็กของนางกับพี่ชายก็ต้องเผชิญหน้ากับแขกไม่ได้รับเชิญซะอย่างนั้น
ไม่คิดว่าจะเป็นโจซื่อ
ความแปลกตาที่มากกว่านั้นคือในมือนางถือถ้วยเนื้อมาด้วย ดูจากสภาพแล้วในถ้วยคงจะเป็นเนื้อกระต่าย แต่รูปร่างหน้าตากลับดูน่าสังเวชพิกล เนื้อกระต่ายนั้นเหมือนถูกย่ำยีโดยบางสิ่งบางอย่างมา ผิวหนังภายนอกหลายจุดดูเหมือนเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์
หากว่าไม่เกินความคาดหมาย มันคงเป็นเนื้อของกระต่ายตัวที่โดนเจียงโหย่วฉายทารุณ
โจซื่อจับมือเจียงหยุนชานด้วยท่าทีในแบบของอาสะใภ้ผู้ใจดี “โย! ช่างน่าสงสารยิ่งนัก เมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้านข้าผู้เป็นอาของพวกเจ้า ข้าก็เลี้ยงดูพวกเจ้าจนผิวขาวนวล ดูสิ พอแยกบ้านออกมา เด็กดี ๆ อย่างพวกเจ้าทั้งสองกลับทั้งผอมทั้งดำไปเสียได้”
เจียงหยุนชานรู้สึกเก้อเขิน เขาพยายามชักมือกลับมาแต่ไม่สำเร็จ โจซื่อกำมือเขาแน่นราวกับกำลังกำของล้ำค่าที่มิสมควรปล่อยให้หลุดมือไปอย่างไรอย่างนั้น เขาทำได้เพียงพูดด้วยใบหน้าขมขื่น “อาโจซื้อมาที่นี่มีธุระอะไรหรือเปล่าขอรับ ?”
โจซื่อปั้นหน้ายิ้มอ่อนโยนให้เจียงหยุนชาน พลางชะเง้อศีรษะมองเข้าไปในบ้านที่อยู่ทางด้านหลังเจียงหยุนชานไปด้วย “ดูเจ้าเด็กนี่พูดสิ เจ้ากับป่าวชิงเป็นหลานของข้า ข้าที่เป็นอาจะมาเยี่ยมพวกเจ้าไม่ได้เลยรึไงกัน แล้วน้องสาวเจ้าล่ะ ทำไมข้าไม่เห็นนาง ?”
โจซื่อเคยปรองดองกับเจียงหยุนชานแบบนี้มาระยะหนึ่ง แต่นางไม่เคยทำสีหน้าดี ๆ ให้เจียงป่าวชิงมาก่อน เจียงหยุนชานขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าที่โจซื่อเรียกเจียงป่าวชิงว่า “ป่าวชิง” อย่างปรองดองเช่นนี้ มันแปลกประหลาดนัก
หลังจากที่เจียงเหล่าหวู่กลับไปแล้ว เจียงป่าวชิงก็ไปที่ห้องครัว ในหัวครุ่นคิดว่าจะจัดการกับเนื้อกระต่ายป่าตากแห้งที่ผ่านการหมักเกลือจากเจียงเหล่าหวู่ยังไงดี เพื่อที่จะได้เพิ่มรายการอาหารสำหรับมื้อค่ำ มือน้อย ๆ ของนางเพิ่งหั่นขิงเสร็จ เสียงพูดคุยของเจียงหยุนชานกับใครบางคนก็ดังลอยเข้ามาจากข้างนอกอย่างราง ๆ
นางพยายามฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง ‘แย่แล้ว! นี่เสียงโจซื่อไม่ใช่รึ มาทำไม ?’
เดิมทีเจียงป่าวชิงถือมีดหั่นผักเล่มใหญ่ไว้อยู่ในมือและกำลังหั่นผักอยู่ตรงนั้น แต่พอรู้ว่าเป็นเสียงของโจซื่อ นางก็ออกไปพร้อมกับมีดหั่นผักเล่มนั้น
เมื่อมาดูที่ในลานบ้านก็พบว่าเป็นโจซื่อจริง ๆ ด้วย
ทันทีที่โจซื่อเห็นเจียงป่าวชิง สีหน้าดีใจเผยออกมาให้เห็น นางกำลังจะแกล้งทำเป็นสนิทสนมเพื่อผ่อนคลายเรื่องความสัมพันธ์อันตึงเครียดนี้ ก็เห็นเจียงป่าวชิงถือมีดหั่นผักไว้อยู่ในมือ เห็นดังนั้น นางตกใจจนตัวสั่น รีบไปหลบข้างหลังเจียงหยุนชานทันที
“นี่เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ ?!”
