“โย! ช่างน่าประทับใจจริง ๆ” เจียงเหลียนฮัวปั้นหน้าเหยเก สีหน้านางในตอนนี้ไม่อาจเหี้ยมเกรียมไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว “ไอ้เท้าเล็กยั่วผู้ชายเก่งอย่างเจ้ามันน่าหมั่นไส้นัก งั้นก็ฆ่าไอ้หมาที่นางยั่วนี่ด้วยเลยแล้วกัน!”
พวกชายหุ่นล่ำจากตระกูลเฉียนพยักหน้ารับ ก่อนจะเคลื่อนกายบึกบึนย่างสามขุมเข้าไปล้อมพวกเขาทั้งสองคนด้วยท่าทางโหดเหี้ยม
สีหน้าเจียงป่าวชิงสงบมาก แต่มุมปากบางกลับยกยิ้มเยาะหยันเต็มที่ “จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยการทำบาป” นางคิดเช่นนี้ จึงได้ตัดสินใจไม่ตอบโต้ เลือกให้กฎหมายบ้านเมืองเข้าช่วย
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้ว ก่อนจะอ้าปากตะโกนขึ้น “มีคนจะฆ่าคนเจ้าค่า! ช่วยด้วยเจ้าค่าาาา!”
เจียงเหลียนฮัวยิ้มเหี้ยม “เหอะ! ตอนนี้เจ้ารู้จักกลัวแล้วเรอะ ? สายไปแล้ว! ไอ้เท้าเล็กอย่างเจ้า…”
เจียงเหลียนฮัวยังพูดไม่ทันจบคำ ก็มีเสียงตวาดดังออกมาจากในห้องอย่างข่มขู่ “หยุด พวกเจ้ากำลังจะทำอะไร ?!”
เจ้าหน้าที่สองคนในชุดสีดำวางมือบนมีดที่เข้าชุดกันตรงเอว และเดินออกมาจากในห้องที่อยู่ด้านหลังเจียงป่าวชิงด้วยใบหน้าขรึมเข้ม
เจ้าหน้าที่หนึ่งในนั้นตวาดขึ้นเสียงดัง “อันธพาลท้องถิ่นรึ ? พวกเจ้ามาจากไหน ถึงได้บุกมาพังข้าวของบ้านคนอื่นเช่นนี้ แถมยังคิดจะฆ่าแกงกันด้วย นี่ท้าทายอำนาจที่ว่าการรึ ? พวกเจ้าทั้งหมดต้องถูกควบคุมตัวไปที่ที่ว่าการเพื่อรอฟังคำสั่งลงโทษ!”
พวกคนที่บุกมาก่อเรื่องต่างตกตะลึงพรึงเพริด
เจียงเหลียนฮัวกับเฉียนถูฟูตกตะลึงเช่นกัน ต่างคนต่างหน้าถอดสีเลยทีเดียว
บ้านของเจียงป่าวชิงทำไมถึงมีเจ้าหน้าที่ได้ล่ะ!
