วันต่อมา เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานนึกถึงคำเชิญเมื่อวันก่อนของเจียงเหล่าหวู่ที่ว่าให้ไปเป็นแขกรับประทานอาหารที่บ้านของเขา นางคิดจะชวนพี่ชายไป แต่ถ้าไปมือเปล่ามันคงดูไม่ดีนัก
นางคิดว่าทุกคนต่างเป็นชาวนา พวกเขาคงไม่สนใจของมีค่ากันเท่าไหร่จึงตัดสินใจซื้อขนมติดไม้ติดมือไปด้วยเล็กน้อย เมื่อช่วยกันเลือกขนมกับเจียงหยุนชานแล้ว ทั้งสองมุ่งหน้าไปที่บ้านปู่ห้าเจียงเหล่าหวู่ด้วยกัน
เจียงเหล่าหวู่เห็นเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานมาตามนัดจริง ๆ เขาก็ดีใจยิ้มหน้าบาน กุลีกุจอรีบให้เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานเข้าไปนั่งพักในบ้าน ขณะเดียวกันก็เรียกให้เจียงเฟยกับเจียงจือมาดูแลแขก
เจียงจือผู้เป็นหลานชายคนเล็กของครอบครัวเจียงเหล่าหวู่อายุยังน้อย สายตาเขาเหลือบไปเห็นขนมที่เจียงป่าวชิงนำมา ดวงตาของเขาพลันเบิกโตเท่าไข่ห่านทันที
เจียงเฟยตบหลังเจียงจือ เขาบ่นเบา ๆ “เจ้านี่นะ ไม่มีอนาคตเอาซะเลย”
เจียงจือเช็ดคางตัวเองก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “อะไร ? ถ้าอยากกินคือไม่มีอนาคต ถ้าไม่อยากกินคือมีอนาคตงั้นสิ ?”
การย้อนถามเชิงวาทศิลป์นี้ทำให้เจียงเฟยตกตะลึง เขาจะเข้าไปบีบแก้มเจียงจือแต่เจียงจือกลับถอนหายใจเหมือนคนแก่แล้วหลบหลีกเจียงเฟย “เฮ้อ จะเป็นฝั่งเป็นฝาอยู่แล้ว ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่หน่อยสิเจ้าน่ะ”
เจียงเฟยตกตะลึง เขาหันไปมองเจียงป่าวชิงด้วยความเก้อเขินแล้วหันกลับไปตำหนิเจียงจือ “เฮ้! ข้าบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าแอบฟังพวกผู้ใหญ่คุยกัน”
เจียงจือแกล้งทำหน้าเหมือนผีแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เจียงป่าวชิงรู้สึกงุนงงกับสายตาเมื่อสักครู่ของเจียงเฟย ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกพี่ลูกน้องคนนี้ปกติดี บริเวณรอบ ๆ นี้ไม่มีใคร เมื่อสักครู่เจียงเหล่าหวู่บอกว่าอิฐที่ใช้ล้อมหมูค่อนข้างหลวมอยู่หน่อย ๆ เขาจึงขอตัวไปก่ออิฐก่อน ขณะนี้ภายในห้องนอกจากพวกเขาสองพี่น้องแล้ว ก็ยังมีเจียงเฟยอีกคน
เจียงป่าวชิงถามเขาออกไปตรง ๆ “พี่สาม นี่พี่เป็นอะไรหรือเปล่า ? เห็นเมื่อสักครู่พี่มองข้าแปลก ๆ”
เจียงเฟยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ
ปู่ของเขาเคยบอกว่าเจียงป่าวชิงฉลาดมาก แย่แล้ว! นางฉลาดอย่างที่ปู่เขาบอกจริง ๆ ด้วย
เดิมทีเจียงเฟยรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเห็นเจียงป่าวชิงพูดกับเขาอย่างไม่ปิดบังเช่นนี้ เขาจึงพูดกับนางตรง ๆ เสียเลย
“น้องป่าวชิง เจ้ามีบุญคุณกับบ้านข้ามาก ช่วงนี้เจ้าใช้ชีวิตอย่างไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ บ้านถูกไฟไหม้ แล้วต่อมาก็… เอ่อ… ปู่ของข้ามักคิดอยู่เสมอว่าจะตอบแทนเจ้ายังไงดี” เจียงเฟยพูดตรง ๆ อย่างไม่อ้อมค้อม “ปู่ของข้ารู้สึกว่าเจ้าน่าสงสารเกินไปและยังกลัวว่าเจ้าจะถูกคนนอกรังแก สู้ให้ข้าสู่ขอเจ้ากลับมาดูแลที่บ้านดีกว่า ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่เจ้ามีต่อครอบครัวข้ายังไงล่ะ”
เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานตกตะลึงอ้าปากค้าง
อะโหย! นี่คิดไปถึงไหนกันแล้วเนี่ย ?