เจียงป่าวชิงชั่งน้ำหนักมีดหั่นผักในมือเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นยิ้ม ๆ “นึกว่าเสียงใคร ที่แท้ก็เป็นอาโจซื่อนี่เอง ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าอาโจซื่อมีเรื่องอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
มีดหั่นผักเล่มนั้นสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นแสงสีเงินวาววับ ใบมีดคม ๆ กะพริบล้อแสง ดูแล้วให้ความรู้สึกข่มขวัญ
โจซื่อกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว นางครุ่นคิดในใจว่าไม่ว่าเจียงป่าวชิงจะก่อเรื่องวุ่นวายยังไง แต่ก็ไม่ควรถึงขั้นอยากฟันนางด้วยมีดหนิ สุภาษิตกล่าวไว้ว่ามือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ นี่นางก็นำของมาเยี่ยมแล้วนะ… อย่ามาทำร้ายกันเลย
คิดมาถึงตรงนี้ โจซื่อรีบยกถ้วยใส่เนื้อกระต่ายในมือขึ้นอย่างรวดเร็ว “นี่ ๆ ๆ ป่าวชิง ข้าเอากระต่ายป่ามาให้พวกเจ้าสองพี่น้อง ใช่แล้ว ข้าแค่นำเนื้อกระต่ายป่ามาให้เท่านั้น!”
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ท่าทางของเจียงป่าวชิงทำให้โจซื่อแตกตื่น รีบยัดถ้วยใส่ในมือเจียงหยุนชานแล้ววิ่งหนีไปในที่สุด
เจียงหยุนชานถือถ้วยใส่เนื้อกระต่ายไว้อย่างงุนงง เขาตะโกนเรียกไล่หลังโจซื่อทว่าโจซื่อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
“อะไรของเขา…” เจียงหยุนชานมองเนื้อกระต่ายในถ้วย อยากมาก็มาอยากไปก็ไปเช่นนี้ เขาไม่รู้จะพูดอะไรดีเลยจริง ๆ
แต่เจียงป่าวชิงกลับไม่สนใจ “เหอะ! มาเอาอกเอาใจทั้ง ๆ ที่ไม่มีธุระอะไร คงจะมีแผนอะไรอีกล่ะสิ แล้วก็นะ รับของผิดกฎหมายจะต้องถูกลงโทษ ช่างเถอะ พี่ไม่ต้องไปสนใจนางหรอกเจ้าค่ะ”
เจียงหยุนชานยกเนื้อกระต่ายนั้นขึ้น “แล้วนี่ล่ะ เราจะจัดการกับมันยังไงดี ?”
เจียงป่าวชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “พี่ เนื้อกระต่ายที่ดูเหวอะหวะในถ้วยนั่นเราเททิ้งเถอะ เก็บแค่ถ้วยไว้ก็พอ ครอบครัวของปู่สองแฝงด้วยเจตนาร้ายมาแต่ไหนแต่ไร ยังไงเราก็อย่าไว้ใจง่าย ๆ เลย เราอุตส่าห์มาอยู่เงียบ ๆ กันแล้วแต่ตอนนี้ก็ยังจะมาสร้างเรื่องให้เราต้องคิดมากอีก แปลกคนจริง ๆ เราแค่อย่าไปหลงกลพวกเขาก็พอเจ้าค่ะ”
เจียงหยุนชานนึกถึงท่าทางของคนในครอบครัวท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อ เขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วยเพราะมันก็จริงดังที่น้องสาวเขาว่า
……
โจซื่อกลับมาที่บ้าน หลีโผจื่อนั่งอยู่บนเตียงก็เอ่ยถามนางด้วยความกระตือรือร้น “ว่าไง เจ้าบอกไอ้เด็กเลวนั่นเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานที่ดีที่หาได้ยากแล้วหรือยัง ?”
“แม่ ข้าไม่รู้ ข้าเอาเนื้อกระต่ายไปจะส่งให้เจียงป่าวชิง แต่นางกลับออกมาพร้อมมีดหั่นผักคม ๆ”
เพียงแค่โจซื่อนึกถึง นางก็ยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย “นังเด็กเจียงป่าวชิงนั่นเป็นคนบ้าจริง ๆ นางน่ากลัวมากจนข้ายัดเนื้อกระต่ายใส่ในมือเจียงหยุนชานแล้วก็รีบกลับมาเลยจ้ะ”
หลีโผจื่อได้ยินว่าโจซื่อทำไม่สำเร็จ นางก็ชักสีหน้า “บ๊ะ! เจ้าโตขนาดนี้แล้วทำอะไรได้บ้าง ? คุมสามีตัวเองก็ไม่ได้ พอให้ไปบอกเด็กมันเกี่ยวกับประโยชน์ของการแต่งงาน เจ้าก็ยังทำไม่สำเร็จอีก ไร้ประโยชน์สิ้นดี!” พูดเสร็จนางก็ถ่มน้ำลายลงบนพื้น
โจซื่อหน้าร้อนผ่าว ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าพูดอะไร
“พอแล้ว เจ้าหุบปากไปเลย” หลีโผจื่อโบกมือไปมา “ข้าคงต้องแบกกระดูกแก่ ๆ ออกโรงเอง แต่ละคนใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ไม่ได้เรื่อง!”
โจซื่อไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ ‘ก็ดี ข้าจะรอดูเหมือนกันว่าถ้าแม่ออกโรงเองแล้วจะทำสำเร็จหรือเปล่า!’