เจียงป่าวชิงหันกลับไปยิ้มให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองคน “ลำบากพี่เจ้าหน้าที่ทั้งสองเลย ข้าขอคุณมาก ๆ ต่อจากนี้พวกพี่จัดการอย่างยุติธรรมเถอะจ้ะ” นางเดาได้ตั้งนานแล้วว่าคนที่มีนิสัยใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างเจียงเหลียนฮัวจะต้องไม่เลิกร้างรามือไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้ ไม่นานก็ต้องหาคนมาแก้แค้น
แม้วิธีเข็มเงินของเจียงป่าวชิงจะดี แต่ปัญหาคือนางไม่สามารถเอาออกมาใช้อย่างเปิดเผยได้เพราะมันสะดุดตาเกินไป สู้เชิญเจ้าหน้าที่มาจัดการกับพวกผู้ใหญ่ไม่เอาไหนนี่เองดีกว่า นางไม่ต้องเหนื่อยลงมือแถมเรื่องนี้ยังถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดีอีกต่างหาก
เรื่องที่ถูกลักพาตัวเมื่อครั้งที่แล้ว ที่ว่าการยังคงเป็นหนี้บุญคุณนางพอดี เมื่อสองวันก่อน เจียงป่าวชิงจึงไปยังที่ว่าการเพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ลำบากสักหน่อย นางเจรจาพลางเชิญพวกเขามาดื่มชาที่บ้านสักสองสามวัน ซึ่งไม่ถือว่าเป็นเรื่องยุ่งยากอะไร ในตอนนั้น พอขุนนางอำเภอจู้ได้ฟังนางเล่าถึงต้นสายปลายเหตุ เขาก็อนุญาตอย่างไว ทั้งยังสั่งให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองมาปกป้องเจียงป่าวชิงผู้ที่พวกเขายกย่องให้เป็น “พลเมืองดีผู้ปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมือง” ให้ดี ๆ อีกด้วย
เจ้าหน้าที่ทั้งสองตบทรวงอกดังสะท้านฟ้า
พวกเขาไม่มีปัญหา ลำบากหน่อยก็เพียงแต่ต้องไปขึ้นเขาทุกวันซึ่งถือว่าลำบากจริง ๆ
เมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งสองเห็นว่าในที่สุดคนที่พวกเขารอมานานก็ติดกับดักด้วยตัวเอง พวกเขาก็ดีใจอย่างมาก แต่เจียงป่าวชิงบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าต้องรอให้คนที่มาก่อเรื่องเผยความดุร้ายออกมาก่อน พวกเขาถึงสามารถออกมาจับกุมฝ่ายนั้นได้อย่างไม่มีข้อกังขา เจ้าหน้าที่ทั้งสองรออยู่ในห้องตั้งนาน และแทบข่มกลั้นอารมณ์ไม่ไหวอยู่แล้ว
ในที่สุดหูก็ได้ยินสัญญาณคำพูดที่ว่า “มีคนจะฆ่าคน” ของเจียงป่าวชิงสักที
เจียงเหลียนฮัวมองเจียงป่าวชิงที่ยืนทำหน้าไม่สะทกสะท้าน นางตัวสั่นอย่างเดือดดาล ปากก็ป่าวร้องก้องตะโกน “เจ้า! เจ้าลอบกัดพวกข้า”
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้วพร้อมแสยะยิ้ม “นี่ป้าใหญ่ ดูป้าพูดเข้าสิ ข้าเป็นคนบังคับให้พวกป้าถือจอบถือพลั่วมาทุบประตูบ้านข้ารึ ? ข้าบังคับให้พวกป้ามาฆ่าข้ารึ ? เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็ได้ยินอย่างชัดเจนอยู่ในห้องแล้วว่าพวกป้าใหญ่เป็นฝ่ายถ่อมาก่อเรื่องเอง แต่ตอนนี้กลับมาโทษเจ้าทุกข์อย่างข้าซะอย่างนั้น …ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังก็คือพวกป้าวางแผนจะฆ่าคนอื่นแต่ไม่สำเร็จก็เท่านั้นแหละ”
เจียงป่าวชิงพูดเสียงดังฟังชัดมาก ทุกคำพูดสามารถทำให้สีหน้าของพวกเจียงเหลียนฮัวขาวซีดกันทุกผู้ทุกคนได้ สิ้นเสียงพูดของนาง เห็นได้ชัดว่าหมวกใบใหญ่ที่มีคำกำกับว่า “ฆ่าคนแต่ไม่สำเร็จ” ถูกใส่ลงบนหัวของคนพวกนี้ทันที
เจียงเหลียนฮัวกับเฉียนถูฟูกลับกลอก พวกเขารีบแก้ตัวกับเจ้าหน้าที่ทั้งสอง “พี่เจ้าหน้าที่ทั้งสอง เราถูกปรักปรำ เราแค่จะมาสั่งสอนเด็กที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้จะมาฆ่ามาแกงกันสักหน่อย”