อะไรคือนางน่าสงสารเกินไป นี่นางไปน่าสงสารตอนไหนกัน ?
…
อันที่จริง ถือว่าเจียงเฟยพูดอย่างนุ่มนวลแล้ว ตอนนั้นย่าของเขากับเจียงเหล่าหวู่เกือบทะเลาะกันบ้านแตกเพราะเรื่องนี้ แต่เจียงเหล่าหวู่กลับพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เจียงป่าวชิงลำบากที่สุด หากว่าครอบครัวพวกเขาไม่ช่วยนางตอนนี้ ยังจะถือว่าเป็นคนอยู่อีกได้อย่างไร
สุดท้าย ย่าของเขาก็โมโหจนถึงกับปาข้าวของไปทั่ว
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ แต่ก็ไม่ต้องถึงกับตอบแทนด้วยชีวิตที่เหลือของหลานชายเราหนิ! เรื่องของเจียงป่าวชิงฉาวโฉ่จนเขาพูดกันทั่วทั้งหมู่บ้าน บอกว่าคุณชายผู้ร่ำรวยคนนั้นเบื่อนางและไม่ต้องการนางแล้ว ผู้หญิงแบบนี้ ข้าไม่ด่าเรื่องที่นางดวงแข็ง แต่ถ้าหากว่าเจียงเฟยสู่ขอนาง ในอนาคตแม้แต่ครอบครัวของพวกเราก็จะถูกคนในหมู่บ้านดูถูกเหยียดหยามไปด้วย”
การปาข้าวของของเจียงเหล่าหวู่ยิ่งใหญ่กว่าเสียงบ่นของย่าของเขา “จะดูถูกเหยียดหยามยังไง จะดูถูกเหยียดหยามยังไงกันฮะ! ถ้าเจ้าไม่ชอบเด็กมันขนาดนี้ แล้วทำไมตอนเช่าที่ดินของนาง เจ้าถึงไม่กลัวคนในหมู่บ้านดูถูก ? พอได้เปรียบก็เลียหน้าตัวเอง แต่พอเสียเปรียบกลับหลบหนีไปไกล เจ้าเป็นแบบนี้ ต่อไปใครจะกล้าคบค้าสมาคมกับครอบครัวเรา ?”
ย่าของเขาเห็นเจียงเหล่าหวู่ว่านางเช่นนี้ ทั้งยังบอกว่า “เลียหน้าตัวเอง” อะไรแบบนั้นด้วย ตอนนั้นนางโมโหจนกลอกตามองบนและเกือบหมดสติอยู่รอมร่อ ยามที่ผ่อนคลายลงนางก็ร้องไห้และต้องการจะสู้กับเจียงเหล่าหวู่ให้ถึงที่สุด
เจียงเหล่าหวู่จึงเรียกเจียงเฟยให้มาหาแล้วพูดกับเขาตรง ๆ “เจียงเฟย น้องป่าวชิงของเจ้าเป็นเด็กดี บางทีนางอาจหลงทางจนทำให้คุณชายผู้ร่ำรวยคนนั้นล่อนางให้หลงใหล แต่ก็โทษนางไม่ได้ เพราะถึงยังไงนางก็อายุยังน้อย ได้ยินว่าคุณชายผู้ร่ำรวยคนนั้นหน้าตาดีมากและเป็นพวกชอบวางท่า มันเป็นเรื่องปกติที่เด็กผู้หญิงจะเผลอหลงไปชั่วขณะ เจ้าดูย่าเจ้าสิ ได้รับบุญคุณของน้องป่าวชิงของเจ้ามาก่อน แต่กลับยังคงอคติกับนางอยู่เช่นนี้ ใคร ๆ เขาก็รู้ ต่อไปไม่รู้ว่านางจะใช้ชีวิตในหมู่บ้านยังไง ปีนี้การเก็บเกี่ยวไม่ค่อยดี ถ้าไม่ใช่เพราะการเก็บเกี่ยวจากที่ดินห้าไร่ของน้องป่าวชิงของเจ้าในช่วงฤดูร้อน ก็ไม่แน่ใจว่าครอบครัวของเราจะอยู่รอดในฤดูร้อนนี้ได้หรือเปล่า นี่เป็นบุญคุณครั้งยิ่งใหญ่มาก”
ต้องพูดว่าเจียงเหล่าหวู่รู้จักหลานชายคนที่สามของเขาดี เขารู้ว่าถึงแม้หลานชายคนที่สามของเขาจะดื้อรั้นไปบ้าง แต่หลานของเขาเป็นคนรักความถูกต้อง เจียงเหล่าหวู่คิดในใจว่าสิ่งที่คนในหมู่บ้านพูดกันนั้นเป็นแค่ข่าวลือ เจียงป่าวชิงนางก็บอกแล้วว่านางไม่ได้เป็นอะไรกับชายผู้สูงศักดิ์คนนั้น คำพูดหยาบคายเหล่านั้นจากพวกชาวบ้านเป็นเพียงข่าวลือที่สมมุติขึ้นเท่านั้น