กว่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนจะทำอาชีพนี้ได้ถึงทุกวันนี้ พวกเขาผ่านเรื่องราวมาเยอะ เจอคนพูดกลับกลอกมาก็แยะ และกว่าจะส่งรายงานผลงานแต่ละเรื่องได้ก็ไม่ง่ายเลย มีหรือพวกเขาจะมาสนใจพวกที่แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ แบบนี้ พวกเขาส่งเสียงฟึดฟัดไม่พอใจออกมาทางจมูก
“ฮึ่ม! พวกเจ้าถูกปรักปรำหรือเปล่านั้น ไปรอตัดสินที่แท่นเถอะ ท่านขุนนางอำเภอจะตัดสินโทษของพวกเจ้าอย่างยุติธรรมเอง” พูดเสร็จ เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็เตรียมเข้าไปควบคุมตัวพวกเขา
พวกพี่น้องของเฉียนถูฟูที่มาจากตระกูลเฉียนลุกลี้ลุกลน พวกเขายังคงพยายามแก้ตัว “เฮ้ ๆ ๆ ใจเย็น ๆ พี่เจ้าหน้าที่ พี่เจ้าหน้าที่! พวกข้ากับเด็กสาวแซ่เจียงคนนี้ไม่เคยมีความแค้นกันมาก่อน เราก็แค่มาสมทบเพื่อทำให้นางตกใจเท่านั้น… เราไม่ได้คิดจะฆ่านางจริง ๆ”
เจ้าหน้าที่ทั้งสองพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างไม่พอใจ “พอได้แล้ว ถึงตอนนั้นค่อยไปพูดคำพูดนี้ที่แท่นตัดสินก็แล้วกัน พวกข้าได้ยินกับหูและเห็นกับตาว่าพวกเจ้าถืออาวุธบุกเข้ามาในบ้านของแม่นางน้อยเจียงป่าวชิง และมีจุดประสงค์จะทำผิดกฎบ้านเมือง” พูดเสร็จ เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็แกว่งโซ่ตรวนในมือของพวกเขาให้เกิดเป็นเสียงขู่ขวัญ และกำลังจะเข้าไปควบคุมตัว
คนจากตระกูลเฉียนมองดูโซ่เหล็กด้วยใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ และคิดจะหันกลับเพื่อหนี แต่เจ้าหน้าที่ตวาดขึ้นเสียงดังเสียก่อน “ถูกจับเพราะหลบหนี โทษจะเพิ่มอีกหนึ่งเท่า! พวกเจ้าเป็นคนในหมู่บ้านใกล้เคียง พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะหนีรอดไปได้รึ ?!”
คนจากจระกูลเฉียนตกใจราวกับขาหยั่งรากลึกลงไปใต้ดินอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ไม่กล้าขยับตัวแม้เพียงนิด
เจ้าหน้าที่ทั้งสองเดินเข้าไปควบคุมตัวพวกคนจากตระกูลเฉียน และกล่าวลาเจียงป่าวชิงไปด้วย “แม่นางน้อยเจียง ถ้าอย่างนั้นข้าสองคนขอพาตัวคนร้ายกลับไปก่อน ถ้ามีอะไรที่เราต้องการให้แม่นางเจียงเป็นพยาน เราจะมาแจ้งให้ทราบเมื่อถึงเวลานั้น”
เจียงป่าวชิงโบกมือให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ลำบากพี่เจ้าหน้าที่ทั้งสองหน่อยนะจ๊ะ และฝากทักทายขุนนางอำเภอจู้ด้วยจ้ะ”
เจียงป่าวชิงรู้ว่าอันที่จริงตัวนางเองไม่ได้สนิทอะไรกับขุนนางอำเภอจู้หรอก แต่นางจงใจพูดแบบนี้เพื่อให้พวกเจียงเหลียนฮัวได้ยิน พวกเขาจะได้คิดว่านางสนิทสนมกับขุนนางอำเภอจู้ ในภายภาคหน้า หากพวกเขาอยากลงไม้ลงมือกับนางอีกในอนาคต พวกเขาจะได้พิจารณาให้ดีเสียก่อน
และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เจียงเหลียนฮัวกับเฉียนถูฟูมีสีหน้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด ถ้ารู้มาก่อนว่าไอ้เท้าเล็กคนนี้สามารถให้ท่าได้แม้กระทั่งขุนนางอำเภอ พวกนางจะกล้ามาแก้แค้นอย่างยิ่งใหญ่แบบนี้ซะที่ไหน แค่ใช้วิธีแรง ๆ ให้ไอ้เท้าเล็กนี่เสียเปรียบก็น่าจะได้ แต่ตอนนี้ ถ้าหากว่าเจียงป่าวชิงเป็นอะไรไป ไม่แน่ขุนนางอำเภออาจจะมาคิดบัญชีกับพวกเขาก็ได้
รู้สึกเสียใจทีหลังเข้าให้แล้ว!