เพียงแต่… เมื่อก่อนตอนที่เจียงเหล่าหวู่พูดถึงเรื่องแต่งงานนี้ หลานชายคนที่สามของเขามักไม่พอใจเสมอ ตอนนี้เขาจึงจงใจพูดให้สถานการณ์ร้ายแรงขึ้นและจงใจพูดให้เจียงป่าวชิงดูน่าเวทนามาก แถมยังหยิบยกเรื่องบุญคุณที่เจียงป่าวชิงมีต่อครอบครัวเขามากดดันหลานชายของเขาอีกด้วย ราวกับว่าถ้าเจียงเฟยไม่สู่ขอเจียงป่าวชิง เจียงป่าวชิงจะต้องจบเห่อย่างนั้นแหละ
มันดูเหมือนจะได้ผล เขาเห็นแววตาของเจียงเฟยมีความต่อสู้ดิ้นรนเหมือนคนกำลังลังเล
เจียงเฟยต่อสู้ดิ้นรนกับตัวเองจริง ๆ ทว่าในที่สุดเขาก็พยักหน้าตอบตกลงสำหรับการแต่งงานครั้งนี้
ชั่วอึดใจที่ได้ยินว่าหลานตัดสินใจแบบนั้น ย่าของเจียงเฟยแทบหมดสติล้มลงไปกองกับพื้น
เจียงเหล่าหวู่เห็นเจียงเฟยพยักหน้าก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก รีบจัดการไล่หลานชายกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วหันกลับมาพูดกับภรรยาที่ใกล้จะใจสลายอยู่แล้ว
“เอาล่ะ ข้าจะบอกความจริงให้เจ้ารู้ ป่าวชิงบอกกับข้าแล้วว่านางไม่ได้เป็นอะไรกับคุณชายผู้ร่ำรวยคนนั้น ก็แค่บ้านของคุณชายคนนั้นเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ซึ่งไฟมันลามไปถึงบ้านของนาง คุณชายผู้ร่ำรวยจึงช่วยหาที่พักชั่วคราวให้นางกับหยุนชาน ตอนนี้สร้างบ้านใหม่เสร็จแล้ว พวกนางก็ต้องย้ายกลับมาเป็นธรรมดา เมื่อสักครู่ที่ข้าพูดกับเจ้าเช่นนั้นก็เพราะจงใจกระตุ้นหลานชายของเรายังไงล่ะ”
อารมณ์ของย่าเจียงเฟยผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วมองเจียงเหล่าหวู่อย่างไม่ค่อยจะเชื่อ “จริงเรอะ ? เจ้าอย่าหลอกข้านะ”
เจียงเหล่าหวู่ตบหน้าอกของตัวเองเพื่อรับรอง
“อืม อย่างน้อยนี่ก็ดีกว่าที่หลานชายของเราอยากแต่งงานกับหญิงไม่มีประสบการณ์ให้เป็นลูกสะใภ้” ย่าของเจียงเฟยพูดพึมพำ
เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ก็ดูเหมือนว่าการแต่งงานกับเจียงป่าวชิงนั้นไม่ใช่เรื่องยากจะยอมรับอะไรนัก เพียงแต่ดวงของเจียงป่าวชิงมัน… เฮ้อ อย่าให้นางต้องพูดเลย
จากนั้นมา ย่าของเจียงเฟยก็ยิ้มให้เจียงเหล่าหวู่ตลอดทั้งวัน
……
ทว่าเมื่อเจียงเฟยเห็นเจียงป่าวชิงในขณะนี้ เขาพบว่าสีหน้าของนางยังปกติดี ไม่เห็นถึงความกลัดกลุ้มหลังจากที่ถูกคุณชายผู้ร่ำรวยคนนั้นทอดทิ้งด้วยซ้ำ เท่านั้นไม่พอ นางยังดูสวยโดดเด่นกว่าปกติอีก ประกอบกับเจียงเฟยไม่ได้คิดกับเจียงป่าวชิงเหมือนคนรัก ตอนนี้เขาจึงอดไม่ได้ที่จะคิดตัดไฟตั้งแต่ต้นลมสำหรับเรื่องนี้
เจียงป่าวชิงได้ฟังก็ไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไรดี
“นี่ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการทำเรื่องให้วุ่นวายไปเปล่า ๆ หรอกรึ ?” เจียงหยุนชานเองก็ตกตะลึงพรึงเพริดเช่นกัน
เจียงเฟยมองเจียงป่าวชิงอย่างตั้งใจ “น้องป่าวชิง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาดสดใสน่ารักคนหนึ่ง ข้าไม่ได้โกหกเจ้าเรื่องที่ข้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ เจ้าจะยอมแต่งงานกับข้าไหม ?”