หลังจากที่เจ้าหน้าที่จับกุมคนจากตระกูลเฉียนจากไป บ้านหลังเล็กก็กลับมาสงบอีกครั้ง
อันที่จริง นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เจียงหยุนชานเข้าไปเก็บเห็ดในภูเขาพอดี เขาจึงไม่อยู่บ้าน เหลือเพียงเจียงป่าวชิงกับซุนต้าหูที่อยู่บ้านในยามนี้
สีหน้าของซุนต้าหูค่อนข้างเศร้าสลด เขาเอ่ย “ป่าวชิง เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” และเตรียมจะจากไปอย่างเร่งรีบ
ในหัวเขาคิดว่าเจียงป่าวชิงเก่งขนาดนั้น นางจะต้องการคนงุ่มง่ามอย่างเขาออกหน้าให้นางทำไม เขานี่ก็ช่างไม่เจียมตัวเลยจริง ๆ…
เจียงป่าวชิงตะโกนจากทางด้านหลังซุนต้าหู “พี่ต้าหู เรื่องวันนี้ขอบคุณพี่มากนะเจ้าคะ”
วันนี้นางรู้ว่าตัวเองต้องไม่เป็นอันตรายใด ๆ อย่างแน่นอน แต่ซุนต้าหูไม่รู้ เขาอุตส่าห์วิ่งกระหืดกระหอบมาช่วยขนาดนี้ เกรงใจจริง ๆ
ซุนต้าหูเต็มใจเสี่ยงเพื่อช่วยนางโดยที่เขาไม่รู้เรื่องอะไร เจียงป่าวชิงรู้สึกขอบคุณเขาจากใจ แต่ขอบคุณไม่ได้หมายความว่าต้องยอมรับความรู้สึกนั้นของเขา…
เจียงป่าวชิงชะงักไป “พี่ต้าหูเจ้าคะ พี่เป็นคนดี พี่จะต้องหาผู้หญิงดี ๆ เจออย่างแน่นอนเลยนะ… เอ่อ…” นางพูดต่อไม่ได้
การยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยใครคนหนึ่ง นางจะพูดปฏิเสธอะไรก็ได้กับเขาง่าย ๆ แบบนั้นได้อย่างไร จะมีแต่ทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกไม่สบายใจเปล่า ๆ
แต่เจียงป่าวชิงไม่ต้องการลากซุนต้าหูให้มามีความหวังกับตัวเองเลย จึงหลับตาและพูดเชิงปฏิเสธออกไปในที่สุด “ข้าคิดกับพี่เหมือนพี่เป็นพี่ชายของข้าจริง ๆ เจ้าค่ะ”
ฝีเท้าของซุนต้าหูหยุดชะงัก เขาตอบรับเสียงเบาก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น และรีบจากไปรวดเร็วราวกับสายลมพัดผ่านไม่ต่างจากตอนที่เขามา